Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงสรีระวิทยาและการพยาบาลในระยะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงสรีระวิทยาและการพยาบาลในระยะตั้งครรภ์
3.1.2 การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคมของหญิงตั้งครรภ์
3.1.2.1 การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของหญิงตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ สามารถแบ่งตามระยะของการตั้งครรภ์เป็น 3 ระยะ คือ
-ระยะไตรมาสแรก จะมีความรู้สึกสองฝักสองฝ่าย (ambivalence)
-ระยะไตรมาสที่สอง เริ่มยอมรับการตั้งครรภ์มากขึ้น จากการดิ้นของทารกในครรภ์
-ระยะไตรมาสที่สาม หญิงตั้งครรภ์จะเริ่มกลัวและวิตกกังวลเกี่ยวกับการคลอดมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ (body image)
การเปลี่ยนแปลงด้านภาพลักษณ์ของหญิงตั้งครรภ์จะแตกต่าง กันในแต่ละระยะของการตั้งครรภ์ดังนี้
-ระยะไตรมาสแรก การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายยังปรากฏไม่ชัดเจนจึงทําให้มีการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์น้อย
-ระยะไตรมาสที่สอง ระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากขึ้น
-ระยะไตรมาสที่สาม รู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเกิดความไม่คล่องตัว รู้สึกอับอายไม่ชอบร่างกายของ ตนเองอาจมีความรู้สึกทางด้านลบต่อร่างกายของตนเองได้
การเปลี่ยนแปลงด้านเพศสัมพันธ์
ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการมีเพศสัมพันธ์ของคู่สมรสแตกต่างกันไป ในแต่ละครอบครัวและระยะการตั้งครรภ์ดังนี้
-ระยะไตรมาสแรก หญิงตั้งครรภ์อาจมีความรู้สึกทางเพศลดลง เนื่องจากความไม่สุขสบายทางด้านร่างกาย
-ระยะไตรมาสที่สอง หญิงตั้งครรภ์จะมีความรู้สึกทางเพศเพิ่มขึ้นและร่างกายมีการตอบสนองทางเพศดีขึ้น เนื่องจากร่างกายมีสุขภาพดีขึ้น อาการไม่สุขสบายจากอาการแพ้ท้องหายไป มีการยอมรับการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น
-ระยะไตรมาสที่สาม ในระยะนี้รูปร่างของหญิงตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ขนาดของมดลูกขยายใหญ่ขึ้นทํา ให้รู้สึกอึดอัดไม่สะดวกในการมีเพสัมพันธ์ และความรู้สึกในเรื่องภาพลักษณ์เปลี่ยนไป
การปรับตัวเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดา
ปัญหากระทบต่อสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกด้วยพัฒนกิจของการตั้งครรภ์ของ Clark และ Harris (Clark and Harris, 1985) มีดังต่อไปนี้
-พัฒนกิจขั้นที่ 1 การสร้างความมั่นใจและยอมรับการตั้งครรภ์(pregnancy validation)
-พัฒนกิจขั้นที่ 2 การมีตัวตนของบุตร และรับรู้ว่าบุตรในครรภ์เป็นส่วนหนึ่งของตน (fetal embodiment)
-พัฒนกิจขั้นที่ 3 การยอมรับว่าทารกเป็นบุคคลคนหนึ่งที่มีบุคลิกภาพที่แตกต่างไปจากตน
(fetal distinction)
-พัฒนกิจขนั้ ที่ 4 การเปลี่ยนบทบาทการเป็นมารดา (role transition)
5.การปรับตัวต่อบทบาทการเป็นบิดา
ผู้ที่กําลังจะ เป็นบิดามักจะมีการปรับเปลี่ยนบทบท สําหรับตนเองและครอบครัวแบ่งตาม ระยะต่าง ๆ ของการตั้งครรภ์ ดังนี้
-ไตรมาสแรก เมื่อทราบว่าภรรยาตั้งครรภ์ สามีจะประกาศการตั้งครรภ์ให้กับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง และสามีจะ มีความรู้สึกลังเลใจเช่นเดียวกับภรรยา อาจเริ่มรู้สึกประทับใจต่อการตั้งครรภ์ ดีใจภูมิใจ แต่ในขณะเดียวกันจะเกิด ความรู้สึกสับสน วิตกกังวล ไม่แน่ใจในการเผชิญบทบาทใหม่
-ไตรมาสที่สอง ระยะนี้บิดาใหม่ยังไม่มีบทบาทที่ชัดเจน แต่จะเริ่มรู้สึกมากขึ้นเมื่อได้จับต้องขณะทารกดิ้นในครรภ์ ภรรยา สามีมักจูบหน้าท้องภรรยาขณะตั้งครรภ์ โดยรู้สึกว่าการที่ตนและภรรยามีความรู้สึกใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เป็น เพราะทารกในครรภ์นั่นเอง ในระยะนี้ความต้องการทางเพศมากขึ้นกว่าไตรมาสแรก
-ไตรมาสที่สาม เป็นระยะที่สามีจะมีการเตรียมการและคาดการณ์เกี่ยวกับการคลอดเป็นช่วงที่สามีและภรรยาจะ ช่วยกันเตรียมของใช้ต่าง ๆ รวมถึงการหาความรู้ในเรื่องการปฏิบัติตน และการเลี้ยงดู ทารก บิดาจะมีความรู้สึกผูกพันกับ ทารกในครรภ์ยิ่งขึ้น เริ่มคิดว่าทารกในครรภ์เป็นบุคคลอย่างแท้จริงมากกว่าระยะที่ผ่านมา
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัวต่อบทบาทการเป็นมารดา
1). ประสบการณ์การเลี้ยงดู
2) วุฒิภาวะทางอารมณ์ของหญิงตั้งครรภ์
3). ลักษณะทางสังคมและครอบครัว
4) สภาพเศรษฐกิจ
5). ประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ที่ผ่านมา
6) สถานภาพสมรส และสัมพันธภาพในชีวิตสมรส
7). การยอมรับสภาพความเป็นจริง
1 more item...
