Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่11 การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาโรคติดเชื้อ - Coggle Diagram
บทที่11
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาโรคติดเชื้อ
ความหมายของโรคติดเชื้อและโรคติดต่อ
โรคติดเชื้อหมายถึงการที่จุลชีพ (microorganism)เข้าสู่ร่างกายทางใดทางหนึ่ง แล้วแบ่งตัวเพิ่มจ านวนและ/หรือปล่อยสารพิษไปทำอันตรายต่ออวัยวะต่างๆทำให้เกิดอาการ และอาจติดต่อหรือไม่ติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้
ผิวหนังอักเสบ (Eczematous dermatitis)
เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกันโดยมีพันธุกรรมเป็นสาเหตุหลัก ภาวะถูมิคุ้มกันในร่างกาย และสิ่งกระตุ้นหรือส่งเสริมให้เกิดอาการ เช่น อาหาร อากาส ความร้อนความเย็น การเสียดสี การเกา เชื้อรา ไรฝุ่น การติดเชื้อ เหงื่อไคล สารระคายเคืองต่างๆ สบู่ ผงซักฟอก ความเครียดทางอารมณ์
การรักษา
หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งกระตุ้น เช่น สบู่ ผงซักฟอก หญ้า ไรฝุ่น กิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก หรืออาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
ให้ยา antihistamine เมื่อมีอาการคัน
รักษาความสะอาดของผิวหนัง ไม่ควารใช้สบู่ฟอกตัว อาจใช้น้ำมัน เช่น olive oil ผสมน้ำทำความสะอาดผิวหนัง
ถ้าเป็นรุนแรงและมีบริเวณกว้างอาจให้ยารับประทานกลุ่ม steroid ร่วมด้วย จนกว่าผื่นจะแห้ง ประมาณ 7 วัน แล้วลดขนาดยาจนหยุดยาได้ภายใน 3 สัปดาห์
ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ต้องให้ยาปฏิชีวนะ หรือถ้าเกิดจากเชื้อราต้องให้ยาต้านเชื้อราร่วมด้วย
ไข้ออกผื่นจากเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในเด็ก
โรคหัด(Measlesorrubeola)
หัด (Measles)เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัส ที่พบได้บ่อยที่สุดมีการติดต่อง่าย ซึ่งมีลักษณะคือมีไข้ และมีผื่นที่ผิวหนัง พบมากในเด็กอายุ5-9ปี อายุต่ำกว่า1 ปี มักไม่ค่อยพบแต่อาจพบได้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า20ปี ขึ้นไป
เกิดจากเชื้อ Measles virus ที่อยู่ในกลุ่ม paramyxovirusซึ่งมีระยะฟักตัว10-12วัน ติดต่อโดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในน้ำมูกน้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วยเข้าไประยะเวลาติดต่อโรคตั้งแต่วันที่ 5ของระยะฟักตัวไปจนถึง 4-5วัน หลังผื่นขึ้นและเชื้อจะถูกขับออกมามากที่สุดขณะที่มีไข้ก่อนผื่นขึ้น
อาการและอาการแสดง
2.ระยะไข้(prodromal period) เริ่มก่อนระยะออกผื่น 3-5วัน จะมีไข้ต่ำๆถึงปานกลางกระสับกระส่าย อ่อนเพลีย ไอ น้ ามูกไหล เยื่อบุตาอักเสบ มีน้ าตาไหลมาก กลัวแสงและหนังตาบวม ทอนซิลโตและแดง จะพบ koplik’s spot สีเทาอมขาวขนาดหัวเข็มหมุดและบริเวณรอบจุดเป็นสีแดงจุดนี้จะเป็นเม็ดเล็กๆ พบในกระพุ้งแก้มบริเวณใกล้ฟันกรามล่างอาจพบที่อื่นในปากได้ มักจะเกิด2-3วัน ก่อนที่จะมีผื่นออกที่ผิวหนังขึ้น
