Croup

อาการของโรค Croup

อาการของโรค Croup จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาประมาณ 3-5 วัน มักเริ่มจากอาการคล้ายเป็นหวัด

คัดจมูก น้ำมูกไหล

มีไข้

ไอแบบมีเสียงก้องหรือคล้ายเสียงเห่า

หายใจเสียงดัง หายใจลำบาก

เสียงแหบ

มีผื่นขึ้น

ตาแดง

ต่อมน้ำเหลืองบวม

โรค Croup มักเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กมีขนาดเล็ก จึงเสี่ยงต่อการเกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆได้ง่าย หากพบว่ามีอาการติดต่อกันนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือมีอาการต่อไปนี้ ควรพาเด็กไปพบแพทย์ทันที

อาการคล้ายภาวะขาดน้ำ เช่น ลิ้นหรือปากแห้ง ไม่ปัสสาวะ

หายใจเข้าหรือออกมีเสียงดังหรือเสียงสูง

หายใจเร็วกว่าปกติ หายใจลำบาก

เริ่มมีน้ำลายไหลหรือกลืนลำบาก

ดื่มนมหรือน้ำไม่ได้ ไม่มีแรง กระวนกระวาย

จมูก ปาก หรือเล็บเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือม่วงจากภาวะหายใจลำบาก

croup-01-1024x770

สาเหตุของโรค Croup

เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะมีความรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อไวรัส หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น โรคภูมิแพ้ การหายใจเอาสิ่งที่ทำให้ระคายเคืองเข้าไป ภาวะกรดไหลย้อน

เกิดจากภาวะกล่องเสียงและหลอดลมอักเสบ (Laryngotracheobronchitis) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนที่พบมากในเด็ก และมักเกิดในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผู้ป่วยจะหายใจติดขัดและไอแบบมีเสียงก้อง อาการของโรคเกิดจากการบวมของกล่องเสียงและหลอดลม

โรค Croup มักเกิดในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนถึง 5 ปี แต่ก็สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ และเกิดในช่วงเวลาใดก็ได้ ซึ่งพบว่ามักเกิดในช่วงเดือนตุลาคมถึงมีนาคมมากกว่าช่วงอื่น ๆ

การวินิจฉัยโรค Croup

สังเกตอาการจากการหายใจของเด็กและอาจตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

สังเกตการหายใจและฟังเสียงบริเวณหน้าอกด้วยหูฟังแพทย์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เช่น หายใจเข้าและออกได้ลำบากกว่าปกติ หายใจมีเสียง เสียงหายใจเบาลง

ตรวจภายในลำคอ เพื่อตรวจสอบอาการบวมแดงของฝาปิดกล่องเสียง

เอกซเรย์บริเวณคอ เพื่อตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมหรือการตีบแคบของหลอดลม

croup-pobpad

การรักษาโรค Croup

การรักษาโดยแพทย์

การรักษาด้วยตนเอง

หากผู้ป่วยเป็นเด็กดูแลให้เด็กอยู่ในอาการสงบด้วยการกอด อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมเบา ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการ เพราะหากเด็กยิ่งร้องไห้ก็จะยิ่งทำให้อาการแย่ลง

ให้เด็กเล็กดื่มน้ำหรือนมอุ่น ๆ ส่วนเด็กโตอาจให้รับประทานซุป ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำหรือบรรเทาอาการได้ น้ำอุ่นยังช่วยเจือจางเสมหะให้เหนียวข้นน้อยลงด้วย

ให้เด็กนอนหมอนสูงหรือให้นอนหนุนตัก เพราะช่วยให้เด็กหายใจได้สะดวกขึ้น

ให้เด็กนอนหลับอย่างเพียงพอ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดียิ่งขึ้น

หากมีไข้สามารถรับประทานยาลดไข้อย่างยาพาราเซตามอลได้ แต่ให้เลี่ยงการใช้ยาแก้หวัดในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี

ใช้ยาสเตียรอยด์ทั้งชนิดรับประทานหรือชนิดพ่น เพื่อลดการอักเสบในทางเดินหายใจ โดยยามักให้ผลภายใน 6 ชั่วโมง

บางรายอาจให้ฉีดยาเดกซาเมทาโซน ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์นานถึง 72 ชั่วโมง หรือพ่นยาเอพิเนฟรีนที่ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วแต่ไม่นาน เพื่อลดการอักเสบของทางเดินหายใจ

กรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจให้เด็กพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล บางรายอาจให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่พบได้น้อย

ภาวะแทรกซ้อนของโรค Croup

โรค Croup ไม่ได้มีความรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ซึ่งอาการของโรคจะหายไปเองภายในเวลา 3-7 วันอาจมีความเสี่ยงที่ทางเดินหายใจจะบวมจนส่งผลกระทบต่อการหายใจของผู้ป่วยได้

อาจเกิดการติดเชื้อบริเวณฝากล่องเสียง ซึ่งอาจทำให้กล่องเสียงบวมทั้งหมดและอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เพราะหากการปิดกั้นของกล่องเสียงไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการหายใจอย่างรุนแรง หรืออาจหยุดหายใจได้

การป้องกันโรค Croup

ล้างมือให้สะอาด และล้างมือบ่อย ๆ

ระวังไม่ให้เด็กอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ

ใช้ทิชชู่ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม ทิ้งทิชชู่ที่ใช้แล้วทันที แล้วรีบไปล้างมือ

พาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เพราะสามารถป้องกันเชื้อบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรค Croup ได้

โรค Croup มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) โดยเด็กอาจติดเชื้อจากการหายใจสูดเอาละอองที่มีเชื้อไวรัสเข้าไป หรือจากการสัมผัสกับของเล่นเด็กและพื้นผิวของวัตถุต่าง ๆ

หากผู้ป่วยเป็นเด็ก ดูแลให้เด็กอยู่ในอาการสงบด้วยการกอด อ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมเบา ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการ เพราะหากเด็กยิ่งร้องไห้ก็จะยิ่งทำให้อาการแย่ลง

กิจกรรมการพยาบาล

1.ประเมินระดับความรู้สึกตัว ลักษณะการหายใจ สัญญาณชีพและวัดออกซิเจนในร่างกาย

2.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

3.ประเมินสัญญาณชีพ อัตราการเต้นของชีพจรและอุณหภูมิของร่างกาย

4.ดูแลผู้ป่วยให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

5.ดูแลให้ดื่มนมหรือน้ำมากๆ

6.ดูแลให้ได้รับยาขับเสมหะและยาขยายหลอดลมตามแผนการรักษาของแพทย์

7.รับประทานอาหารอ่อนและหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการไอ

8.ติดตามและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง

9.สังเกตอาการที่บ่งบอกถึงอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายเช่น การเกิดโรคปอดอักเสบ