Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กลุ่มอาการปวดเเละเวียนศรีษะ - Coggle Diagram
กลุ่มอาการปวดเเละเวียนศรีษะ
ปวดศีรษะจากความเครียด (Tension type headache/TTH)
สาเหตุ
เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ บริเวณศีรษะและใบหน้า
เกิดจากการกระตุ้นของสิ่งเร้าที่กล้ามเนื้อและพังผืด บริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทเกิดขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นที่บางส่วนของไขสันหลังหรือเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5) แล้วส่งผลกลับมาที่เนื้อเยื่อรอบกะโหลกศีรษะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว
มีการเปลี่ยนแปลงของสารส่งผ่านประสาท (เช่น ซีโรโทนินเอนดอร์ฟินโดพามีน) ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
สาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด (มักจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ หลังจากคร่ำเคร่งกับการงาน หิว (กินอาหารผิดเวลา) อดนอน ตาล้า หรือเพลีย (eyestrain)
อาการและอาการแสดง
อาการปวดชนิด กดหรือบีบ หรือ รัดแน่น อาการปวดมักเริ่มบริเวณท้ายทอย ร้าวมาที่ขมับทั้งสองข้าง แล้วปวดทั้งศีรษะ การ
อาจพบร่วมกับการปวดศีรษะไมเกรนหรืออาจมีอาการกดเจ็บที่หนังศีรษะร่วมด้วย
กรณีท่ีมีอาการเรื้อรัง จะมีอาการปวดบ่อยกว่า 15 วันต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือนหรือนานกว่า
การรักษา
กรณีไม่เรื้อรังให้กินยาแก้ปวดธรรมดา
กรณีที่ป็นเรื้อรังควรนึกถึงโรคซึมเศร้า ซึ่งจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย การรักษาไม่ควรให้ยาแก้ปวดธรรมดาเนื่องจากจะไม่ได้ผล และอาจมีอาการถอนยาเมื่อหยุดยาทำให้ปวดศีรษะมากขึ้น
ควรให้ยา amitriptyline เริ่มขนาด 10-25 มก.เพิ่มได้ถึง 50 มก.ก่อนนอน
ให้ยาติดต่อกันนาน 3-6 เดือน หากหยุดยาแล้วมีอาการอาจให้นานเป็นปี
การรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการสวดมนต์ทำสมาธิ เป็นต้น
ไมเกรน
สาเหตุ
ปัจจัยจากภายนอก เช่น สิ่งแวดล้อม, ฮอร์โมน, การพักผ่อนไม่เพียงพอ, ความเครียด ปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ
ปัจจัยทางพันธุกรรม ทำให้ระบบประสาทมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ
การรักษา
การรักษาด้วยยา ซึ่งประกอบด้วย 2 กลุ่มหลัก คือ ยาระงับปวด และยาเพื่อป้องกัน ยาระงับปวดจะรับประทานเป็นครั้งคราวเท่าที่จำเป็นเพื่อให้บรรเทาจากอาการปวด พออาการดีขึ้นให้หยุดใช้ ส่วนยาที่แพทย์สั่ง แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาเพื่อป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อย เช่น สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง ขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อย แต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน
การรักษาที่ไม่ใช้ยา ได้แก่ การประคบเย็น การนวด กดจุด การทำกายภาพบำบัดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะและคอ การนอนพัก การนั่งสมาธิ หรือ การคลายเครียดด้วยวิธีต่างๆ
อาการเเละอาการเเสดง
ปวดศีรษะ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไม่อยากเห็นแสงจ้า ไม่อยากได้ยินเสียงดัง อาการเวียนศีรษะ มองเห็นภาพผิดปกติเป็นเส้นซิกแซกหรือจุด เห็นแสงระยิบระยับ อ่อนเพลีย หาวนอน คิดอะไรไม่ออก
สิ่งที่ตรวจพบที่สำคัญ
มีลักษณะอาการปวดอย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อ
-ปวดหัวข้างเดียว
-ปวดแบบตุ๊บๆ
-ปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือสั่นสะเทือน
-ปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
ร่วมกับอาการต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
-คลื่นไส้ อาเจียน
-อาการมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่ที่มีเสียงดังอึกทึก หรือ แสงจ้า
กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด
(Myofascial Pain Syndrome; MPS)
นิยาม