ระยะออกผื่น (rash)ระยะนี้ไข้จะสูง 40-40.5องศาเซลเซียสตีนผมและส่วนหลังของแก้ม ต่อมาผื่นจะกลายเป็นpapule สีแดงและลามไปตามหน้าผากใบหน้าลงมาตามตัวและแขนขา ผื่นจะขึ้นตามตัวใน 2-3วัน และผื่นจะคงอยู่ประมาณ 4-6วัน
ระยะฟักตัว 10-12วัน อาจนานถึง 14วันได้ ระยะนี้จะยังไม่แสดงอาการ
ระยะพักฟื้น (convalescence)เป็นระยะที่อาการทั่วไปเริ่มดีขึ้น ผื่นเริ่มยุบลงโดยที่หน้าจะเริ่มยุบก่อน หลังจากนั้นจะพบผิวหนังบริเวณนั้นเป็นรอยสีดำ (hyperpigmentation) แล้วจะค่อยๆลอกออกอาการจะคงอยู่ต่อไปอีกประมาณ 1สัปดาห์
โรคแทรกซ้อน ที่พบบ่อย คือPneumonia, diarrhea, otitis media, conjunctivitis และ encephalitis
การป้องกันโรค
แยกเด็กที่เป็นจากเด็กอื่น
ในรายยังไม่เคยออกหัดถ้าสัมผัสผู้ป่วยในระยะติดต่อไม่เกิน48 ชั่วโมง ควรให้ measles vaccine แต่ถ้ามีความต้านทานต่ าอาจต้องพิจารณาให้ gamma globulin ขนาด 0.25 มล./กก.ฉีดเข้ากล้ามเพื่อป้องกันโรคส่วนในรายที่สัมผัสโรคเกิน 48 ชั่วโมงไปแล้ว
ให้ measles vaccine ในเด็กอายุประมาณ 1ปี ถ้าไม่เคยออกหัดมาก่อน
โรคหัดเยอรมัน (German measles or Rubella)
การป้องกัน
1.ให้วัคซีน MMR ป้องกันในเด็กอายุ 1หรือให้แก่วัยรุ่นอายุประมาณ 12ปี ในหญิงวัยเจริญพันธ์ จะต้องแน่ใจว่าขณะนั้นไม่ได้ตั้งครรภ์ และต้องไม่ตั้งครรภ์ในระยะเวลา 2 เดือน หลังฉีดวัคซีน
2.ในหญิงตั้งครรภ์ 3เดือนแรก ควรหลีกเลี่ยงผู้ป่วยโรคนี้ หรือถ้าสัมผัสกับผู้ป่วยโรคนี้ควรปรึกษาแพทย์
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัว 14-21วัน โดยทั่วไปประมาณ 16-18วัน ระยะนี้อาการมักไม่รุนแรง และอาจไม่มีอาการปรากฏได้
อาการนำในเด็กไม่ค่อยพบอาการน าก่อนผื่นขึ้นแต่ในผู้ใหญ่จะมีอาการน า 1-5วัน ก่อนผื่นขึ้น โดยมีอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ มีไข้ เยื่อบุตาอักเสบ
ระยะผื่นขึ้น ผื่นจะเริ่มที่หน้า บริเวณหน้าผากตรงชายผม รอบปาก และกกหู แล้วจึงกระจายไปยังลำตัว แขนขา อย่างรวดเร็ว
เกิดจากRubella virus ซึ่งติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ โดยเชื้อจะปนอยู่ในละอองเสมหะน้ำมูก น้ำลาย โลหิต อุจจาระ ปัสสาวะของผู้ป่วย
หัดเยอรมันเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มักเกิดในเด็กโตมีอาการมีไข้ ผื่นขึ้นที่ผิวหนัง และต่อมน้ าเหลืองแถวคอจะโต ถ้าเป็นในเด็กอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นในหญิงตั้งครรภ์จะท าให้เกิดภาวะ Congenital defect กับทารกในครรภ์ได้
โรคอีสุกอีใส(Chickenpox)
กิดจากเชื้อไวรัสชื่อ Herpesvirusvaricellae (varicella zostervirus) ซึ่งท าให้เกิดโรคได้ 2โรค โดยมีลักษณะแตกต่างกันคือ Chickenpox และ herpes zoster เชื่อว่าเชื้อเข้าทางระบบทางเดินหายใจผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2วัน ก่อนมีผื่นขึ้นจนถึงระยะที่เป็น vesicle (3-6วันต่อมา) สะเก็ดแผลที่หลุดใหม่อาจแพร่เชื้อได้ เพราะเชื้อจะไม่คงทนอยู่นาน เชื้อจะอยู่ในเม็ดของ vesicle และปนไปกับน้ ามูกน้ าลายของผู้ป่วย
