Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Fetal anomalies ความผิดปกติของทารกในครรภ์, จัดทำโดย นางสาวนิตยา…

- - - - ปัจจัยภายในคือกรรมพันธุ์พบว่าภาวะนี้มีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับพันธุศาสตร์ 12 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยทั้งหมด
        
        ปัจจัยภายนอก ได้แก่ความเจ็บป่วยของมารดาขณะตั้งครรภ์ ภาวะขาดสารอาหาร มารดาสูบบุหรี่จัด มารดาได้รับยาบางชนิดต่อเนื่อง เช่นยากันชัก สารพิษ สารเคมี ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการขาดกรด โฟลิค ในระหว่างการตั้งครรภ์
    - - เป็นโรคที่มีความพิการแต่กําเนิดที่พบมาก ที่สุดอันดับหนึ่งของเด็กและเป็นภาวะที่มีความบกพร่องหลายอย่างรวมกัน เช่นโครงสร้างของปากและใบหน้า ผิดปกติ ปัญหาการดูดกลืนอาหาร มีพัฒนาการและการเจริญเติบโตช้า ปัญหาในการพูด ได้แก่พูดช้า เสียงขึ้น จมูก เสียงแหบ พูดฟังไม่รู้เรื่อง หูหนวก การสบกันของฟันผิดปกติ
    - - หลีกเลี่ยงสาเหตุที่เป็นปัจจัยภายนอก ได้แก่ การงดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์
        
        รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีกรดโฟลิคสูง เช่น บล็อกโคลี่ เม็ดธัญพืช เป็นต้น
        
        มารดาควรได้รับวิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ธาตุสังกะสี และกรดโฟลิคก่อนการตั้งครรภ์ประมาณ 2 เดือนจนกระทั่ง 3 เดือนหลังการตั้งครรภ์
        
        วางแผนตั้งครรภ์โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับวิตามินต่างๆและกรดโฟลิคตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันการเกิดปากแหว่งเพดานโหว่ การ
        
        ผ่าตัดรักษาปากแหว่งเพดานโหว่ส่วนใหญ่ได้ผลดีมาก มักไม่มีผลข้างเคียง มักผ่าตัดเมื่อมี อายุ 18 เดือนขึ้นไป
    - - จัดให้นอนตะแคงศีรษะด้านตรงข้ามริมฝีปากที่แหว่ง
        
        ดูแลความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
        
        ป้องกันแผลและรอยแผลยึดโดยดูแลไม่ให้มีการร้องไห้ตรวจอาการบวมที่ลิ้นจมูกและปากเป็นระยะ 4. ระวังการตกเลือด โดยดึงหรือยืดแขน ป้องกันทารกใช้มือดึงผ้าปิดแผลและให้ทารกดูดนมด้านไม่มี แผลอย่างน้อย 3 สัปดาห์
- - - - อวัยวะในช่องท้องยื่นเข้าไปในช่องอก
        เบียดกันเนื้อปอดและหัวใจของทารกในครรภ์ ซึ่งอาจเสียชีวิตในระยะแรกเกิดได้ จากภาวะปอดแฟบและความ ดันหลอดเลือดปอดสูง
    - - การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง (open repair) ได้แก่ Herniorrhaphy เป็นการผ่าตัดเพื่อนำลำไส้หรือ อวัยวะอื่นให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม และเย็บซ่อมรู้หรือเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหรือพังผืด ที่เป็นจุดอ่อน อีกวิธีคือ Hernioplasty วิธีนี้จะเป็นการใช้แผ่นสารสังเคราะห์เย็บปิดรูหรือจุดอ่อน
      - การผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic) มีหลายวิธีแต่ที่นิยมคือ Totally extraperitoneal (TEP) โดยวิธีนี้ใส่กล้องและเครื่องมือเข้าไปในระหว่างชั้น peritoneum และกล้ามเนื้อ เป่าก๊าซให้มีช่องว่างพอ สำหรับเลาะถุงไส้เลื่อน จากนั้นก็ทำการเลาะด้านหลังของผนังช่องท้อง จะมองเห็นรูไส้เลื่อนจากทางด้าน หลังได้อย่างชัดเจน แล้วใช้ผนังหน้าท้องเทียม (mesh) ปูคลุมกล้ามเนื้อแล้วตรึงด้วยหมุดเย็บ 3-4 ตัว
    - - เจ็บหน้าอก หายใจถี่
        