กลุ่มอาการของโรคที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืด มีอาการปวดร้าว และ/หรือ มีอาการของระบบประสาทอัตโนมัติ อันเนื่องมาจาก จุดทริกเกอร์(Trigger Point; TrP) ของกล้ามเนื้อบริเวณหนึ่งบริเวณใดของร่างกาย และเป็นสาเหตุของปัญหาการปวดเรื้อรังที่พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆพบได้ในกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า หลัง ไหล่หลังส่วนล่าง
สาเหตุ
โรคประจำตัว
ดัชนีมวลกาย
ผู้ที่มีปริมาณภาระงานมาก นอกจากนี้สาเหตุอื่นที่ทำ
ให้เกิดอาการได้แก่ ท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม และท่าทางการทำงานที่เคลื่อนไหวซ้ำๆ
การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อที่รุนแรงจากอุบัติเหตุ
ความเครียดทางจิตใจ
การผ่าตัด
การวินิจฉัย
1ประวัติ อาการปวด
2 ตรวจร่างกาย
3 กดเจ็บเฉพาะที่ (Regional pain) และแสดงอาการปวดร้าวไปตามอาการที่ปรากฏ (Reproducible refer pain) จากัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ก่ออาการนั้นๆ
การรักษา
การให้ความรู้ (Education) การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยจะช่วยลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคmyofascial pain syndrome โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้คำแนะนำเกี่ยวกับท่าทางการทำงานที่เหมาะสม ทั้งท่านั่ง ท่ายืนและท่ายกของ
2.การออกกำลังกายด้วยการยืด(Stretching exercise) การยืด กล้ามเนื้อจะทำให้TrP เกิดการคลายตัว อาการปวดต่างๆก็จะลดลงและทำให้พิสัยของข้อดีขึ้นด้วย การยืดกล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อแต่ละมัด ต้องยืดในแนวทิศทางเดียวกับความยาวของเส้นใยกล้ามเนื้อ โดยยืดค้างไว้ 30 วินาที อาจใช้สเปรย์เย็น (spray) ฉีดก่อนการยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยลดอาการปวดขณะยืดได้ดีวิธีการฉีดสเปรย์เย็น คือฉีดให้ห่างจากพื้นผิว 1 ฟุตทำมุมกับพื้นผิวประมาณ 30 องศา
การฉีดยาเพื่อรักษา TrP(TrP injection) เป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายและให้ผลการรักษาที่ดี ถือเป็นการตรวจสอบการวินิจฉัยด้วยการรักษาได้ด้วย(therapeutic diagnosis) วิธีการคือ ฉีดยาชาลงไปบริเวณ TIP การรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจึงจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อผู้ป่วยได้
การฝังเข็มแบบ Dry needling คือการลงเข็มสำหรับฝังเข็มแบบจีนไปบริเวณที่มี TrP ในกล้ามเนื้อ เชื่อว่าความแหลมของเข็มจะไปสลาย
TrP ที่มีลักษณะคล้ายปม ให้คลายออก อาการปวด ไม่ได้ฝังลงในบริเวณที่เป็น TrP โดยตรงเหมือน dry needling
การนวด มีหลักฐานทางการแพทย์ว่าการนวดสามารถช่วยลดอาการปวดได้ดี ซึ่งการนวดนั้นมีได้หลายวิธี เช่น การนวดแบบสวีเดน (Swedishmassage) การนวดกดจุด (acupressure) และการ
นวดแบบไทย (Thai massage)
การรักษาด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น การกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกผ่านผิวหนังด้วยกระแสไฟฟ้า ( transcutaneous electrical nerve stimulation:TENS) , การรักษาด้วยความร้อน (Ultrasound diathermy therapy,shortwave diathermy therapy) การใช้เลเซอร์(Laser) หรือการรักษาด้วยคลื่นกระแทก(Shockwave therapy)
การรักษาทางกายภาพบำบัด
การรักษาด้วยความร้อน(HeatTherapy) การประคบร้อน เป็นการให้ความร้อนระดับตื้น คือให้ความร้อนในการรักษาต่ออวัยวะต่างๆที่อยู่ตื้น คือไม่เกิน 0.5 ซม. จากผิวหนังซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตำแหน่งของผิวหนัง และsubcutaneous tissue หรือกล้ามเนื้อที่อยู่ตื้นใช้เวลาในการรักษา คือ 20-30 นาทีอุณหภูมิที่ใช้อยู่ในระดับที่ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นกำลังสบาย
ข้อห้ามหรือข้อควรระวังในการประคบร้อน
บริเวณที่มีความบกพร่องในการรับความรู้สึก
บริเวณที่มีความบกพร่องของการไหลเวียนโลหิต เพราะความร้อนจะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ metabolism ทำให้เกิดภาวะ ischemic necrosis ในบริเวณนั้น