การป้องกันโรค
แยกผู้ที่เป็นโรคและกักกันจากเด็กอื่นอย่างน้อย1สัปดาห์ หลังผื่นขึ้นหรือจนกระทั่งสะเก็ดแผลแห้งและหลุดหมด
ระวังผู้ที่กำลังได้รับยาพวก steroidผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคมาก่อน และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำไม่ให้ไปสัมผัสกับผู้ป่วยโรคนี้ เพราะเมื่อเป็นแล้วจะมีอาการรุนแรง
วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคอีสุกอีใส เริ่มให้เมื่ออายุประมาณ 1ปีและในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยไม่จำเป็นต้องตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันโรคก่อน
4.การให้วัคซีนในผู้สัมผัสกับผู้ป่วยอีสุกอีใสมาไม่เกิน3วัน อาจช่วยป้องกันการเกิดโรค ส่วนการให้ยา acyclovirอาจป้องกันผู้ที่สัมผัสโรคจากการเป็นอีสุกอีใสได้หรืออาจทำให้ลดอาการรุนแรงลง
โรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยคือติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนัง, Varicella pneumonia และEncephalitis
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 10-21วัน เมื่อพ้นระยะฟักตัวแล้วผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ ปวดหลัง เจ็บคอ ไอ หลังจากนั้น 24ชั่วโมงจะมีผื่นขึ้น
ระยะออกผื่น ผื่นจะเริ่มโดยเป็นผื่น (macule) แล้วกลายเป็น ตุ่มนูน(papule), ตุ่มใส (vesicle) และตุ่มที่มีน้ำขุ่น (pustule)
การรักษา
การรักษาทั่วไป โดยแยกผู้ป่วย จนสะเก็ดจากแผลแห้งหมด และให้นอนพักผ่อนจนไม่มีไข้ ให้การรักษาตามอาการ ในรายที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน
ในรายที่มีโรคแทรกซ้อนต้องรักษาภาวะแทรกซ้อนด้วย พร้อมทั้งให้ยาที่เหมาะสม
โรคคางทูม (Mumpsor Epidemic parotitis)
กิดจากเชื้อ Mumps virus ซึ่งอยู่ในกลุ่ม paramyxo virus ปะปนอยู่ในน้ำลายของคนที่เป็นระยะฟักตัว 14-24วัน ส่วนใหญ่จะอยู่ในระหว่าง 17-18วัน
อาการและอาการแสดง
มักมีอาการนำด้วยมีไข้ต่ำๆอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอ ภายใน 24ชั่วโมงต่อมาจะเริ่มมีอาการอักเสบของต่อมน้ำลาย บางรายต่อมน้ำลายบวมโตมากจนมีอาการบวมลงมาถึงหน้าอกอาการบวมจะเป็นมากที่สุดในช่วง1-3 วัน และจะเริ่มยุบลงในวันที่ 3-7 ระยะที่บวมมากๆ อาจมีไข้สูงร่วมด้วย ในรายที่เป็นทั้งสองข้าง มักเริ่มบวมข้างเดียวก่อนอีก 1-2 วันต่อมาจึงเริ่มมีอาการบวมอีกข้าง
โรคแทรกซ้อน ที่พบบ่อย ได้แก่Orchitis, Pancreatitis, Meningoencephalomyelitis, Oophoritis
ไม่มีการรักษาเฉพาะ รักษาตามอาการ โดยแยกผู้ป่วยจนกว่าต่อมน้ำลายจะยุบบวมพร้อมทั้งให้พักผ่อนมากๆ ในระยะมีไข้ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้บรรเทาปวดและรักษาภาวะแทรกซ้อนตามอาการ
ไข้สันหลังอักเสบ(Poliomyelitis)