        คลื่นไส้อาเจียน
        
        เจ็บคอกลืนลำบาก
        
        ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
    - - เกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิดกระบังลมจึงมีรูโหว่ ทำให้อวัยวะส่วนอื่นบริเวณช่องท้องสามารถเคลื่อนมาสู่ช่องอกได้ ส่งผลโดยตรงต่อปอดและหัวใจของเด็ก หากทารกเป็นโรคไส้เลื่อนกระบังลมจะมีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิต
  - - - ก่อนผ่าตัดใช้ผ้าก๊อตชุบ NSS ห่ออวัยวะที่ยื่นออกจากร่างกายเพื่อให้อวัยวะชุ่มชื้นป้องกันอวัยวะแห้งและให้สะอาดอยู่เสมอ
      - หลังผ่าตัดดูแลเหมือนหลังผ่าตัดทั่วไปประเมินความสามารถในการขับถ่ายอุจจาระโดยดูลักษณะ ปริมาณอุจจาระที่ขับถ่ายออกมาแล้วแต่ละครั้ง
- - - - ภาวะที่น้ำในไขสันหลัง (CFS) คั่งในกะโหลกมาก ผิดปกติ ร่วมกับการที่ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นด้วย ลักษณะทางคลินิก หัวโตผิดปกติและขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระหม่อมหน้ากว้างตึง
    - - ควรได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด ซึ่งมักรักษาด้วยการผ่าตัดใส่สายระบายน้ำหล่อเลี้ยงสมองและในไขสันหลัง เพื่อลดแรงกดของสมอง
        ป้องกันไม่ให้สมองได้รับความเสียหาย
    - - ให้การพยาบาลเหมือนทารกทั่วไปและวัดรอบศีรษะทุกวัน
        
        การผ่าตัด : หลังผ่าตัดให้นอนศีรษะต่ำเพื่อลดความดันที่สมอง
        
        ให้คําอธิบายแก่บิดา มารดาให้เข้าใจถึงสภาพของทารก
    - - มีอาการเกร็งที่แขนและขา เดินหรือยืนไม่ได้ จากนั้นศีรษะจะบวมและโตขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว มีหน้าผากที่โปนเด่นกว่าปกติ หนังศีรษะบางเป็นมัน หลอดเลือดดำบริเวณศีรษะมีขนาดใหญ่ผิดปกติชัดเจน
  - - - เกิดหลังจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
      - เกิดหลังจากมีเลือดออกในสมอง
      - มีการผลิตน้ําไขสันหลังมากเกินไป
      - การเจริญเติบโตที่ผิดปกติระหว่างการเจริญเติบโตตั้งแต่ในครรภ์
- - - - ทารกแรกเกิดที่มีขนาดของศีรษะเล็กกว่าปกติ เนื่องจากสมองไม่เจริญเติบโต (ศีรษะเล็ก):
    - - กะโหลกศีรษะเชื่อมติดกันเร็วกว่าปกติ ทำให้สมองหยุดการเจริญโต
        
        โครโมโซมผิดปกติ
        
        สมองขาดออกซิเจน อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ หรือการคลอดที่ส่งผลใหัออกซิเจน ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
        
        ภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรงในขณะตั้งครรภ์
        
        การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ เช่นมารดาเป็น Rubella , Syphilis
        
        มารดา ดื่มแอลกอฮอล์ ได้รับสารพิษ เช่น ตะกั่ว ในขณะตั้งครรภ์
        
        ได้รับรังสีขณะอยู่ในครรภ
    - - ไม่สามารถรักษาได้
    - - สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงต่างๆทางระบบประสาทเกี่ยวกับ ไอคิว และ Mental Retardation (บกพร่องทางการเคลื่อนไหวและทางเชาว์ปัญญา)
      - การพยาบาลทารกแรกเกิดทั่วไป
    - - อาการสําคัญที่บ่งบอกว่ามีภาวะ Microcephaly คือ ทารกมีขนาดเส้นรอบวงของศีรษะเล็กกว่าเด็กใน วัยเดียวกัน
- - - - เส้นประสาทและเยื่อหุ้มประสาทสันหลังออกมาทางรูเปิดของกระดูกสันหลังพบบ่อยที่สุดบริเวณ Lumbosacrum (ร้อยละ 63) เป็นความผิด
        ปกติแต่กําเนิดที่เกิดจากแนวโค้งกระดูกสันหลังทั้ง 2 ด้านไม่เชื่อมต่อกัน ระหว่างทารกเจริญเติบโตในครรภ์
    - - สไปนา ไบฟิดาชนิดมองไม่เห็นภายนอก (Spina Bifida Occulta : SBO) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดแต่มีความรุนแรงน้อยสุด ไขสันและเส้นประสาทไม่มีช่องเปิด แต่อาจจะมีช่องโหว่ขนาดเล็กในกระดูกสันหลัง ซึ่งความบกพร่องชนิดนี้นั้นจะไม่สร้างความเสียหายใด ๆ ให้กับร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดความพิการ
        
        สไปนา ไบฟิดาชนิดเมนนิ้งโกซีล (Meningocele) เป็นชนิดหายากที่เกิดขึ้นเมื่อถุงน้ำไขสันหลัง (แต่ถุงน้ำนี้ไม่มีส่วนประกอบของไขสันหลัง เป็นถุงน้ำนอกร่างกาย) ดันผ่านช่องเปิดที่ด้านหลังของทารก ส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะและลำไส้
        
