Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Hand foot month disease by อาภัสรา ซ่งสกุลไพศาล 64019638, R,…
Hand foot month disease
by อาภัสรา ซ่งสกุลไพศาล
64019638
โรคมือเท้าปาก (Hand Foot Mouth Disease)
ในด้านรายงานการแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปากจากสำนักระบาดวิทยา พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 1 เมษายน 2559 มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนทั้งตามโรงเรียนและในชุมชน 8 เหตุการณ์ จากจำนวนผู้ป่วย 22 ราย ทั้งนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำให้สถานศึกษาปฏิบัติตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกำหนด เพื่อป้องกันการเกิดโรคและการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนของทุกปี (พฤษภาคม-สิงหาคม) และยังเป็นช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ จึงเป็นช่วงเวลาที่พบการแพร่ระบาดของโรคมาก
สถานการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทย อ้างอิงข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2558 มีผู้ป่วยทั้งสิ้น 40,417 ราย คิดเป็นอัตราส่วน 62.21 ต่อประชากร 1 แสนคน และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 3 ราย ส่วนในปี 2559 ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 28 มีนาคม 2559 มีผู้ป่วย 8,973 ราย คิดเป็นอัตราส่น 13.78 ต่อประชากร 1 แสนคน และยังไม่มีผู้เสียชีวิต
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ทำให้มีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และภายในปาก และสร้างความเจ็บปวด โดยผู้ป่วยจะมีไข้ร่วมกับอาการป่วยอื่น ๆ ด้วย เช่น ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ไม่อยากอาหาร พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี แต่สามารถเกิดกับเด็กโตและผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นและหายป่วยภายในเวลาประมาณ 7-10 วัน
การวินิจฉัยโรคมือเท้าปาก
ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการป่วยที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเองว่าเข้าข่ายโรคมือเท้าปากหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วอาการป่วยจะทุเลาลงและหายป่วยเองภายในเวลา 7-10 วัน แต่หากอาการป่วยไม่ดีขึ้น หรือทรุดหนักลง ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา โดยแพทย์จะสอบถามอาการที่เกิดขึ้นและตรวจร่างกาย ตรวจดูบริเวณที่มีแผลหรือตุ่มหนองอักเสบ โดยจะพิจารณาวินิจฉัยโรคจากหลาย ๆ องค์ประกอบ และแพทย์อาจนำตัวอย่างของเหลวภายในลำคอ หรือตัวอย่างอุจจาระส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของอาการป่วยต่อไป
พบว่าผู้ป่วยมีไข้ 38-39 องศาเซลเซียส
พบจุดนูนแดง ตุ่มน้ำใส หรือแผลที่เยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก
พบจุดแดงราบ ตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และแก้มก้น
ในรายที่จำเป็น หรือผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง แพทย์อาจทำการตรวจเชื้อไวรัสจากสิ่งคัดหลั่งที่คอหอย อุจจาระ หรือน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำบนผิวหนังเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเป็นการติดเชื้อในกลุ่มนี้ (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เพราะไม่จำเป็นต้องทำในผู้ป่วยทุกราย เนื่องจากมีราคาแพง และในบางสถานการณ์อาจทำไม่ได้เนื่องจากอุปสรรคทางเทคนิคต่าง ๆ) ได้แก่ การตรวจหายีนของไวรัสด้วยวิธี Polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งจะใช้เวลาในการตรวจและรายงานผลประมาณ 1-3 วัน, และการเพาะเชื้อไวรัส (Virus culture) ซึ่งจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์สำหรับผลการเพาะเชื้อไวรัส (ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจที่จะให้ผลรวดเร็วภายใน 1-2 ชั่วโมง)
อาการของโรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากมีระยะฟักตัว 3-6 วัน โดยหลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร ปวดท้อง และอ่อนเพลีย หลังจากมีไข้ 1-2 วัน จะเริ่มมีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และบริเวณปากทั้งภายนอกและภายในตามมา
สาเหตุของโรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ค็อกซากี้ เอ16 (Coxsackie A16 Virus) และบางส่วนอาจเกิดจากเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) โดยเชื้อไวรัสสามารถติดต่อกันได้ผ่านการไอหรือจาม การสัมผัสของเหลวหรือของเสียที่ปนเปื้อนเชื้อ นอกจาก 2 สายพันธุ์นี้ ยังมีไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ที่สามารถเป็นต้นเหตุของโรคมือเท้าปากได้ คือ กลุ่มเอนเทอโรไวรัส เช่น กลุ่มโปลิโอไวรัส (Polioviruses) กลุ่มค็อกซากี้ไวรัส (Coxsackieviruses) กลุ่มเอ็กโค่ไวรัส (Echoviruses) และกลุ่มเอนเทอโรไวรัสชนิดอื่น ๆ (Enteroviruses)
การรักษาโรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดในทันที หากป่วยด้วยโรคนี้ ผู้ป่วยควรพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ดูแลอาการหรือรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการป่วย แล้วรอจนกว่าอาการเหล่านั้นจะหายไป แต่หากอาการป่วยไม่บรรเทาลง มีอาการป่วยที่ยิ่งทรุดหนัก หรือมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นเกิดขึ้นอีก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป
ภาวะแทรกซ้อนของโรคมือเท้าปาก
อาการส่วนใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากป่วยด้วยโรคมือเท้าปาก คือ ภาวะขาดน้ำ เพราะการป่วยทำให้เกิดแผลอักเสบภายในปากและลำคอ ทำให้กลืนลำบากและสร้างความเจ็บปวดขณะกลืนน้ำหรืออาหาร ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบตามมา มักเป็นอาการป่วยทั่วไปที่ไม่รุนแรง ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่มีโอกาสพบได้น้อยมาก คือ อาการเล็บมือเล็บเท้าหลุด หรือภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส และภาวะสมองอักเสบ
ในรายที่มีอาการคัน อาจเกาจนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน จนกลายเป็นตุ่มหนอง พุพอง
อาจเกิดภาวะขาดน้ำเนื่องจากการเจ็บแผลในปากจนทำให้ดื่มน้ำได้น้อย
ในบางรายอาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งมักจะไม่รุนแรง และจะหายได้เองภายใน 10 วัน
ในรายที่เป็นรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71* (พบได้น้อย) มักทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักกว่าที่เกิดจากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 โดยมักจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท ระบบหัวใจ และปอดได้สูง ได้แก่ สมองอักเสบ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก ภาวะปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) หรือเลือดออกในปอด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ (แต่การติดเชื้อจากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และภาวะช็อกได้ แต่จะพบได้น้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71)
การป้องกันโรคมือเท้าปาก
ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปากได้ แต่มีแนวทางปฏิบัติเพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อที่จะทำให้เกิดโรค รวมถึงป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้ เช่น ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อย ๆ ทำความสะอาดเสื้อผ้าสิ่งของเครื่องใช้ หรือใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดกำจัดเชื้อโรคสิ่งสกปรกที่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว รวมทั้งไม่ใช้อุปกรณ์ในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก ใช้ผ้าสะอาดหรือทิชชู่ปิดปากปิดจมูกทุกครั้งที่ไอหรือจาม ไม่สัมผัสกับผู้ป่วยโรคมือเท้าปากอย่างใกล้ชิด และหากป่วยด้วยโรคมือเท้าปาก ควรลาพักรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหาย
อาการของโรคมือเท้าปากที่แสดงออกชัดเจน
มีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส
ไอ เจ็บคอ
ไม่อยากอาหาร
ปวดท้อง
อ่อนเพลีย
มีตุ่มพอง ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และภายในปาก
เด็กวัยแรกเกิดและเด็กเล็กวัยหัดเดินจะมีอาการงอแงไม่สบายตัว
การติดต่อ
โรคมือเท้าปากสามารถติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากจมูก ลำคอ ละอองน้ำมูกน้ำลาย หรือน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง รวมถึงอุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางอ้อมจากการสัมผัสสิ่งของหรือของเล่น สัมผัสพื้นผิวที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ ดูดเลียนิ้วมือ รวมถึงจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ มือของผู้เลี้ยงดูที่ไม่สะอาด เป็นต้น โดยสถานที่ที่มักพบการระบาดของโรค ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก
การเป็นซ้ำ