ในรายที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
ในบริเวณที่มีเซลล์มะเร็ง เพราะอาจจะทำให้มีการกระจายของเซลล์เหล่านั้นได้
ในบริเวณที่มีการอักเสบ หรือการบาดเจ็บเฉียบพลันและมีการบวม
ข้อเคล็ด/ข้อแพลง (sprain)
ข้อเคล็ด/ข้อแพลง พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ข้อที่พบได้บ่อยมาก ได้แก่ ข้อเท้า มักจะเกิดจาก การเดินสะดุดหรือหกล้ม ข้อเท้าพลิก หรือบิดงอ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดที่ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อมือ และข้อนิ้ว
สาเหตุ
เกิดจากเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อที่ยึดอยู่รอบ ๆ ข้อต่อ มีการฉีก
สิ่งตรวจพบ
ข้อมีลักษณะบวม แดง และร้อน อาจพบรอยเขียว คล้ำหรือฟกช้ำ เนื่องจากหลอดเลือดฝอยแตกร่วมด้วย
การรักษา
หลังได้รับบาดเจ็บ ควรประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็นทันที (ถ้าเป็นที่เท้าอาจใช้เท้าแช่ในน้ำเย็น) เพื่อลดอาการบวมและปวดทำทุก 3-4 ชั่วโมง ในระยะ 48 ชั่วโมงแรก แต่หลัง 48 ชั่วโมงไปแล้ว ควรประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ หรือแช่น้ำอุ่นจัด ๆ ครั้งละ 15-30 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดอาการอักเสบ และใช้ขี้ผึ้งน้ำมันระกำ (salicylate ointment) หรือยาหม่องทานวดแล้วใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด (elastic bandage) พันพอแน่น (อย่าให้แน่นเกินไป และยกข้อที่แพลงให้สูง เช่น ถ้าข้อเท้าแพลง เวลานอนก็ใช้หมอนรองเท้าให้สูง หรือเวลานั่งควรยกข้อเท้าวางบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง (อย่าห้อยเท้า) ถ้าข้อมือแพลง ควรยกข้อมือให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจโดยใช้ผ้าคล้องคอ และอย่าใช้ข้อมือข้างนั้นทำงาน (เช่น ยกของ ซักผ้า) ควรพักจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ซึ่งอาจกินเวลาหลายวัน แล้วค่อยๆ เคลื่อนไหว บริหารข้อนั้นให้คืนสู่สภาพปกติ
ถ้าปวด กินยาแก้ปวดพาราเซตามอล หรือทรามาดอล หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์
ถ้ามีอาการปวดหรือบวมมากขึ้นหรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือสงสัยกระดูกหัก ควรส่ง โรงพยาบาล อาจต้องเอกซเรย์เพื่อตรวจดูว่ากระดูกแตกหักหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจแยกอาการข้อแพลงออกจากอาการกระดูกแตกหรือหักเล็กน้อยได้ยาก ในรายที่ข้อแพลงรุนแรง อาจต้องเข้าเฝือกหรือแก้ไขด้วยการผ่าตัด
ข้อแนะนำ
ข้อเคล็ดข้อแพลงส่วนมากจะเป็นไม่รุนแรง และควรจะเริ่มมีอาการดีขึ้น (ปวดและบวมน้อยลง) ภายใน 1-2 สัปดาห์ และหายขาดภายใน 3-4 สัปดาห์ แต่บางรายโดยเฉพาะถ้าไม่ค่อยได้พัก อาจมีอาการบวมเป็นหาย ๆ เรื่องเป็นเวลา 2-3 เดือนได้
โรคแผลในกระเพาะอาหาร
สาเหตุ
-กรดและน้ำย่อย ที่หลั่งออกมาทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร
-ยาแอสไพริน
-ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ
-การสูบบุหรี่
-ความเครียด
-อาหารเผ็ด
-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์
เชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร
H. pylori เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะ
อาการเเละอาการเเสดง
-มีคลื่นไส้อาเจียน
-ปวดท้อง หรือจุกแน่นท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่
-ปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากหลับไปแล้ว
ปวดกลางท้องรอบสะดือ ท้องอืดหลังกินอาหาร มีลมมาก ท้องร้องโครกคราก
สิ่งตรวจพบที่สำคัญ
ตรวจร่างกายเช่น ตรวจการกลืนลำบาก ตรวจว่ากดเจ็บบริเวณกระเพาะอาหาร
การ Investigate or work up
การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน - Esophago-Gastro-Duodenoscopy : EGDDuodenoscopy : EGD และตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหาการติดเชื้อ H. pylori
