Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Covid 19 by อาภัสรา ซ่งสกุลไพศาล 64019638, S__14360925, S__14360929, S_…
Covid 19
by อาภัสรา ซ่งสกุลไพศาล
64019638
ติดโควิดจากไหน
รับละอองฝอยจากการไอจาม
มือสัมผัสเชื้อแล้วมาจับ ตา จมูก ปาก
สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
อาการของโรค
ปวดเมื่อย ตามตัว
ไม่ได้กลิ่นหรือลิ้นไม่รับรส
อ่อนเพลีย
คัดจมูก น้ำมูกไหล
ไอ เจ็บคอ
คลื่นไส้อาเจียน
มีไข้ ปวดศรีษะ
อุจจาระเหลว
จมูกไม่ได้กลิ่น
ปอดอักเสบ
วิธีดูแลแบบแยกกักตัวที่บ้าน Home Isolation
พ่อแม่ ผู้ปกครอง
ต้องคอยสังเกตอาการโดยรวมของเด็ก อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
อุปกรณ์เพื่อใช้ติดตามอาการ
ปรอทวัดไข้
เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว
อุปกรณ์ถ่ายภาพ หรือคลิปวีดีโอ
ยาสามัญประจำบ้าน
ดูแลป้องกันอย่างไรให้ห่างไกลจากโควิด-19
รับวัคซีนป้องกันโควิด และฉีดกระตุ้นเมื่อครบกำหนดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการป่วยหนักและการแพร่เชื้อสู่เด็กเล็ก
สวมหน้ากากอนามัยที่ขนาดพอดีอย่างเหมาะสม
หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ที่แออัดหรือระบายอากาศไม่ดี
ตรวจ ATK / PCR เมื่อไม่แน่ใจ
เว้นระยะห่างจากผู้อื่น
ล้างมือสม่ำเสมอด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลล้างมือหากไม่สามารถหาสบู่และน้ำสะอาดได้
เรื่องต้องรู้! อาการที่ควรเฝ้าระวังหลังเด็กๆ ได้รับวัคซีนโควิด
การสังเกตุอาการ
แบบที่ 1เฝ้าสังเกตที่บ้าน
มีไข้ต่ำ ไอเล้กน้อย กินอาหารหรือนมได้ปกติ
แบบที่ 2 รีบติดต่อ จนท.ส่งรพ.
ไข้สูงกว่า 39 C หายใจหอบเร็ว
ปากเขียว
ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94 %
ไม่ดูดนม และไม่กินอาหาร
ทารกและเด็กเล็ก
ดูแลสุขอนามัย
ล้างของเล่นของใช้ให้สะอาด
ไม่พาไปในชุมชน
วีธีดูแลเด็ก
จำกัดปริมาณการรับรู้ข่าวสารของเด็กให้พอเหมาะ ใส่ใจว่าเด็กได้รับข้อมูลอะไรไปบ้างในแต่ละวัน
ทำกิจวัตรในบ้านตามปกติ ใช้เวลาในบ้านร่วมกันให้มากขึ้น
ผู้ใหญ่โปรดระงับอารมณ์ หลีกเลี่ยงการต่อว่าด่าทอกล่าวโทษคนอื่น ควรตั้งสติ หาข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหา
ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับเด็กเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมตามระดับพัฒนาการ
ท่าทีที่สงบมั่นคงของผู้ดูแลจะช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ
สอนเด็กดูแลสุขภาพของตัวเอง
เด็กอนุบาล
อธิบายโดยการใช้ภาษาง่ายๆ สั้นๆ
ไม่ให้ข้อมูลมากเกินไป
