Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Rheumatic Heart Disease - Coggle Diagram
Rheumatic Heart Disease
-
อาการ
-
-ข้ออักเสบ (Arthritis) อาการปวดและกดเจ็บในบริเวณข้อต่อ โดยเฉพาะในข้อต่อบริเวณหัวเข่า ข้อเท้า ข้อศอก และข้อมือ
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อ B-hemolyic streptococcus group A โดยเฉพาะจากการติดเชื้อที่ลำคอซึ่งพบได้บ่อย ระยะฟักตัวประมาณ 1 - 5 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงแสดงอาการ ร่างกายจะมีปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อ เชื้อโรค (antigen-antibody reaction) โดยสร้างแอนติบอดี้จำเพาะต่อเชื้อโรคเพื่อทำลายเชื้อโรค แต่ส่วนต่างๆ ของเชื้อโรคมีความคล้ายคลึงกันทางระบบภูมิคุ้มกันกับเนื้อเยื่อของหลายอวัยวะในร่างกาย จึงทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะหลายระบบ เช่น ผิวหนังอักเสบ (erythema mar-ginatum, subcutaneous nodule) ระบบประสาทผิดปกติเกิดชัก หรือ เคลื่อนไหวผิดปกติ (chorea)ปวดตามข้อหลายๆข้อ (polyarthritis) หัวใจอักเสบ (cardis) ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ สิ้นหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ผลที่ตามมาจากการเกิดสิ้นหัวใจอักเสบคือเกิดผังผืดเกาะลิ้นหัวใจ (fibrosis) ทำให้ลิ้นหัวใจแข็งปิด-เปิดได้ไม่เต็มที่ (สิ้นหัวใจดีบ) หรือปิดไม่สนิท(ลิ้นหัวใจรั่ว) หรือทั้งตีบและรั่วในขณะเดียวกัน โดยอาจจะเป็นลิ้นเดียวหรือหลายสิ้นก็ได้ ที่พบบ่อยได้แก่ ลิ้นไมตรัลรั่ว ลิ้นไมตรัลตีบและลิ้นเอออร์ติครั่ว
-
การวินิจฉัยโรค
1.การทดสอบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ (Swab test) แพทย์มักใช้การทดสอบการเช็ดคอกับเด็กและอาจไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบแบคทีเรียอีก
-
3.การทดสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG) ถูกใช้เพื่อบันทึกสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจเพื่อค้นหากิจกรรมทางไฟฟ้าที่ผิดปกติกำหนดพื้นที่ที่ขยายใหญ่ขึ้นของหัวใจ
4.การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram) แพทย์อาจใช้การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อสร้างภาพของหัวใจเพื่อตรวจหาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ
ภาวะแทรกซ้อน
กรณีลิ้นหัวใจไมตรัลรั่ว (mitral regurgitation) ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท เมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวจะทำให้มีเลือดบางส่วนย้อนกลับไปที่ห้องบนซ้าย ทำให้ความดันในหัวใจห้องบนซ้ายสูงขึ้นส่งผลต่อความดันในระบบไหลเวียนปอดสูง และหัวใจล้มเหลวตามมาเช่นเดียวกับลิ้นหัวใจไมตรัสตีบซึ่งจะมีอาการแสดงคล้ายกัน
กรณีมีภาวะสิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว (cortic regurgitation) ทำให้มีเลือดค้างอยู่ในหัวใจห้องล่างช้ายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความดันในขณะหัวใจมีการคลายตัวของห้องล่างซ้ายสูงขึ้นและขยายขนาดเดียวกันต้องทำงานเพื่อเพิ่มปริมาตรเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที (cardiac output)เพื่อส่งเลือดไประบบไหลเวียนให้เพียงพอ เมื่อเวลาผ่านไปหัวใจห้องล่างซ้ายจะไม่สามารถจะเกิดภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลว
อาการทางคลินิก
ผิวหนัง เป็นอาการที่พบได้ไม่มากนักโดยผื่นบนผิวหนังจะเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ แบบผื่นวงแดงบนผิวหนัง และตุ่มแข็งบนผิวหนัง อาการผื่นเหล่านี้นั้นจะเกิดขึ้นมาเพียงชั่วคราว และไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด โดยปกติแล้วอาการที่ผิวหนังนี้จะเกิดขึ้นควบคู่กับอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ข้อกระดูก โดยส่วนมากมักจะเกิดกับข้อใหญ่ของร่างกายอาทิเช่น หัวไหล่ หัวเข่า ข้อศอก และข้อเท้า ในผู้ป่วยหลายรายอาจมีอาการปวดข้อถึงแม้ว่าข้อแทบจะไม่มีอาการบวมเลยก็ตาม การปวดข้อจากไข้รูมาติกนี้สามารถรักษาได้ด้วยการรับยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน เป็นต้น