3.4 การให้คําแนะนําในไตรมาสที่ 1
1.การพักผ่อน/ นอนหลับ
2.การออกกําลังกาย
3.การทํางาน
4.การเดินทาง
การมีเพศสัมพันธ์
8.การทรงตัวที่ถูกต้อง
11.การมาตรวจตามนัด
10.อาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ก่อนนัด
5.การดูแลรักษาสุขภาพของปากและฟัน
6.การรับประทานอาหารและยา
9.การบริหารร่างกาย
3.3 การประเมินภาวะสุขภาพมารดา-ทารกและการคัดกรอง
1 การประเมินภาวะสุขภาพมารดา
1.1 การซักประวัติ
1) การซักประวัติข้อมูลทั่วไป
2) การซักประวัติข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอด
3) การคาดคะเนกําหนดวันคลอดและการคํานวณอายุครรภ์
1.2 การตรวจร่างกาย
1) การตรวจร่างกายทั่วไป
2) การตรวจร่างกายตามระบบ
3) วิธีตรวจอาการบวม
1.3 การตรวจครรภ์และการฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ
1) คําศัพท์เกี่ยวกับสภาพของทารกในครรภ์
1.1) Fetal parts and skull 1.2) Lie 1.3) Attitude 1.4) Presentation 1.5) Dominator 1.6) Position 1.7) Engagement
2) การตรวจครรภ์วิธี Leopold Handgrip
3) การฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์
2 การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการแปลผล
2.1. การตรวจเลือด
1) ความเข้มข้นของเลือด ในสตรีตั้งครรภ์ปกติ ความเข้มข้นของเลือดจะลดต่ำาลงเล็กน้อยเนื่องจากระหว่างการตั้งครรภ์ปริมาณของ พลาสม่าที่เพิ่มขึ้นนั้นมากกว่าการเพิ่มของเม็ดเลือดแดง สตรีตั้งครรภ์ทุกคนต้องมีความเข้มข้นของเลือดเพียงพอจึงจะ สามารถหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ได้สมบูรณ์
2) การตรวจหาหมู่เลือด การตรวจหาหมู่เลือด ABO และ Rh factor
3) การตรวจน้ําเหลืองสําหรับโรคซิฟิลิส การตรวจหาเชื้อซิฟิลิส (Venereal disease research laboratory : VDRL) สตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ควรได้รับการทดสอบน้ําเหลืองหาโรคซิฟิลิสทุกคน เนื่องจากซิฟิลิสที่พบระหว่าง ตั้งครรภ์ถ้าไม่ได้รีบการรักษา อาจจะมีผลทําให้เกิดการแท้ง คลอดก่อนกําหนด ทารกตายในครรภ์ ทารกในครรภ์มีความ พิการจากซิฟิลิสโดยกําเนิด ถ้ําตรวจพบจะได้ทําการรักษาทันทีและสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังกล่าว การ ตรวจโดยทั่วไปนิยมใช้ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)
4)การตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์ (ANTI – HIV, ELISA)
ปัจจุบันมีการตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์กนั มากขึ้น ในหน่วยฝากครรภจ์ ะตรวจหาในสตรีตั้งครรภ์ทุกคนที่มาฝาก ครรภ์ เนื่องจากมีการระบาดของโรคเอดส์ค่อนข้างมากในปัจจุบัน ดังนั้นจึงถือว่าสตรีตั้งครรภ์ทุกคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงท่จี ะ ติดเชื้อเอดส์ได้ จึงจําเป็นต้องทําการตรวจคัดกรองเชื้อเอดส์
5) การตรวจหาเชื้อไวรัสตบั อักเสบ บี (Hepatitis B virus: HBV) ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความซุกของโรคไวรัสตับอักเสบ บี สูง ถือว่าเป็นประเทศแหล่งระบาดของโรค และพบการติดโรคจากมารดาสู่ทารก (vertical transmission) ในอัตราสูง หน่วยฝากครรภ์ส่วนใหญ่จึงทําการตรวจกรอง หาการติดเชื้อในมารดที่ตั้งครรภ์ เพราะปัจจุบันโรคไวรัสตับอักเสบ บี สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง การตรวจและการแปลผลเกี่ยวกับไว้รัสตบัอักเสบบีนั้นมีความจําเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของไวรัสก่อน การตรวจเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ บี โดยทั่วไปที่ตรวจจะเกี่ยวกับ antigen , antibody ของไวรัส ได้แก่HBsAg , antiHBs , antiHBc , HBeAg และ antiHBe
2.2. การตรวจปัสสาวะ