เกิดจากเชื้อpoliovirus ซึ่งติดอยู่ในอุจจาระ เสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย หรือผู้เป็นพาหะของโรค ติดต่อโดยการอยู่ใกล้ชิดและรับเชื้อจากสิ่งเหล่านี้เข้าไป มีระยะฟักตัว 7-21 วัน เชื้อ มีอยู่ 3 ชนิด คือ type I,II และIII โรคที่เป็นส่วนมากจะเกิดจากชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้นคือไม่เป็นซ้ าจากชนิดอื่น ชนิดที่ท าให้เกิดโรคมากที่สุดคือtype I, III และII ตามล าดับและเชื่อว่า type I และ III จะให้ภูมิคุ้มกันซึ่งกันและกันได้
อาการและอาการแสดง
Abortive poliomyelitis มีอาการไข้เพียงระยะสั้นๆ และอาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดเมื่อยตามตัวปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บคอ บางรายมีท้องผูก และปวดท้องร่วมด้วย
Nonparalyticpoliomyelitisมีอาการคล้ายabortive poliomyelitisแต่รุนแรงกว่า ร่วมกับอาการปวด และตึงตามกล้ามเนื้อด้านหลังของคอ ลำตัว แขนและขา จะพบมีอาการคอแข็ง และท้องผูกร่วมด้วย
Asymptomaticor unappearanceinfection คือไม่มีอาการของโรคปรากฏ ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อในล าคอ และอุจจาระ แต่ก็สามารถแพร่กระจายเชื้อได้
Paralytic poliomyelitis มีอาการต่างๆ คล้ายnonparalytic poliomyelitis รวมทั้งมีอาการอ่อนก าลังของแขนขา หรือประสาทสมองและบางรายพบการทำงานของกระเพาะปัสสาวะเสียไป
การป้องกัน
ในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคให้หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อและการออกกำลังกายมากๆ
ควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัสโรค และผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรค
ให้วัคซีนป้องกันโรค คือ OPVหรือIPV
รักษาตามอาการและระวังไม่ให้เกิดอาการอัมพาต ในระยะ acute ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อไวรัส(Human immune deficiency virus: HIV)
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงของโรคมีทั้งอาการที่เป็นผลจากเชื้อ HIV เอง และอาการจากโรคติดเชื้อซ้ำเติม โดยจะมีตั้งแต่กลุ่มที่ไม่มีอาการแสดงตรวจพบมีการติดเชื้อHIV กลุ่มที่มีอาการน้อยอาการปานกลางและกลุ่มที่มีอาการมาก หรือกลุ่มที่จัดว่าเป็น AIDS โดยตามคำนิยามของ WHO ที่ว่าเด็กจะถูกวินิจฉัยว่าเป็น AIDS เมื่อมีอาการหลัก(major signs)และ อาการรอง (minor signs)อย่างละ 2ข้อ
Major signs
ท้องเสียเรื้อรัง (chronic หรือ recurrent diarrhea)มากกว่า1เดือน
มีไข้ (chronic หรือ recurrent fever) นานเกิน1เดือน
น้ าหนักลด(weight loss)หรือเลี้ยงไม่โต(failure to thrive)
ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างที่รุนแรง หรือเรื้อรัง (persistent/severe/recurrent lower respiratory tract infection)2เดือนขึ้นไป
Minor signs
ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไป(generalized lymphadenopathy
ติดเชื้อราในปากและคอ (oro-pharyngeal candidiasis)
ติดเชื้อที่ไม่รุนแรงซ้ำๆ (repeated common infections)หลายครั้ง เช่น หูชั้นกลางอักเสบ คออักเสบ
ไอเรื้อรัง (chronic cough)นานมากกว่า1เดือน