ทดสอบการติดเชื้อ H. pylori นอกไปจากการส่องกล้อง ทำได้หลายแบบ เช่น ทางลมหายใจ ทางอุจจาระ หรือทางเลือด
การตรวจกระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้ง (Upper GI Series) เป็นการจำลองภาพของระบบทางเดินอาหารด้วยการเอกซเรย์ร่วมกับการกลืนของเหลวสีขาวที่มีส่วนผสมของแบเรียม ทำให้เห็นภาพของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นชัดเจนขึ้น
การตรวจหาแบคทีเรียจากอุจจาระ (Stool Antigen Test) โดยใช้ตัวอย่างอุจจาระในผู้ป่วยไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียในห้องปฏิบัติการ
-การตรวจหาแบคทีเรียจากเลือด (Blood Test) เพื่อหาสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ต่อเชื้อแบคทีเรีย
การรักษา
การรักษาด้วยยา การใช้ยารักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารนั้น จำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน โดยแพทย์จะให้ยาลดกรด และยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ แผลถึงจะหาย ในกรณีที่มีการติดเชื้อแพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยในการฆ่าเชื้อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เอช.ไพโลไร
การรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (nonsteroidal anti-inflammatory drugs หรือ NSAIDs) อาจต้องทำการปรับเปลี่ยนยาที่ใช้ จากเดิมเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้น้อยกว่า ร่วมกับรับประทานยาลดกรดหรือยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารตามแต่แพทย์สั่ง
การผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มักใช้ในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารแล้วไม่เข้ารับการรักษา มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กฉีกขาด เป็นต้น
โรคไส้ติ่งอักเสบ
สาเหตุ
เกิดจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง ที่พบบ่อยที่สุดจากเศยอุจจาระเข็งๆ ซึ่งเรียกว่านิ่วอุจจาระ (fecalih)ตกลงไปในรูไส้ติ่ง นอกนั้นอาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอมเช่น เมล็ดผลไม้ หนอนพยาธิเมื่อเกิดการอุดตัน สิ่งคัดหลั่งที่ไส้ติ่งหลั่ง (secretion) อยู่เป็นปกติก็จะเกิดการดั่งอยู่ในรูไส้ติ่ง ทำให้ไส้ติ่งบวมและมีแรงดันภายในไส้ติ่งสูงขึ้นประกอบกับการบีบขับของไส้ติ่ง ทำให้เกิดอาการปวคท้องรอบๆสะดือ ขณะเดียวกันเชื้อแบคที่เรียที่มีอยู่เป็นปกติในรูไส้ติ่ง ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงตามมาและในที่สุดเนื้อไส้ติ่งเกิดการเน่าตายและแตกทะลุ
อาการเเละอาการเเสดง
คลื่นไส้ พะอืดพะอม
มีไข้สูง
อาการปวดแน่นบริเวณลิ้นปี่
ปวดถี่คล้ายโรคกระเพาะ
ปวดรอบสะดือตื้อ ๆ ตลอดเวลา
ปวดบีบ ๆ คลาย ๆ
ปวดท้องน้อยข้างขวา ปวดมากขึ้นเวลาขยับตัว ปวดลดลงถ้างอตัวอยู่นิ่งๆ
สิ่งตรวจพบที่สำคัญ
การตรวจร่างกายจะกดเบาๆบริเวณที่ปวด หากผู้ป่วยมีอาการเยื่อบุช่องท้องอักเสบอาการปวดจะแรงขึ้น จะประเมินอาการท้องแข็งและอาการเกร็งท้อง
การ Investigate or work up
ตรวจปัสสาวะหาเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว
ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT – Scan
ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound Upper Abdomen)
ตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
การรักษา
แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง โดยจะทำการกรีดช่องท้องยาว 5-10 เซนติเมตรหรือ 2-4 นิ้วเพื่อตัดไส้ติ่งออก ส่วนการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้องนั้น แผลจะมีขนาดเล็ก 2-3 แผลและใช้เครื่องมือผ่าตัดพิเศษ พร้อมกล้องวิดีโอเพื่อนำไส้ติ่งออกการผ่าตัดผ่านกล้องนั้น ผู้ป่วยจะมีรอยแผลเล็กและฟื้นตัวได้เร็วกว่า แพทย์มักแนะนำการผ่าตัดผ่านกล้องในผู้ป่วยสูงอายุหรือเป็นโรคอ้วน แต่การผ่าตัดประเภทนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้องในกรณีที่ไส้ติ่งแตกหรือเกิดฝี เพราะสามารถทำความสะอาดช่องท้องได้ดีกว่า ผู้ป่วยต้องพักในโรงพยาบาล 1-2 วันหลังการผ่าตัด