1) การตรวจน้ําตาลในปัสสาวะ มีจุดประสงค์เพื่อค้นหาเบาหวานในระยะตั้งครรภ์ ซึ่งอาจจะปรากฎให้เห็นใน ระยะท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์ โดยที่ระยะแรก ๆ ปกติ แต่อาจจะพบน้ําตาลในปัสสาวะในระยะหลังก็ได้ ถ้าตรวจพบ น้ําตาลในปสั สาวะควรทํา glucose tolerance test ต่อไป
2) การตรวจไข่ขาวในปัสสาวะ ในสตรีตั้งครรภ์ปกติ ก็อาจตรวจพบไข่ขาวหรือโปรตนี ในปัสสาวะได้ เนื่องจากมดลูกที่มี ขนาดใหญ่กดทับเส้นเลือด Inferior vena cava ทําให้ความดันภายในเส้นเลือดดังกล่าวเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ความดันใน หลอดเลือดต่าง ๆ สูงขึ้นด้วย ทําให้ไปรตีนที่มือนุภาคเล็กมากผ่านหลอดไตไปได้
3 การคัดกรองภาวะเสี่ยง
การตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เสี่ยงสูง (High risk pregnancy) หมายถึง การตั้งครรภ์ซึ่งทําให้มารดาและ ทารกในครรภ์มีอันตราย หรือมีโอกาสเสี่ยงตายสูง ทั้งระยะตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด ตลอดจนการคลอด ที่ผิดปกติและผลต่อสุขภพ และความพิการของทารกในระยะต่อมา
4.การนัดตรวจติดตาม สําหรับการประเมินภาวะสุขภาพในการฝากครรภ์ครั้งต่อ ๆ ไป ก็มีความสําคัญเช่นกัน เพราะพยาบาลจะต้องให้ การดูแลรักษาสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์ให้ดําเนินด้วยดีตลอดระยะการตั้งครรภ์จนถึงการคลอด ซึ่งแนวทางใน การให้การดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์
การให้ภูมิคุ้มกันโรค สตรีที่มารับบริการฝากครรภ์ทุกคน ควรได้รับการฉีด Tetanus toxoid หากยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกัน บาดทะยักมาก่อนตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันบาดทะยักในทารกแรกเกิดและในมารดาหลังคลอด เนื่องจากในชนบทบางแห่งยัง มีการคลอดบุตรที่บ้านโดยหมอตําแยหรือคลอดกันเอง ซึ่งการตัดสายสะดือมักไม่สะอาดและยังใช้สิ่งสกปรกพอกสะดือ ทําให้ทารกมีโอกาสตายจากบาดทะยักได้มาก ดังนั้น สตรีในระยะตั้งครรภ์ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก 0.5 ml ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ อย่างน้อย 2 ครั้ง ตลอดการตั้งครรภ์ แต่ในหน่วยฝากครรภ์โดยทั่ว ๆ ไปในปัจจุบัน การให้วัคซีน ป้องกันบาดทะยักจะให้ทั้งหมด3เข็มโดยเริ่มใหเ้ข็มแรกเมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรกและให้เข็มที่2ห่างจากเข็มแรก4-6 สัปดาห์และควรฉีดก่อนอายุครรภ์ครบกําหนดอย่างน้อย 1 เดือน หรือ เมื่ออายุครรภ์ได้ 36 สัปดาห์ ส่วนเข็มที่ 3 จะให้ ห่างจากเข็มที่ 2 ประมาณ 6-12 เดือน ดังนั้น เข็มที่ 3 จึงมักจะนัดมารดามาฉีดในระยะหลังคลอด
การประเมินภาวะสุขภาพทารกในครรภ์โดยการนับลูกดิ้น เป็นกิจกรรมการตรวจสอบทารกในครรภ์ถึงความมีชีวิต ความผาสุก(well-being) กิจกรรมพื้นฐานได้แก่การ ตรวจการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ การตรวจนับเสียงหัวใจทารกจากการฟัง เป็นหนึ่งในขั้นตอนการตรวจครรภ์ ตามปกติ การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ก่อนคลอดเพื่อประเมินภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายแก่ชีวิตเรียกว่าภาวะคับ ขันของทารกในครรภ์(fetal distress
1.การตรวจนับจํานวนเด็กดิ้น (Fetal movement count : FMC)
2.การตรวจนอน สเตรส เทสท์ (Non stress test: NST)
3.การตรวจ คอนแทรกชั่น สเตรส เทสท์ (Contraction stress test : CST)
ฟีตัล ไบโอ ฟิซิคัล โปรไฟล์ (Fetal Biophysical profile : BPP)
3.1.1 การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาระยะตั้งครรภ์
1.1 ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine system)
1.1.1ฮอร์โมนที่สร้างจากรกแบ่งเป็น 2ประเภทคือ
1) Protein hormone
2) Steroid hormone
1.1.2 ฮอร์โมนที่สร้างจากหลายอวัยวะ ได้แก่ Prostaglandins
1.1.3 ฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่ ได้แก่ Relaxin