มีผื่นที่ผิวหนังทั่วตัว(generalized dermatitis)
มีหลักฐานการติดเชื้อ HIVในมารดาขณะตั้งครรภ์หรือก่อนคลอดหรือตรวจพบแอนติบอดีในเด็ก
การรักษา
กลุ่มที่เกิดจากมารดาติดเชื้อ HIV
1.1ให้คำปรึกษาแนะน า (Counseling) แก่ทั้งครอบครัว
1.2 ให้ยาป้องกันการติดเชื้อ Pneumocystiscarinii
1.3 ติดตามเด็กเพื่อการวินิจฉัยไปจนกว่าจะวินิจฉัยได้แน่นอนว่าไม่ติดเชื้อ HIVจากมารดา
1.4 ให้การเสริมภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกับเด็กปกติ
1.5 ติดตามดูเด็กเพื่อค้นหาอาการและอาการแสดงของโรคในผู้ป่วยติดเชื้อ เพื่อการรักษาโรคได้รวดเร็ว
1.6พิจารณาเรื่องการใช้ยาต้านเชื้อ HIV
2.กลุ่มที่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อแล้ว
2.1 ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ทั้งครอบครัว
2.2 รักษาตามอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อHIV ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยได้แก่ failureto thrive, chronic diarrhea
2.3รักษาโรคติดเชื้อซ้ำเติมและให้ยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
2.4 ให้ยาป้องกันการติดเชื้อ pneumocystiscarinii
การติดต่อ
ระยะเวลาในการติดเชื้อจากมารดาไปยังทารกเกิดได้ทั้งขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ ระหว่างคลอดและหลังเกิดโดยเฉพาะในรายที่ได้รับนมมารดาในทารกที่ติดเชื้อพบว่าหลังเกิดทันทีมักจะตรวจไม่พบเชื้อ เมื่อทารกอายุ 3เดือน สามารถตรวจพบเชื้อได้ประมาณร้อยละ 50และเมื่ออายุ 6เดือน จึงจะตรวจพบได้เกือบทุกคน แสดงว่าเชื้อ HIV จะเข้าสู่ทารกขณะคลอดและเชื้อต้องใช้เวลาในการเพิ่มปริมาณในตัวทารก จึงจะตรวจพบได้ในเวลาต่อมา
การป้องกัน และลดอัตราการติดเชื้อ
ถ้ามารดาที่ตั้งครรภ์ติดเชื้อและต้องการบุตร ควรให้ยาเพื่อลดอัตราการติดต่อจากมารดาสู่ทารกโดยใช้ AZT 300 mg วันละ 2ครั้ง เมื่ออายุครรภ์ 34-36สัปดาห์ จนกระทั่งคลอด ขณะเจ็บท้องคลอดให้ AZT 300 mg ทุก 3ชั่วโมงจนกว่าจะคลอด และให้ทารกจนกระทั่งอายุ 6เดือน อาจช่วยป้องกันได้
ตรวจเลือดเพื่อ screenหญิงตั้งครรภ์เพื่อให้คำแนะนำ
ให้ค าปรึกษา แนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งติดเชื้อ
งดให้นมมารดาแก่ทารกที่มีมารดาติดเชื้อHIV
เกิดจากการติดเชื้อ human immunodeficiency virus (HIV) เช่น ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์เลือดและผลิตภัณฑ์จากเลือด การถ่ายเลือด การฉีดยา การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และการถ่ายทอดเชื้อทางรก
โรคคอตีบ(Diphtheria)
เกิดจากเชื้อ Corynebacteriumdiphtheriaซึ่งถูกท าลายได้ในความร้อน 58องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน 10นาที และน้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ เชื้อทนต่อความแห้งได้สามารถคงความรุนแรงอยู่ในฝุ่นละอองได้นานถึง 5สัปดาห์ความรุนแรงของเชื้อขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง exotoxin