โรคนี้สามารถเป็นซ้ำได้อีก ถ้าเชื้อไวรัสที่ได้รับมาเป็นคนละสายพันธุ์กับที่เคยเกิด เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์หนึ่งๆอาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์อื่นๆได้ แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มย่อยของไวรัสเอนเทอโรเช่นเดียวกันก็ตาม
ระยะฟักตัวของโรค
เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน ผู้ป่วยจึงจะแสดงอาการ
วิธีรักษาโรคมือเท้าปาก
การรักษาโดยทั่วไปจึงเป็นการรักษาไปตามแต่อาการของผู้ป่วย ในกรณีที่ป่วยเพลียมากหรือมีอาการหนักมาก แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลและให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับให้ยาลดไข้ แก้ปวด และ/หรือหยอดยาชาในปากเพื่อช่วยลดอาการเจ็บแผลในปาก รวมถึงการเฝ้าสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนทางสมองและหัวใจ แต่สำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่อาการไม่รุนแรง ก็ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล
ในรายที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้รักษาไปตามอาการด้วยวิธีดังต่อไปนี้
หากมีไข้ให้เช็ดตัวและให้กินยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อลดไข้
ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ จนสังเกตเห็นว่ามีปัสสาวะออกมาและใส
ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเหลวหรือของน้ำ ๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ น้ำหวาน ฯลฯ (สำหรับทารกให้ใช้ช้อนป้อนหรือใช้กระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปากแทนการดูดจากขวด) และให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ กินไอศกรีม (ความเย็นจะช่วยทำให้ชา ไม่เจ็บแผล) หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นบ่อย ๆ (ใส่เกลือแกง 1/2 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) เพื่อช่วยลดอาการเจ็บแผล
แม้ว่าโรคนี้มักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน หรือเต็มที่ก็ไม่เกิน 2 สัปดาห์ แต่แนะนำว่าควรสังเกตภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ปอด และหัวใจอย่างใกล้ชิด หากสงสัยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
ในรายที่แผลกลายเป็นตุ่มหนองหรือพุพองจากการเกา แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี (Penicillin V), อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin), อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) เป็นต้น
ถ้าผู้ป่วยมีอาการเจ็บแผลในปากจนรับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และแพทย์อาจให้ยาชาทาแผลในปากเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด เช่น ยาชาลิโดเคน (Lidociane), เบนโซเคน (Benzocaine)
ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาเจียนรุนแรง ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลเช่นกัน
ในปัจจุบันได้มีการรักษาโดยใช้ยาบางชนิดหรือสารที่ช่วยให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยดีขึ้น (Intravenous immunoglobulin - IVIG) ในกรณีที่มีการติดเชื้อชนิดรุนแรง เพราะมีรายงานว่าอาจช่วยลดการลุกลามของปัญหาแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลงได้บ้าง แต่การรักษาด้วยวิธีนี้ยังอยู่ในวงจำกัด และยังต้องการหลักฐานจากการศึกษาทางการแพทย์เพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นอันตรายจากยาที่ใช้รักษา
สัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนที่พ่อแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที
เด็กมีอาการซึมลง ไม่เล่น หรือไม่อยากรับประทานอาหารหรือนม
บ่นว่าปวดศีรษะ ปวดแบบทนไม่ไหว
มีอาการพูดเพ้อไม่รู้เรื่อง สลับกับมีอาการซึมลง หรือเห็นภาพแปลก ๆ
มีอาการปวดต้นคอ คอแข็ง มีการรับรู้ที่สับสน ซึมลง และอาเจียน
เกิดอาการสะดุ้งผวา ตัวสั่น ๆ แขนหรือมือสั่นบ้าง
มีอาการไอ หายใจเร็ว ดูเหนื่อย ๆ หน้าซีด มีเสมหะมาก โดยอาจจะมีหรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้
วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก
เมื่อเกิดการระบาดของโรคนี้ ไม่ควรนำบุตรหลานเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก
ฝึกให้เด็กมีสุขนิสัยที่ดี ไม่นำนิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก ส่วนผู้เลี้ยงเด็กควรล้างทำความสะอาดมือก่อนหยิบจับอาหารให้เด็กรับประทาน และให้เด็กรับประทานแต่อาหารที่สุก สะอาด ปรุงใหม่ ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และให้ดื่มน้ำสะอาด