1.1.4 ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อม Pituitary ได้แก่ Growth hormone(GH) ,Follicle stimulating hormone(FSH) ,Prolactin (PRL), Oxytocin
1.1.5 ฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมThyroidได้แก่Thyroxin
1.2 ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system)
1.2.1 อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและช่องคลอด (Vulva and Vagina)
1.2.2 ปากมดลูก (Cervix)
1.2.3 มดลูก (Uterus)
1.2.4 ท่อนําไข่ (Fallopian tube หรือ Ovarian tube)
1.2.5 รังไข่ (Ovary)
1.2.6 เอ็นยึดข้อต่อของกระดูกและอวัยวะในอุ้ง เชิงกราน(ligament and joints of pelvic organs)
1.2.7 เต้านม (Breast)
1.3 ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardio vascular system)
1.3.1 หัวใจ ขนาดของหัวใจ
1.3.4 ความดันโลหิต
1.3.5 ชีพจร
1.3.6 การเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือด (circulatory changes)
1.3.2 ปริมาตรของเลือด (Blood volume)
1.3.3 Cardiac output
1.4 ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory system)
1.5 ระบบทางเดินปัสสาวะ (renal system)
1.5.1ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น
1.5.2 ท่อไต (Ureters)
1.5.3 กระเพาะปัสสาวะ (Bladder)
1.5.4 การทํางานของไต
1.6 ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
1.6.1 ความอยากอาหารและอาหารที่ได้รับ
1.6.2 ปาก เหงือก
1.6.3 ทางเดินอาหาร
1.6.4 ตับและถุงน้ําดี
1.7 ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย (Metabolic System)
1.7.1 การเพิ่มของน้ําหนัก
1.7.2 การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ํา
1.7.3 เมตาบอลิซึมของโปรตีน
1.7.4 เมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต
1.7.5 เมตาบอลิซึมของไขมัน
1.8 ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (MUSCULOSKELETAL SYSTEM)
1.8.1 ท่า (Posture)
1.8.2 Diastasis Recti
1.9 ระบบผิวหนัง (Integumentary system)
1.9.1 สีผิว
1.9.2 Striae gravidarum
1.9.3 Spider angiomas หรือ vascular spider
3.5 การให้คําแนะนําในไตรมาสที่ 2
การแต่งกาย
การดูแลผิวหนัง
การดูแลเต้านม
3.6 การให้คําแนะนําในไตรมาสที่ 3
การเตรียมตัวเพื่อการคลอด
การเตรียมตัวเพื่อให้นมบุตร
การเจ็บครรภ์คลอด
การเตรียมของเครื่องใช้สําหรับมารดาและทารก
การวางแผนครอบครัว
6.การเตรียมสิ่งแวดล้อมในบ้าน
3.2 การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ สามารถวินิจฉัยได้จาก อาการและอาการแสดง จําแนกได้เป็น 3 กลุ่ม
อาการที่สงสัยว่าจะตั้งครรภ์ (Presumptive signs)
1.1 ขาดประจําเดือน (Amenorrhea)
1.2 อาการแพ้ท้อง (Nausea and vomiting)
1.3 การเปลี่ยนแปลงของเต้านม (Breast changes)
1.4 การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง (Skin changes)
1.6 อ่อนเพลีย (Fatigue)
1.7 มารดารู้สึกเด็กดิ้น (quickening)
1.5 ปัสสาวะบ่อย (Urinary frequency)
อาการที่แสดงว่าน่าจะตั้งครรภ์ (Probable signs)
3.2.1 ท้องโตขึ้น (Enlargement of abdomen)
3.2.2 การเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง ขนาด และความนุ่มของมดลูก (Changes in the uterus)
3.2.4 การหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก (Braxton Hicks contraction)
3.2.5 Ballottement
3.2.6 คลําได้ขอบเขตของทารก (outlining)
3.2.7 ผลการทดสอบฮอร์โมนให้ผลบวก (positive pregnancy test)
3.2.3 มีการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก (cervical changes)
อาการแสดงการตั้งครรภ์แน่นอน (Positive signs)
3.3.1 ตรวจพบการเต้นของหัวใจทารก (fetal heart sound)