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัวประมาณ2-6วันอาการและอาการแสดงจะรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับต าแหน่งที่เป็น ถ้าลุกลามมาก หรือเป็นในบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงมากจะเข้าสู่กระแสโลหิตได้มากและเร็วกว่าที่อื่นอาการทั่วไป
เนื่องจากมี pseudomembraneคลุมบริเวณจมูก หรือ คอ ทำให้หายใจลำบาก มีเสียงดัง พิษของเชื้อจะเข้าไปตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดมีไข้ ปวดศีรษะอ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ เสียงแหบ กลืนอาหารไม่ได้
การป้องกัน
ใหัวัคซีนป้องกัน ในรูป DTP, DTaP, DT, dTตามแผนการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ
แยกและกักกันผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคคอตีบจากผู้อื่น จนกว่าการเพาะเชื้อจะให้ผลลบติดต่อกันอย่างน้อย2-3 ครั้งในเวลา 24 ชั่วโมง
เด็กที่อยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วย และผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยควรให้แพทย์ตรวจหาเชื้อในคอทุกวันเป็นเวลา7วัน
อาการแทรกซ้อนที่พบได้เสมอและมีอันตรายมากคือrespiratory tract obstruction, bronchopneumonia, myocarditis, heart failure
การรักษา
การรักษาเฉพาะโรค ให้antitoxin (ภายหลังท า sensitivity test ได้ผลลบ) โดยให้ทางหลอดเลือดด าเพราะสามารถ neutralized toxin ได้เร็วที่สุด คือจะมีระดับของ antitoxin สูงสุดภายใน 30นาที ให้หมดในครั้งเดียวร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะที่ได้ผลดีคือ Penicillin หรือErythromycin
การรักษาทั่วไป
2.1 ให้การรักษาตามอาการ ให้พักผ่อนให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและระวังภาวะแทรกซ้อน
2.2ในรายที่มีอาการอุดกั้นทางเดินหายใจช่วงบน อาจต้องเจาะคอ
2.3 ในรายที่มีmyocarditis ร่วมด้วย ต้องให้ absolute bed rest อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือ จนกระทั่งผลการตรวจคลื่นหัวใจกลับสู่สภาวะปกติ
วัณโรค (Tuberculosis)
เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งก่อให้เกิดโรคในคน มักตรวจพบได้ในปอดของผู้ป่วย แพร่กระจายปนมากับเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจามออกมาในอากาศ
อาการและอาการแสดง
ระยะแฝง (latent tuberculosisinfection:LTBI) เด็กมักจะแข็งแรงดี แต่มีประวัติสัมผัสคนใกล้ชิดที่ป่วยเป็นวัณโรคระยะแพร่เชื้อทำ tuberculine test จะให้ผลบวก ถ้าเอกซเรย์ปอดอาจพบความผิดปกติที่บ่งชี้ว่าอาจติดเชื้อวัณโรค แต่พบได้น้อยมาก
ระยะเป็นโรค(tuberculosis disease or active TB)มักมาด้วยอาการผิดปกติของอวัยวะที่เป็นวัณโรค โดยเด็กที่ที่เป็นที่ปอดจะพบความผิดปกติของปอดจากผลเอกซเรย์
เด็กที่มีประวัติเคยสัมผัสผู้ป่วย(exposure orcontact) มักจะแข็งแรงดี แต่ถ้าสัมผัสคนใกล้ชิดที่เป็นวัณโรค เอกซเรย์ปอด และทำ tuberculine test ให้ผลลบ แสดงว่ายังไม่ติดเชื้อหรือติดแล้วแต่อยู่ในระยะฟักตัว
วัณโรคปอดมักมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด อาจมีอาการไอคล้ายไข้หวัดแบบเรื้อรัง ไอมากจนเจ็บหน้าอก หรือมีเลือดปน ถ้าเป็นมากอาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion)ทำให้หายใจลำบาก หายใจหอบ มีอาการขาดออกซิเจนได้
วัณโรคต่อมน้ าเหลือง
เป็นวัณโรคนอกปอดที่พบได้บ่อยที่สุด ต่อมน้ำเหลืองที่พบมากคือบริเวณคอ ส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์จากการคล าพบก้อนที่คอโดยไม่มีอาการเจ็บ อาจมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น แข็ง กดไม่เจ็บ เคลื่อนที่ไปมาได้ ต่อมาจะโตขึ้นแต่นิ่มลง และเริ่มติดแน่นกับเนื้อเยื่อข้างเคียง
การติดต่อ จากคนสู่คนผ่านทางอากาศ (air borne transmission) โดยเมื่อผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคปอด หลอดลม หรือกล่องเสียง ไอ จาม พูดดังๆ ตะโกน หัวเราะ หรือร้องเพลงท าให้เกิดฝอยละออง (droplets) ฟุ้งกระจายออกมา dropletsขนาดใหญ่มากจะตกลงสู่พื้นดินและแห้งไป dropletsที่มีขนาดเล็กๆจะลอยและกระจายอยู่ในอากาศ
วัณโรคในระบบประสาท
ช่วงแรกเด็กอาจไม่แสดงอาการจนกระทั่งก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงจะปรากฎอาการทางระบบประสาทให้เห็น เช่น ชัก กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาตของแขน ขา หายใจมาสม่ำเสมอ เป็นต้น นอกจากนั้นก้อนเนื้อในสมองอาจกลายเป็นหนอง ท าให้เกิดลักษณะคล้ายฝีในสมองได้ เช่น อาการไข้ ปวดศีรษะ และอาเจียนเนื่องจากมีความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น คอแข็งและซึมมาก
วัณโรคปอด
มักมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด อาจมีอาการไอคล้ายไข้หวัดแบบเรื้อรัง ไอมากจนเจ็บหน้าอก หรือมีเลือดปน ถ้าเป็นมากอาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
วัณโรคของกระดูกและข้อ
ส่วนใหญ่มักเป็นที่บริเวณกระดูกสันหลัง ข้อสะโพก และข้อเข่า โดยจะไม่มีอาการของวัณโรคปอดร่วมด้วย มักมาด้วยอาการปวดกระดูกบริเวณที่ติดเชื้อ ทำให้การเคลื่อนไหวลำบาก บางรายในช่วงแรกอาจไม่แสดงอาการปวด ทำให้กระดูกถูกทำลายไปมากแล้วกว่าจะตรวจพบ เชื้อจะเข้าไปในข้อทำให้มีน้ำในข้อมากขึ้น
การรักษา
ให้ยาถูกต้องตามขนาดถ้าขนาดยาต่ำเกินไป นอกจากก่อให้เกิดการรักษาที่ล้มเหลวแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาตามมาอีก ในกรณีที่ให้ยาในขนาดที่สูงเกินไป ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยาที่รักษาได้
ระยะเวลาของการรักษาต้องนานเพียงพอสูตรยามาตรฐานระยะสั้นส่วนใหญ่ใช้เวลานาน 6 เดือน หากได้ยาไม่ครบตามกำหนด ผู้ป่วยอาจกลับเป็นโรคซ้ำ หรือเกิดเป็นวัณโรคดื้อยาได้
ใช้ยาต้านวัณโรคที่ไวต่อเชื้อหลายชนิดร่วมกันในการรักษา
ความต่อเนื่องของการรักษาการรักษาภายใต้การก ากับดูแล (Direct Observed Therapy: DOT) เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การรักษาวัณโรคมีความต่อเนื่อง ลดปัญหาการเกิดการรักษาที่ล้มเหลวและวัณโรคดื้อยา