อาการแสดงขึ้นอยู่กับการผิดปกติของสิ้นหัวใจว่า มีการรั่วหรือตีบมากน้อยแค่ไหน กรณีที่มีการตีบของสิ้นหัวใจไมตรัล (mitral stenosis หัวใจห้องบนซ้ายต้องเพิ่มแรงบีบตัวเพื่อให้เลือดไหลผ่านสิ้นที่ตึบเข้าสู่หัวใจห้องล่างซ้าย ความดันในห้องหัวใจบนซ้ายสูงขึ้น ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดที่ปอด ในระยะยาวจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงร่างกาย (cardioc output) ลดลง ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก โดยเฉพาะเวลาออกแรง นอนราบไม่ได้ในเด็กเล็กจะมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ สุขภาพไม่แข็งแรง
สมอง ในอาการอักเสบที่เกิดขึ้นนั้นยังสามารถเกิดกับสมองส่วนที่บังคับการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นผลให้การเคลื่อนไหวเกิดความผิดปกติ แต่อาการนี้จะเกิดขึ้นหลังติดเชื้อประมาณ 1-6 เดือน และจะเป็นมากขึ้นในตอนที่มีความเครียด หรืออาการล้า
โรคหัวใจรูห์มาติคเป็นโรคหัวใจในเด็กที่เกิดภายหลังที่เกิดตามหลังไข้รูห์มาติค (rheumatic heart disease)(RHD) ซึ่งมีการติดชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น หัวใจ เนื้อของสมอง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และผิวหนัง โดยเฉพาะหัวใจทำให้มีการอักเสบของหัวใจทุกชั้น รวมทั้งเยื่อยุหัวใจและสิ้นหัวใจ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้
การรักษา
- การรักษาทางยาให้ยาควบคุมภาวะหัวใจล้มเหลวหากผู้ป่วยมีพยาธิสภาพที่หัวใจ ในกรณีที่มีการอักเสบของระบบอื่นๆในร่างกายด้วย ให้ลดการอักเสบที่เกิดขึ้นต่อทุกระบบ ยาที่ได้ผลดีมากที่สุดคือ แอสไพริน (aspirin) ในขนาดสูง
- การรักษาทางการผ่าตัด ในกรณีที่มี myocardial dysfunction เช่น decreased ejection fraction < 50 % แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดซ่อมแซม (aortic valve repair) หรือเปลี่ยนลิ้นเอออร์ติด(oortic valve replacement) ผ่าตัดเพื่อขยายรูเปิดของลิ้นไมตรัส(mitral valvolotomy) หรือผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นไมตรัล (mitral valve replacement)
1.การป้องกันการเกิดไข้รูห์มาติคสำคัญที่สุด เนื่องจากการเกิดไข้รูห์มาติคซ้ำๆ อาจทำให้ความพิการของสิ้นหัวใจอย่างถาวร
1.1 การป้องกันแบบปฐมภูมิ (primary prevention) ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อกันการติดเชื้อ beta-hemolytic streptococcus group A ในเด็กโดยให้ยาpenicillin V 250 mg.ทางปาก เป็นเวลา 10 วัน วันละ 2-3 ครั้ง ในเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ให้ยาขนาด 500 mg วันละ 2-3ครั้ง เป็นเวลา 10 วัน และให้ Benzathin penicillin G ขนาด 6 แสนยูนิตในเด็กน้ำหนักตัวน้อยกว่า 27 กิโลกรัม เข้ากล้ามครั้งเดียวและขนาดหนึ่งล้านสองแสนยูนิต ในเด็กและผู้ใหญ่ที่น้ำหนักมากกว่า 27 กิโลกรัม ฉีดเข้ากล้าม ครั้งเดียว
1.2 การป้องกันแบบทุติยภูมิ (secondary prevention) เป็นการป้องกันการติดเชื้อ beto-hemolytic streptococcus group A ในผู้ที่เคยเป็นไข้รูห์มาติคมาแล้ว โดยให้ยาป้องกันการติดเชื้อนี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยให้ Benzathin penicllin G ขนาดหนึ่งล้านสองแสนยูนิต ฉีดเข้ากล้ามทุก 3-4 สัปดาห์ และรับประทานยา penillin V 250 mg วันละ 2 ครั้ง
สาเหตุ
โรคหัวใจรูห์มาติคเป็นผลหรือภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นไข้รูห์มาติค มักเกิดตามหลังการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน เช่น คออักเสบหรือต่อมทอมซิลอักเสบ จากเชื้อ B-hemolytic streptococcus group A และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องภายในเวลา 1-5 สัปดาห์ จึงทำให้เกิดหัวใจอักเสบ และมีการทำลายสิ้นหัวใจ พบได้มากในเด็กอายุระหว่าง 5 - 15 ปี เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแออัด เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือมีผู้ติดเชื้อโรคนี้อยู่ด้วยทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย
-
-