3.2 ตรวจพบการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ (fetal movement and fetal part)
3.3 ตรวจพบทารกโดยภาพรังสี (roentgenogram)
3.4 การตรวจพบทารกโดยวีรีของคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography)
3.9 การพยาบาลภาวะไม่สุขสบาย
ระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal tract)
อาการ: แสบร้อนบริเวณหัวใจ (heartburn)
สาเหตุ :
เกิดจากฮอร์โมน Progesterone จะไปลดการทํางานและการย่อยของระบบทางเดินอาหาร ทําให้กล้ามเนื้อหูรูด ของกระเพาะอาหารคลายตัว กรดในกระเพาะอาหารจึงไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทําให้มีอาการแสบ บริเวณยอดอก และร้อนบริเวณคอ
คำแนะนำ :แนะนําให้จํากัดหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่ทําให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และรับประทานครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
ระบบหายใจ (Respiratory system)
อาการ : หายใจตื้นและลําบาก (shortness of breath)
สาเหตุ : จากการที่มดลูกมีขนาดใหญ่ ทําให้กระบังลมขยายตัวได้ไม่เต็มที่หรืออาจเกิดมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นเพิ่ม มากขึ้น
คําแนะนํา : แนะนําให้นอนศีรษะสูง เช่น semi- fowler’s position
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ (Renal system)
อาการ: ปัสสาวะบ่อย (Urinary frequency)
สาเหตุ :
1.มดลูกขนาดโตขึ้น จะไปกดกระเพาะปัสสาวะทําให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลง
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
คําแนะนํา :
ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เป็นต้น
ไม่ควรกลั้นปัสสาวะไว้นานๆ
ให้สังเกตอาการต่อไปนี้ เช่น มีปัสสาวะแสบขัด มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหลัง ถ้าพบอาการเหล่านี้ ต้องรีบปรึกษาแพทย์
ระบบผิวหนัง (Integument system)
อาการ: คัน (pruritus)
สาเหตุ :อาการคันบริเวณหน้าท้องเกิดจากการยืดขยายของกล้ามเนื้อและผิวหนังทําให้เกิดอาการคันได้จากการแพ้
คำแนะนำ
1.ให้ใช้ครีมหรือน้ํามันมะกอก นวดบริเวณที่เกิดอาการคัน
2.ไม่ให้เกาบริเวณที่คัน เพราะจะทําให้ผิวหนังถลอกและอักเสบได้ ถ้ามีอาการคันมากแนะนําให้ปรึกษาแพทย์
ดูแลตนเองในเรื่องของความสะอาดร่างกาย
ระบบประสาท (Neurological system)
อาการ: อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย (mood swings)
สาเหตุ
จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะตั้งครรภ์
ความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ และการคลอดบุตร จากบทบาทที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป
คำแนะนำ
แนะนําครอบครัวและสามีให้กําลังใจและรับฟังปัญหาของหญิงตั้งครรภ์ แนะนําหญงิตั้งครรภ์ให้พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อาการอื่นๆ (Miscellaneous conditions)
อาการ : อ่อนเพลีย (fatigue)
สาเหตุ
การเพิ่มของฮอร์โมน Estrogen, Progesterone
การขาดสารอาหาร
คำแนะนำ
อธิบายหญิงตั้งครรภ์ในเรื่องความสําคัญของการพกัผ่อนโดยเฉพาะในระยะท้ายๆของการตั้งครรภ์ แนะนําให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
3.8 การดูแลด้านจิตสังคมของหญิงตั้งครรภ
ระยะของการตั้งครรภ์ไตรมาส 1
ลักษณะการเปลี่ยนแปลง
1.ความไม่แน่ใจ (uncertainty) และความรู้สึกก่ำกึ่ง (ambivalence) ไม่แน่ใจว่าตนตั้งครรภ์หรือไม่ สตรี มีครรภ์จะมีความรู้สึกไม่แน่ใจ (uncertainty) ว่าตนเองตั้งครรภ์หรือไม่
2.ความรู้สึกเสียใจ (grief)สตรีมีครรภ์จะรู้สึกเสียใจอาลัยต่อบทบาทเดิมเพื่อการ มีบทบาทใหม่ของการเป็น มารดา
3.ความกลัวและการเพ้อฝัน (fear and fantasies) สตรีมีครรภ์จะสนใจเฉพาะ อาการเปลี่ยนแปลงและความไม่สุข สบายของตนเอง นึกเพ้อฝันจินตนการถึงสิ่ง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตตนเองต่างๆนานา จนบางครั้งเป็นความกลัวต่อการ ตั้งครรภ์