ผู้เลี้ยงดูเด็กและเด็กควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำกับสบู่ (ทั้งหน้ามือ หลังมือ เล็บ ซอกนิ้วมือ รอบนิ้วมือ และข้อมือทั้งสองข้าง) หลังจากถ่ายอุจจาระเสร็จ หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม หลังจากเช็ดน้ำมูกหรือน้ำลายให้เด็ก ก่อนการเตรียมอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร
รีบซักผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระให้สะอาดโดยเร็วและทิ้งน้ำลงในโถส้วมเท่านั้น (ห้ามทิ้งลงท่อระบายน้ำ)
หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ขวดนม แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน จาน ชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว รวมทั้งของเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็กควรเน้นให้บุคลากรและเด็กดูแลตนเองในเบื้องต้น ตลอดจนแยกสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคนออกจากกัน อย่าให้ปะปนกัน เพราะของเล่นต่าง ๆ อาจปนเปื้อนน้ำลาย น้ำมูก หรือสิ่งขับถ่ายของเด็กได้ และควรหมั่นทำความสะอาดด้วยสบู่หรือผงซักฟอก แล้วล้างน้ำให้สะอาดก่อนที่จะนำไปผึ่งแดดให้แห้ง
สำหรับการทำความสะอาดพื้นเพื่อฆ่าเชื้อโรคนั้น ควรทำความสะอาดโดยใช้สบู่หรือผงซักฟอกปกติก่อน 1 รอบ แล้วตามด้วยน้ำยาฟอกขาว คลอรอกซ์ หรือไฮเตอร์ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเช็ดออกด้วยน้ำสะอาด เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง
เมื่อพบว่าบุตรหลานเป็นโรคมือเท้าปาก ควรแยกให้อยู่แต่ในบ้าน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยไปคลุกคลีกับผู้อื่นประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าตุ่มแผลต่าง ๆ จะหายดี เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกด้วย ไม่ควรให้เด็กไปโรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก หรือที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อไปยังเด็กอื่น
ในช่วงที่มีการระบาดของโรค ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็ก ควรมีการสอบถามถึงประวัติอาการของเด็กที่หน้าโรงเรียนเกี่ยวกับอาการเป็นไข้และตุ่มน้ำที่ปาก มือ และเท้า หากสงสัยว่าเด็กคนไหนเป็นโรคมือเท้าปาก ควรให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองมารับพาเด็กกลับบ้านและไปพบแพทย์ทันที อย่าให้เด็กอยู่ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็ก และควรให้ความรู้เกี่ยวกับโรคดังกล่าวและวิธีป้องกันให้ทราบโดยทั่วกันแก่ครูพี่เลี้ยง พ่อแม่หรือผู้ปกครอง
หากพบว่ามีเด็กในห้องเรียนเดียวเป็นโรคมือเท้าปากตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จำเป็นต้องปิดห้องเรียนหรือโรงเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน
ในกรณีที่มีการติดเชื้อชนิดรุนแรง (ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71) โดยเฉพาะมีการเสียชีวิต โรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องกันที่เข้มข้นมากขึ้น
หากเด็กหรือผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน
เมื่อผู้ป่วยมีอาการไข้สูงซึ่งต้องหาสาเหตุของไข้ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง
เมื่อมีแผลที่ริมฝีปาก มือ เท้า และ/หรือร่วมกับมีอาการเบื่ออาหาร กินไม่ได้ มีไข้สูง
มีอาการซึมหรือหงุดหงิด ไม่สบาย เหนื่อย หายใจเร็ว
มีอาการเขียวคล้ำที่ตัว มือ เท้า หรือชัก ซึ่งแสดงถึงอาการที่เป็นรุนแรง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่รอยโรคบนผิวหนัง
มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
มีโอกาสชักจากไข้สูง
ไม่สุขสบายจากภาวะไข้หรือเจ็บแผลในปาก
มีโอกาสได้รับสารน้ำและสารอาหารไม่เพียงพอ
ขาดการกระตุ้นที่เหมาะสมจากการแยกผู้ป่วย
มีโอกาสแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
การพยาบาล
แยกผ้าเปื้อนทุกชนิดทิ้งลงในถุงพลาสติก
ล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์ทุกครั้ง
รักษาความสะอาดบริเวณที่มีผื่นหรือตุ่ม
ให้เด็กอยู่ในห้องแยกเดี่ยว
ดูแลให้เด็กให้ผ้าสะอาดหรือกระดาษเช็ดหน้าปิดปากและจมูกขณะไอจาม
มีมาตรการเรื่องสุขอนามัยของบุคลากรและผู้ปกครองของเด็กป่วย
ให้ทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัด
ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์เครื่องใช้ของผู้ป่วย
แยกภาชนะ จาน ช้อน แก้วน้ำ
แยกเด็กป่วยจากเด็กอื่น ประมาณ 2 สัปดาห์
อาบน้ำเด็กด้วยสบู่อ่อน
ดูแลให้พักผ่อนเพียงพอในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก
วัดสัญญาณชีพ ติดตามผลตรวจทางห้องปฎิบัติการ เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