สอนล้างมือด้วยน้ำและสบู่พร้อมกับร้องเพลง 20 วินาทีไปด้วยกัน
สอนใส่หน้ากาก
หาอะไรให้เล่น มือจะได้ไม่ว่าง
วัยรุ่น
ผู้ปกครองควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
อธิบายให้เข้าใจถึงโรค
วัยนี้อาจมีอารฒณ์เปลี่ยนแปลงเร็วและหงุดหงิดที่ไม่ได้เจอเพื่อนและโดนกักตัว ให้ผู้ปกครองพูดคุยด้วยเหตุผล
เปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิดเห็น
แสดงความห่วงใยต่อลูก
อาการโรคโควิด-19 ในเด็ก
ผู้ป่วยโควิดมีการแสดงอาการหลากหลาย ตั้งแต่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยจนถึงป่วยหนัก แม้ผู้ป่วยเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงก็สามารถป่วยหนักได้ อาการอาจจะแสดงในวันที่ 2-14 ภายหลังจากได้รับเชื้อโควิด-19
กรณีอาการรุนแรง
แน่นหน้าอก ซึม กระสับกระส่าย หายใจลำบาก ดื่มนมหรือกินอาหารไม่ได้ มีอาการเขียว
เด็กประถม
สอนนับ 1-20 ขณะล้างมือด้วยน้ำสบู่
สอนไม่ให้เอามือจับหน้า
กลุ่มที่ต้องระวัง
เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ
เด็กที่มีความเสี่ยงว่าจะติดโควิด
อาจมีอาการท้องเสีย ปวดท้องซึ่งพบไม่มาก
ไอแห้ง
บางรายอาจมีผื่นแดง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส
อ่อยเพีลย
อาจพบอาการปวดเมื่อยตามตัว
เจ็บคอ
คัดจมูก อาจมีหรือไม่มีน้ามุกก็ได้
เบื่ออาหาร เด็กทารกอาจกินนมน้อยลง
มีไข้หลายวัน อาจจะไข้สูงหรือต่ำก็ได้
เด็กแรกเกิดกับอาการโรคโควิด 19
คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้ง หรือมีเสมหะ
หายใจลำบาก หายใจเร็วกว่าปกติ หรือหายใจมีเสียงดัง
ผื่นขึ้นตามตัว
อาเจียน ท้องเสีย
ซึมลง ดูดนมได้น้อยลง
มีไข้
วิธีดูแลใจเด็กๆ
ดูแลอย่างใกล้ชิด
ทำกิจกรรมร่วมกัน
สังเกตและรับฟัง
จัดการอารมร์ตนเอง
ลูกติดโควิด 19 ต้องทำอย่างไร
2.กรณีเด็กติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองไม่ติดเชื้อ
ให้เข้ารักษาในโรงพยาบาลหรือ ออสพิเทล และผู้ปกครองที่ติดตามดูแลควรอายุไม่เกิน 60 ไม่มีโรคประจำตัว กรณีโรงพยาบาลสนาม ควรจัดพื้นที่แยกเด็กและผู้ปกครอง
3.กรณีเด็กไม่ติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองติดเชื้อ
ให้ญาติดูแล หากไม่มีผู้ดูแล ให้ส่งไปยังสถานสงเคราะห์ หรือบ้านพักในสังกัดกระทรวง
1.กรณีเด็กติดเชื้อและผู้ปกครองติดเชื้อ
เข้ารับการรักษาโดยเน้นจัดอยู่เป็นครอบครัว
4.กรณีระบาดเป็นกลุ่มในโรงเรียนหรือเนิสเซอรี่
พิจารณาใช้พื้นที่เนิรส์เซอรี่เป็นโรงพยาบาลสนามเฉพาะกิจ ดูจากความพร้อมของสถานที่ และบุคลากรตามความเหมาะสม
โรคโควิด-19 คืออะไร?