4.อารมณ์แปรปรวน (mood swing) ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในระยะตั้งครรภ์และ เกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ สตรีมีครรภ์อาจรู้สึก ตื่นเต้น ดีใจมาก บางครั้งเศร้าซึม ร้องไห้ง่ายโดยอธิบายเหตุผล ไม่ได้ จึงท าให้ สามีและคนใกล้ชิดไม่เข้าใจ ไม่ทราบจะช่วยเหลืออย่างไร
5.ความสนใจและความต้องการทางเพศ (changes in sexual desire) สตรีบางรายอาจมีความสนใจและ ความต้องการทางเพศลดลงเนื่องจากความไม่สุข สบายจากอาการคลื่นไส้อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้และ เพราะเกรงกลัว ว่าการมีเพศสัมพันธ์จะมีอันตรายต่อทารกในครรภ
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายยังไม่ปรากฏชัดเจน หญิงตั้งครรภ์จึงไม่รู้สึก ต่อการเปลี่ยนแปลง
ระยะของการตั้งครรภ์ไตรมาส 2
ลักษณะการเปลี่ยนแปลง
การยอมรับการตั้งครรภ์ (acceptance of pregnancy) สตรีมีครรภ์จะยอมรับการตั้งครรภ์เนื่องจากมี ความชัดเจนของอาการและอาการแสดงของการตั้งครรภ์มากขึ้น จากการที่มดลูกโตพ้นขอบบนกระดูกหัวหน่าว คล าได้ชัดทางหน้าท้องน้ําหนักเพิ่มขึ้น เต้านมขยาย รับรู้การดิ้นของทารก และได้ยินเสียงหัวใจทารก
รักและใส่ใจตนเอง (narcissism and introversion) สตรีมีครรภ์จะใส่ใจกับการเรียนรู้บทบาทมารดา และการท ากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เช่นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่งกายเหมาะสม หาความรู้เพิ่มเติมใน การปฏิบัติตน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับสตรีมีครรภ์รายอื่นๆ
การรับรู้ภาพลักษณ์ (body image and boundary) สตรีมีครรภ์บางรายพึงพอใจ ภูมิใจต่อภาพลักษณ์ ของตนเพราะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งบ่งบอกว่าทารกเจริญเติบโต และความสามารถในการเป็น มารดา
ความสนใจและความต้องการทางเพศ (change in sexual desire) สตรีมีครรภ์ส่วนใหญ่ไม่รู้สึกถึง ความเปลี่ยนแปลง แต่บางรายรู้สึกมีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น เนื่องจากอาการเหนื่อยล้า และคลื่นไส้ อาเจียนหมดไปและการมีเลือดมาเลี้ยงบริเวณอุ้งเชิงกรานมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายมากขึ้นหญิงตั้งครรภร์รู้สึกต่อการเปลี่ยนแปลง
ของร่างกาย บางคนรู้สึกปฏิเสธต่อรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปความรู้สึกดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ในขณะที่บาง คนรู้สึกว่าได้รับการเอาใจใส่จากบุคคลรอบข้างมากขึ้น
ระยะของการตั้งครรภ์ไตรมาส 3
ลักษณะการเปลี่ยนแปลง
1.ความเครียด (stress)สตรีมีครรภ์กว่าร้อยละ 80 มีความเครียดตั้งแต่ระดับ ปานกลางจนถึงระดับสูง และวิตกกังวลเมื่อใกล้เข้าสู่ระยะคลอด
ความสนใจและความต้องการทางเพศ (change in sexual desire) สตรีมี ครรภ์บางรายไม่รู้สึกถึงการ เปลี่ยนแปลงความต้องการทางเพศ
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายมากขึ้น รู้สึกเคลื่อนไหวไม่สะดวก ผิวหนัง บริเวณ หน้าท้องและเต้านมแตกทํา ให้รู้สึกอับอาย มีความรู้สึกทางด้านลบต่อ ภาพของตนเองมาก
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลยี่นแปลงด้านจิตสังคมในระยะตั้งครรภ์
ปัจจัยส่วนบุคคลของสตรีมีครรภ์ ได้แก่วุฒิภาวะทางอารมณ์ ความพึงพอใจในชีวิตสมรสสัมพันธภาพกับ มารดา อัตมโนทัศน์และการรับรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ดังน
1.1 วุฒิภาวะทางอารมณ์
1.2 ความพึงพอใจในชีวิตสมรส
1.3 สัมพันธภาพกับมารดา
1.4 การรับรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการรับรู้ภาวะเสี่ยงของการตั้งครรภ์