แผลพุพอง (Impetigo/Ecthyma)
แผลพุพองแบบมีตุ่มน้ำ (Bullous Impetigo)มีตุ่มน้ำพองใสขนาด1-2เซนติเมตรขึ้นตามร่างกายบริเวณลำตัวจนถึงลำคอหรือที่แขนและขาทั้ง2ข้างอาจแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย
แผลพุพองแบบไม่มีตุ่มน้ำ (Non-Bullous Impetigo)มีตุ่มหรือผื่นแดงขนาดประมาณ2เซนติเมตรหรือเล็กกว่าและกลายเป็นแผลปกติจะขึ้นที่รอบจมูกและปากอาจขึ้นที่ส่วนอื่นของใบหน้าหรือแขนและขาได้จะไม่รู้สึกเจ็บที่บริเวณแผลแต่จะมีอาการคันแผลอาจกระจายเป็นบริเวณกว้างอย่างรวดเร็วและทิ้งสะเก็ดหนาสีเหลือง
แผลพุพองแบบรุนแรง (Ecthyma)เป็นการติดเชื้อที่ชั้นหนังแท้อาการเบื้องต้นจะมีลักษณะคล้ายแผลพุพองแบบไม่มีตุ่มน้ำแต่ลึกกว่ามีสะเก็ดสีเหลืองและขอบแผลชัดมักพบที่บริเวณขาหรือเท้าของเด็กผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องเช่นผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งหรือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
การดูแลรักษาแผลพุพองการดูแลรักษาแผลพุพองทั่วไปโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ7-10วันขึ้นอยู่กับอาการและระดับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละรายถ้าอาการไม่รุนแรงแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลและเสริมสร้างสุขอนามัยให้ดีขึ้นเพื่อรักษาและป้องกันการแพร่ของเชื้อแบคทีเรีย
ภาวะแทรกซ้อนของแผลพุพอง
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด(septicemia)ท าให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปอาจสูงขึ้นหรือต่ำลงหัวใจเต้นเร็วหายใจเร็วมีอาการสั่นถ้าเข้ารับการรักษาไม่ทันอาจทำให้การท างานของอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้
ไข้อีดำอีแดง(scarletFever)เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังทำให้เกิดอาการเจ็บคอมีไข้สูงผื่นคันสีแดงหรือชมพูที่บริเวณหน้าอกท้องและกระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายเช่นหูและคอ
ไตอักเสบโดยเชื้อแบคทีเรียจะเข้าไปทำลายไตทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเลือดฝอยที่ไตรอยแผลเป็นแต่พบได้ยากหากไม่แกะหรือเกาในบริเวณที่เป็นแผล
เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ(cellulitis)เกิดการติดเชื้อที่ชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนังทำให้เกิดอาการแดงบวมตึงเจ็บแสบร้อนที่ผิวหนังหรืออาเจียนและมีไข้สูงร่วมด้วย
สะเก็ดเงิน(guttatepsoriasis)เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้ผิวแห้งแดงคันและตกสะเก็ดเป็นสีเทาหรือสีเงิน
ไข้รูมาติก(rheumaticfever)เชื้ออาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งอาจพบว่ามีการอักเสบของหัวใจตามมา
การป้องกันการเกิดแผลพุพองโดยการรักษาความสะอาดร่างกาย ตัดเล็บให้สั้นป้องกันการติดเชื้อจากการเกา ระวังไม่ให้แมลงกัด หรือมีแผลขีดข่วน ป้องกันการติดเชื้อตามมา