Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Spinal Stenosis โรคช่องไขสันหลังตีบแคบ - Coggle Diagram
Spinal Stenosis โรคช่องไขสันหลังตีบแคบ
ข้อมูลกรณีศึกษา
ผู้ป่วยชายไทย อายุ 73 ปี
อาการสำคัญ : ปวดหลัง ร้าวลงมาถึงขา ชาขาทั้ง 2 ข้าง 5 ปีก่อนมาโรงพยาบาล ไม่ได้รักษาที่ไหน
ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน : 5 ปีก่อนมาโรงพยาบาลปวดหลัง ร้าวลงมาถึงขา ชาขาทั้ง 2 ข้าง
2 เดือนก่ออนมาโรงพยาบาล ปวดหลังมาก ขาเริ่มไม่รู้สึก จึงมาพบแพทย์ แพทย์วินิจฉัยเป็น Spinal Stenosis
1วันก่อนมาโรงพยาบาล แพทย์นัดมาทำการผ่าตัด
พยาธิสภาพ
โรคช่องไขสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) เกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังและข้อกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดพังผืดและกระดูกงอกไปบีบรัดบริเวณเส้นประสาท ทำให้มีอาการผิดปกติบริเวณหลัง สะโพก หรือขา มักพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป เพราะเริ่มเกิดความเสื่อมตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
อาการและอาการแสดง
ปวดหลัง
ผู้ป่วยมีอาการปวดหลัง ร้าวลงขาทั้ง 2 ข้าง และชาขา
ปวดหลังร้าวลงขา
ปวดขา ตั้งแต่ต้นขาไปถึงน่อง
ชา
อ่อนแรง
กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้
มีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย
ไม่อยากเดิน เดินน้อยลงมากจนสังเกตได้ เพราะการเดินทำให้ปวดหน่วงร้าวลงขา
สาเหตุ
อายุที่เพิ่มขึ้น
ความเสื่อมก่อนวัยจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น เดินเยอะ ยกของเยอะ เป็นต้น
กรรมพันธุ์
อุบัติเหตุรุนแรง
เนื้้องอกหรือมะเร็งที่โตขึ้นจนไปกดเบียดช่องไขสันหลัง
ผู้ป่วยอายุ 73 ปีเป็นผู้สูงอายุ มักยกของหนักเป็นประจำ
การวินิจฉัย
การเอกซเรย์ (X-Ray) แพทย์จะทำการเอกซเรย์ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของกระดูกสันหลังของผู้ป่วย
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI แพทย์สามารถพบความเสียหายบริเวณหมอนรองกระดูกสันหลังของผู้ป่วย ส่งผลให้แพทย์สามารถทำการระบุตำแหน่งบริเวณเส้นประสาทในไขสันหลังที่ถูกกดทับ
ผลตรวจทางห้อง X-ray
การรักษา
การใช้ยาแก้อักเสบ หรือยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น ไอบูโพรเฟน นาพร็อกเซน และอะเซตามิโนเฟน อีกทั้งการใช้ยาประเภทเหล่านี้ไม่ควรใช้ในระยะยาว
การฉีดสเตียรอยด์ สามารถช่วยลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด แต่การฉีดสเตียรอยด์นั้นมีความเสี่ยงในการเกิดการระคายเคืองบริเวณรากประสาท และบวมบริเวณจุดที่ฉีด อีกทั้งการฉีดสเตียรอยด์ซ้ำ จะส่งผลให้กระดูกในบริเวณใกล้เคียง และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอ่อนแอ
การทำกายภาพบําบัด หลังจากที่ผู้ป่วยได้ทำกายภาพบําบัด จะช่วยให้ผู้ป่วยมีการทรงตัวที่ดีขึ้น ช่วยสร้างความยืดหยุ่น และความแข็งแรงของกระดูกสันหลัง รวมทั้งความแข็งแรงของร่างกาย
การผ่าตัด เช่น การผ่าตัดการกดทับที่กระดูกสันหลังส่วนเอวผ่านผิวหนังโดยใช้ภาพถ่ายทางรังสี (PILD) การผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอวแบบแผลเล็ก (MILD) และการผ่าตัดขยายโพรงกระดูกสันหลัง (Laminoplasty)
DCL with Fusion
Decompressive Laminoplasty
การขยายช่องทางออกเส้นประสาทจากด้านหลังแบบลามิเนกโตมี (Laminectomy) เป็นการผ่าตัดยกกระดูกลามินา (Lamina) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกสันหลังที่กดทับออก การผ่าตัดจะช่วยคลายการกดทับรากประสาทซึ่งทำให้อาการปวดหลังและขาลดลง
การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 1.5-3 ชั่วโมง บางครั้งแพทย์จะต่อสายพลาสติกไว้ที่แผลประมาณ 2-3 วันหลังจากผ่าตัด เพื่อให้เลือดที่ค้างอยู่ไหลออกจากแผลได้ หลังจากผ่าตัดแล้วผู้ป่วยจะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลประมาณ 4-5 วัน ระยะเวลาพักฟื้นจนการกลับมาทำกิจกรรมได้ตามปกตินั้นมักขึ้นอยู่กับสภาวะของร่างกายก่อนการผ่าตัดรวมถึงอายุของผู้ป่วย แพทย์จะอนุญาตให้ผู้ป่วยพยายามเดินได้ตามปกติ แต่ยังไม่ควรก้ม ยืด หรือบิดตัวมากเกินไปในระยะ 6 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้แผลเกิดการฉีกขาด
ผล X-ray
Spinal Fusion
การยึดตรึงกระดูกนี้จะเหมือน “การซ่อม” โดยการนำสกรูโลหะ (มักทำด้วยไททาเนียม) ก้านโลหะ แผ่นโลหะ หรือหมอนรองกระดูกเทียมมายึดข้อกระดูกสันหลังทำให้กระดูกเกิดการประสานเชื่อมกัน การประสานของกระดูกจะใช้เวลาประมาณ 6-12 สัปดาห์หลังจากผ่าตัด ระหว่างนี้ผู้ป่วยอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงหลังด้วย ปัจจัยภายนอกที่ทำให้การสมานกระดูกเป็นไปได้ช้าหรืออาจจะขัดขวางกระบวนการสมานกระดูกของร่างกาย ได้แก่ การสูบบุหรี่ ภาวะกระดูกพรุน การใช้ยา หรือการทำกิจกรรมหนักๆ หากกระดูกไม่สามารถประสานกันได้ผู้ป่วยอาจต้องรับการผ่าตัดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
การพยาบาล
ระมัดระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ
หลังตัดไหม5-7 วัน แกะผ้าปิดแผลออก ถ้าแผลแห้งดีสามารถอาบน้ำได้
ข้อห้ามหลังการผ่าตัด
ห้ามก้ม บิดเอี้ยวตัว ยกของหนัก ขับรถุ
หนึ่งเดือนหลังผ่าตัดนั่งได้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 15-30 นาที โดยใส่ L.S. support พยุงหลังให้ตรง
ควรใส่เสื้อพยุงหลังประมาณ 2-3 เดือนหลังผ่าตัด หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
การเดินทาง ให้ใส่เสื้อพยุงหลัง และนั่งเบาะหน้าปรับเอนนอนจนสุด