1.5 อายุสตรีมีครรภ์อายุน้อย หรือมีการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นจะเกิดความขัดแย้งในการปรับตัวกับการสนอง ความต้องการของตนเองในวัยรุ่น และการเสียสละตนเองเพื่อทารกในครรภ์ในเวลาเดียวกัน
ปัจจัยด้านครอบครัว ครอบครัวมีบทบาทที่สําคัญต่อการปรับตัวของสตรีมีครรภ์ดังนี้
2.1 ลักษณะครอบครัว
2.2 ความคาดหวังของครอบครัว
2.3 สภาพเศรษฐกิจ
ปัจจัยด้านสังคมและระบบบริการสุขภาพ แม้ว่าการตั้งครรภ์จะเป็นเหตุการณ์ปกติทางสังคม
3.1 ความเชื่อและการให้คุณค่าเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แต่ละสังคมจะมีความเชื่อ
3.2 ระบบบริการสุขภาพระบบบริการสุขภาพมีความสําคัญต่อพฤติกรรมการดูแลตัวเองและการปรับตัว ของสตรีมีครรภ์และครอบครัว
3.7 การเตรียมตัวเพื่อการคลอดและการเตรียมบทบาทการเป็นบิดา มารดา/การสร้างสัมพันธภาพบิดา- มารดา-ทารกในระยะตั้งครรภ์
การเตรียมตัวเพื่อการคลอด
ควรเริ่มให้คําแนะนํา / ฝึกทักษะต่างๆ เมื่อปลายเดือนที่ 7 หรือเริ่มต้นเดือนที่ 8 ของการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการเตรียมตัวและฝึกปฏิบัติ ดังนี้
ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการคลอดและการปฏิบัติตัวในระยะคลอด
การฝึกจิตใจ
4.การฝึกทางด้านจิตใจ
2.การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (muscle relaxation)
การเพ่งจุดสนใจ (focal point)
เป็นการเบนความสนใจ ทําไปพร้อมๆกันกับการลูบหน้าท้องและการฝึกหายใจ
3.การหายใจ (breathing technique)
การหายใจแบบช้า ใช้ในระยะปากมดลูกเริ่มเปิดจนถึง 3 ซม. โดยหายใจเข้าลึกๆทางจมูกช้าๆ แล้วผ่อนลม หายใจออกทางปากช้าๆ เป็นจังหวะสม่ําเสมอในอัตราเฉลี่ย 6-9 ครั้งต่อนาที การหายใจแบบตื้นเร็วและเบา ใช้ใน ระยะปากมดลูกเปิด 4-7 ซม. ขณะมดลูกเริ่มหดรัดตัวให้หายใจแบบช้าก่อน เมื่อมดลูกหดรัดตัวเต็มที่จึงเปลี่ยนเป็น หายใจแบบตื้นๆเร็วๆและเบาๆ อยู่ที่ลําคอโดยหายใจเข้าและออกผ่านทั้งทางปากและจมูกไปเรื่อย ๆ จนมดลูกเริ่ม คลายตัวจึงกลับไปหายใจแบบช้าๆอีกครั้ง การหายใจแบบตื้นเร็วเบาและเป่าออก ใช้ในระยะปากมดลูกเปิด 8-10 ซม. โดยหายใจแบบช้า 1 ครั้งก่อนแล้วหายใจเข้า-ออกทางปากตื้นๆเร็วๆเบาๆ ติดต่อกัน 4 ครั้ง แล้วเป่าออก 1 ครั้ง
4.การลูบหน้าท้อง (effleurage technique)
การลูบหน้าท้อง ใช้ในขณะรู้สึกท้องแข็งตึงหรือมดลูกหดรัดตัวจะช่วยให้ผู้คลอดรู้สึกสบายขึ้น และยังเป็น การสื่อความรู้สึกจากแม่สู่ลูกในครรภ์ด้วย มี 2 แบบ คือ แบบใช้สองมือ โดยผู้คลอดวางอุ้งมือทั้ง 2 ข้างเป็นรูปตัว V เหนือหัวเน่าให้ปลายนิ้วกลางชนกันตรงกึ่งกลางหัวเหน่า จากนั้นค่อยๆลูบมือขึ้นมาทางด้านข้างของหน้าท้อง เหมือนประคองหน้าท้องไว้ในอุ้งมือ เมื่อนิ้วหัวแม่มือมาชนกันตรงกลางบริเวณลิ้นปี่ให้ลูบลงในแนวดิ่งจนถึงเหนือ หัวเหน่า แล้วแยกออกเป็นรูปตัว V แล้วลูบกลับเช่นเดิม โดยหายใจเข้าขณะลูบมือขึ้น และหายใจออกขณะลูบมือ ลง ทําช้าๆ แบบใช้มือเดียว โดยผู้คลอดวางมือข้างหนึ่งบนหน้าท้อง แล้วลูบวนตามเข็มนาฬิกา
การเตรียมกล้ามเนื้อของร่างกาย
การสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกในครรภ
สัมพันธภาพหรือความผูกพันระหว่างมารดาที่มีให้บุตรนั้น เป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งและสําคัญยิ่งต่อการ เจริญเติบโตและพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อารมณ์ สังคม ของทารก สัมพันธภาพที่มารดามีต่อทารกใน ครรภ์นี้จะค่อยๆพัฒนาขึ้นทีละน้อยตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด โดยมีปัจจัยหลายประการที่มี ผลกระทบต่อกระบวนการสร้างสัมพันธภาพนั้น
การมีปฏิสัมพันธ์กับทารกในครรภ
หญิงตั้งครรภ์มีความรู้สึกผูกพันกับทารกในครรภ์เหมือนเป็นของกันและกันทารกจึงเหมือนเพื่อนใน บางครั้ง และความรู้สึกดังกล่าวทําให้หญิงตั้งครรภ์ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับทารกในครรภ์โดยอาจพูดกับทารกใน ครรภ์เรียกชื่อทารก ใช้มือลูบท้องเพื่อกล่อมให้ทารกสงบเมื่อทารกดิ้นรุนแรงเกินไป เป็นต้น