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นโรคที่เริ่มระบาดในช่วงเดือนธันวาคมปี 2019 โดยเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า SARS-CoV-2 ซึ่งมีต้นตอการพบเชื้อครั้งแรกที่ตลาดอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และแพร่ระบาดสู่ประเทศอื่นๆ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีการพบผู้ติดเชื้อในเกือบทุกประเทศทั่วโลก
ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนามากกว่า 199 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 4 ล้านคน จาก 220 ประเทศ นับเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก
ไวรัสโคโรนา (Coronaviruses หรือ CoVs) คือตระกูลหนึ่งของไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร ลักษณะเด่นของไวรัสตระกูลนี้คือ เป็นไวรัสที่มีสารพันธุกรรมชนิด RNA มีเปลือกหุ้มด้านนอกที่ประกอบด้วยโปรตีน และล้อมรอบด้วยปุ่มหนามที่เกิดจากกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ดูคล้าย ‘มงกุฎ’ จึงถูกตั้งชื่อว่า Coronavirus
โดยมากแล้วมักพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสัตว์ แต่ก็มีไวรัสโคโรนาที่พบการติดเชื้อและก่อโรคในมนุษย์ (Human coronaviruses) อยู่มากกว่า 30 สายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกคร่าวๆ ได้ 2 กลุ่ม ดังนี้
สายพันธุ์ที่ก่อโรคไม่รุนแรง
เช่น HCoV-229E, HCoV-OC43, HCoV-NL63, และ HCoV-HKU1
เป็น 4 สายพันธุ์หลักที่มักก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจที่ไม่รุนแรง มักเป็นเพียงไข้หวัดทั่วไป (Common Cold) โดยมีการพบว่าไวรัส 4 สายพันธุ์นี้เป็นสาเหตุให้เกิดไข้หวัดราว 30% ของผู้ป่วยทั้งหมด
และถึงแม้จะพบได้น้อย แต่ไวรัส 4 สายพันธุ์ดังกล่าวอาจก่อโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่มีอาการรุนแรงได้เช่นกัน เช่น ปอดอักเสบ (Pneumonia) และโรคหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) โดยมักพบการติดเชื้ออื่นๆ ในระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย รวมถึงอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง นอกจากนี้ ไวรัส HCoV-OC43 ยังอาจกลายพันธุ์จนทำให้เกิดการติดเชื้อในสมองได้อีกด้วย
สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรง
SARS-CoV ทำให้เกิดโรคซาร์ส หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งเคยระบาดในประเทศจีนและฮ่องกง ช่วงปี 2002-2003
MERS-CoV ทำให้เกิดโรคโรคเมอร์ส หรือโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง ซึ่งพบการระบาดมากในช่วงปี 2012-2013
SARS-CoV-2 เป็นสายพันธุ์ล่าสุดที่เพิ่งค้นพบในปี 2019 และทำให้เกิดโรคโควิด-19
สาเหตุของโรคโควิด-19
จากการศึกษาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 นักวิจัยพบว่ามีนิวคลีโอไทด์ (Nucleotide) คล้ายกับเชื้อที่พบจากค้างคาวในประเทศจีน จึงทำให้เกิดการสันนิษฐานว่า ต้นกำเนิดของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มาจากไวรัสที่พบในค้างคาว และเกิดการกลายพันธุ์จนสามารถแพร่จากสัตว์มาสู่คนได้ จนนำไปสู่การติดเชื้อจากคนสู่คนในที่สุด
เชื้อ COVID-19 สามารถติดต่อได้จากการรับละอองฝอยจากระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วย เช่น การไอจามรดกัน รวมถึงการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น การสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก เสมหะ สัมผัสเชื้อที่อยู่บนพื้นผิวของสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ และเชื้อในอากาศ ผ่านการรับเชื้อทางตา จมูก ปาก
เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรค COVID-19 อาจอยู่บนพื้นผิวต่างๆ ได้ยาวนานตั้งแต่ 2 ชั่วโมงไปจนถึง 9 วัน โดยพบว่าเชื้อจะตายอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ใต้รังสี UV จากแสงแดด ในทางตรงกันข้าม เชื้อจะอยู่บนพื้นผิวหรือในอากาศได้อย่างยาวนานที่อุณหภูมิห้องหรือต่ำกว่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) ต่ำ อย่างไรก็ตาม WHO ยืนยันว่าเชื้อโควิด-19 ยังคงสามารถถ่ายทอดจากคนสู่คนได้ในทุกๆ สภาพอากาศและสภาพแวดล้อม
การตรวจหาเชื้อ COVID-19
1.RT-PCR (Reverse Transcriptase Polymerase Chain Reaction)
คือวิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสที่ใช้เอนไซม์ Reverse Transcriptase เปลี่ยน RNA ของไวรัส SARS-CoV-2 ให้เป็น DNA จากนั้นจึงใช้เครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมคัดลอกชิ้นส่วน DNA ของไวรัสให้มีปริมาณมากพอที่จะวิเคราะห์ DNA ได้
การตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR สามารถตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อได้โดยตรง แม้มีปริมาณเชื้อน้อย หรือติดเชื้อจนเริ่มมีอาการดีขึ้นแล้วก็ยังสามารถตรวจพบซากเชื้อได้ วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ เนื่องจากมีความจำเพาะและแม่นยำสูง
2.Rapid Test
คือ การตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยใช้ชุดทดสอบที่มีความรวดเร็วในการตรวจวัด ราคาถูกกว่าการตรวจแบบ RT-PCR แต่จะมีความจำเพาะและแม่นยำน้อยกว่า โดยชุดตรวจ Rapid test มี 2 ชนิดคือ
Rapid Antigen Test
เป็นชุดทดสอบสำหรับตรวจหาแอนติเจน (Antigen) ของเชื้อไวรัสในสารคัดหลั่งทางโพรงจมูก เป็นวิธีการที่ทราบผลได้เร็ว แต่มีความแม่นยำและจำเพาะน้อยกว่า RT-PCR วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีอาการป่วยแต่ยังไม่แน่ใจว่าติดเชื้อ COVID-19 หรือไม่ มักใช้ในการคัดกรองผู้ป่วยเบื้องต้น หากใช้ตรวจในตอนที่เพิ่งได้รับเชื้ออาจจะแสดงผลเป็นลบเนื่องจากยังไม่มีปริมาณเชื้อมากพอ หรือหากเคยติดเชื้อจนภูมิคุ้มกันจัดการเชื้อได้หมดแล้วก็อาจให้ผลเป็นลบเช่นกัน
Rapid Antibody Test
เป็นชุดทดสอบที่ใช้ตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดี (Antibody หรือ ภูมิคุ้มกัน) ชนิด IgG และ IgM ที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อได้รับเชื้อ การตรวจวิธีนี้เหมาะกับการตรวจหลังจากได้รับเชื้อมาแล้ว 7 วันขึ้นไป เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีแล้ว ถ้าหากตรวจในช่วง 1-5 วันแรกอาจพบว่ามีผลเป็นลบ
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคโควิด 19
กักตัวตามมาตรการรัฐเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
เตรียมเอกสารสำคัญเช่น บัตรประชาชน เอกสารยืนยันผลตรวจโควิด 19
โทรแจ้งเรื่องที่เบอร์ 1330, 1668,1669 เพื่อเข้ารับการรักษาและชี้แจงรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
งดออกจากที่พักและเดินทางข้ามจังหวัด
สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
หากมีไข้ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้
ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดควรกักตัวเพื่อสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน
การป้องกันโรคโควิด-19
หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดและสัมผัสผู้มีติดเชื้อโควิด-19
หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ที่มีการรวมกลุ่มกัน โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นห้องปิด ไม่มีอากาศถ่ายเท
สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อเดินทางไปพื้นที่สาธารณะและมีการรวมกลุ่ม
ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังสัมผัสกับวัตถุในพื้นที่สาธารณะ เช่น ประตู ตู้ ATM ก๊อกน้ำ ราวบันได
หลีกเลี่ยงการเอามือสัมผัสใบหน้า ปาก เพื่อลดการนำเชื้อเข้าร่างกาย
รับประทานอาหารที่ปรุงสุก
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน เช่น การใช้ช้อนร่วมกัน ดื่มน้ำจากแก้วเดียวกัน