        สไปนา ไบฟิดาชนิดไมอีโลเมนนิ้งโกซีล (Myelomeningocele) เป็นชนิดที่รุนแรงที่สุด ผู้ป่วยจะมีถุงน้ำที่เป็นส่วนประกอบของไขสันหลังและเส้นประสาท เปิดอยู่ที่ใดที่หนึ่งหรืออยู่หลายที่นอกร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการชัก กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้และกระเพาะอาหาร เป็นต้น
    - - การผ่าตัดแพทย์สามารถผ่าตัดขณะทารกอยู่ในครรภ์ ก่อน 26 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเย็บปิดช่องไขสันหลังของทารก
    - - ให้การพยาบาลทารกแรกเกิดทั่วไป โดยเฉพาะท่านอน ให้นอนตะแคงหรือนอนคว่ำ
        
        สังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลง
        
        ให้คาอธิบายแก่บิดา มารดาให้เข้าใจถึงสภาพทารก
      - ถ้าถุงยื่นออกมาที่รูเปิด ต้องทาแผลด้วย NSS ปิดแผล
    - - โรค Spina Bifida ไม่สามารถระบุสาเหตุทั้งหมดได้อย่างชัดเจน แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือการขาดกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 ของมารดาขณะตั้งครรภ์
- - - - เท้าแปบิดเข้าหรือเท้าแปบิดออกหรือเรียกว่า เท้าปุก ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเท้าเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ พบได้ในมารกแรกเกิด 1 คนจากจํานวนทารกทั้งสิ้น 1,000 คน พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมาจากการที่พ่อแม่เป็นโรคดังกล่าว
    - - เด็กที่มีบุคคลใกล้ชิดภายในครอบครัวเคยเป็นโรคเท้าปุก โดยเฉพาะพ่อแม่หรือพี่
        
        เด็กที่เป็นโรคพิการแต่กำเนิดที่มีความผิดปกติของกระดูก อย่างโรคสไปนาไบฟิดา (Spina Bifida) ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวพันรอบกระดูกสันหลังไม่เชื่อมต่อกัน
        
        ทารกในครรภ์ที่อาศัยอยู่ในมดลูกที่มีน้ำคร่ำไม่เพียงพอ
        
        ทารกที่คุณแม่สูบบุหรี่ ใช้สารเสพติด หรือเกิดการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์
    - - เท้าโค้งงอผิดรูป หลังเท้าพลิกลงพื้น และส้นเท้าบิดเข้าด้านใน หากไม่ได้รับการรักษาอาจพบว่าเท้าบิดเข้าด้านในมากขึ้น จนเด็กต้องใช้หลังเท้าเป็นจุดรับน้ำหนักขณะยืนหรือเดิน
        
        กล้ามเนื้อน่องของขาข้างที่มีเท้าผิดปกติจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
        
        เท้าข้างที่ผิดปกติมีขนาดเล็กกว่าเท้าข้างที่เป็นปกติโดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 นิ้ว
    - - สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ ได้ผลดีที่สุดคือ หลังคลอดต้องเริ่มรักษาทันที โดยจะรักษาด้วยกันดัด เท้าให้กลับคืนสู่รูปร่างที่ปกติและควบคุมด้วยเฝือกทุกๆสัปดาห์จนรูปร่างปกติ ตามด้วยการใส่รองเท้าพิเศษ ตลอดอีก 2 เดือนและใส่เฉพาะกลางคืนจนอายุ 4-5 ขวบ
- - - - แขนขาที่ไม่ได้รับการพัฒนาและกระดูกเชิงกรานขาด อย่างไรก็ตามความผิดปกติต่างๆอาจเกิดขึ้นกับแขนขาและกระดูกโดยปกติแล้วแขนขาส่วนบนจะไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์และส่วนของ "มือและแขนอาจขาดหายไป"
    - - จะแสดงอาการตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งแขนขาอาจได้รับการพัฒนาปกติ แต่มือและเท้าขาดหายไป หรือกระดูกเชิงกรานขาดไป หรือมีแขนข้างหนึ่งเจริญเติบโตตามปกติ มือนิ้วมือครบ แต่แขนอีกข้างอาจไม่มีมือ หรือกุดตั้งแต่ไหล่ลงไป หรืออาจกุดทั้งแขนและขาทั้งสองข้างก็ได้
    - - มักมีผลกระทบต่อจิตใจ มารดาและครอบครัวอย่างมาก
      - ทารกไม่สามารถควบคุมความร้อนของร่างกาย
      - เติบโตช้า
    - - ผู้ป่วยที่สูญเสียแขนขาเนื่องจากโรคโฟโคมีเลียมักได้รับการรักษาด้วยขาเทียม ทารกที่อายุหกเดือนควรสวมนวมเทียม ทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับอวัยวะเทียม จะมีการเพิ่มตะขอเมื่อเด็กอายุครบสองปี ในที่สุดผู้ป่วยอาจได้รับแขนขาเทียมแบบไมโออิเล็กทริก ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้เนื่องจากความไม่เข้าใจตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่มีเนื้อเยื่อและกระดูกที่จำเป็นในการยึดแขนขาเทียม