การแสดงความสนใจต่อคุณลักษณะรูปร่าง หน้าตาของทารกในครรภ์
พบว่าในระยะท้ายของการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภจ์ ะมีความรู้สึกในด้านนี้มากขึ้น จะฝันให้ทารกมีหน้าตาเหมือน ใครบุคลิกลักษณะตามที่ตนเองชอบเหมือนบิดาบ้างหรือเหมือนตนเองบ้าง
การอุทิศตนเพื่อทารกในครรภ์
หญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกผูกพันต่อทารกในครรภ์ถึงขั้นยอมเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อทารกในครรภ์ เช่น พยายามทํา ทุกอย่างเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงดี รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่ชอบรับประทาน เพื่อเห็นแก่ทารก ในครรภ์ต้องการให้ทารกมีการเจริญเติบโตและมีร่างกายแข็งแรงเป็นต้น
การแสดงบทบาทมารดา
โดยหญิงตั้งครรภ์จะจะเริ่มคิดฝันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูบุตร เช่น การให้นม การขับกล่อม วางแผนการเลี้ยงดูบุตร ว่าจะเลี้ยงอย่างไร
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความผูกพันระหว่างหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ปัจจัยด้านหญิงตั้งครรภ์
เจตคติและความต้องการตั้งครรภ์: มีการศึกษาเจตคติต่อการตั้งครรภ์กับความผูกพันต่อทารกในครรภ พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีเจตคติที่ดีต่อการตั้งครรภ์ จะมีความสามารถในการสร้างความผูกพันที่ดีต่อทารกในครรภ์ ด้วยเช่นกัน เพราะว่าหญิงตั้งครรภ์มีการยอมรับการตั้งครรภ์ ดังนั้นโอกาสที่จะสร้างความผูกพันกับทารกในครรภ์ก็ เป็นไปได้ง่าย
ความคาดหวังในเพศของบุตร: หญิงตั้งครรภ์จะมีความคาดหวังในเพศของบุตร จากการศึกษาของไมล์ และริช พบว่าผลจากการได้เห็นทารกก่อนคลอดและทราบเพศของทารกทําให้หญิงตั้งครรภ์มีความผูกพันกับ ทารกในครรภ์มากขึ้น เนื่องจากได้เห็นลักษณะที่สมบูรณ์ของทารกและเกิดความรู้สึกที่ดีต่อทารกในครรภ์
วุฒิภาวะทางอารมณ์: สุขภาพจิตของหญิงตั้งครรภ์จะมีผลต่อทารกในครรภ์หญิงตั้งครรภ์ที่มี ความเครียดซึมเศร้า อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย จะส่งผลต่อการสร้างความผูกพันต่อทารกในครรภ์ให้ล่าช้าได้ Gaffneyได้ศึกษาพบว่าในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ไตรมาสที่สาม ที่มีความวิตกกังวลในระดับสูงจะมีความผูกพันต่อ ทารกในครรภ์น้อย
เศรษฐานะและสังคม: เป็นสิ่งที่สําคัญต่อการให้ความรัก ความเอาใจใส่ต่อทารก หญิงตั้งครรภ์ที่ต้อง รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของครอบครัว ต้องทํางานหนักทําให้ไม่ได้สนใจทารกในครรภ์เท่าที่ควร มักพบว่าจะมี ปัญหาในการเลี้ยงดูบุตรต่อ
การมีปฏิสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด: ได้แก่ สามี บิดา มารดา ญาติพี่น้องและผู้ที่สนิทคุ้นเคย พบว่าหญิง ตั้งครรภ์วัยรุ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากมารดาจะสามารถปรับตัวต่อการเป็นมารดาได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการ ช่วยเหลือขาดแหล่งกําลังใจ
ปัจจัยด้านการสนับสนุนจากคู่สมรสขณะตั้งครรภ์
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์นั้นไม่ใช่มีเพียงปัจจัยภายในร่างกายเท่านั้น ยังรวมทั้งปัจจัยภายนอก ซึ่งได้แก่ ความรัก ความเอาใจใส่ การประคับประคองของบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว พยาบาลเป็นผู้ที่มีบทบาท สําคัญที่จะช่วยส่งเสริมหญิงตั้งครรภ์และครอบครัวให้สามารถผ่านพัฒนกิจในระยะตั้งครรภ์ มีความพร้อมและ สามารถปรับตัวได้เหมาะสมกับการเผชิญบทบาทในระยะหลังคลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