Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยการเรียนรู้ที่ ( ๒) อุปสงค์ อุปทาน และภาวะดุลยภาพ - Coggle Diagram
หน่วยการเรียนรู้ที่ ( ๒)
อุปสงค์ อุปทาน และภาวะดุลยภาพ
อุปสงค์
ความหมายของอุปสงค์ ( Demand )
อุปสงค์สำหรับสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ซื้อต้องการซื้อในแต่ละระดับราคาในขณะใดขณะหนึ่งโดยมีกำลังซื้อสนับสนุน
ชนิดของอุปสงค์
สามารถแบ่งอุปสงค์ออกเป็น ๓ ชนิด คือ
๑.อุปสงค์ต่อราคา ( Price Demand ) หมายถึง ปริมาณความต้องการสินค้า ณ ระดับราคาต่างๆ
๒.อุปสงค์ต่อรายได้ ( Income Demand ) หมายถึง ปริมาณความต้องการสินค้า ณ ระดับรายได้ต่าง ๆ
๓.อุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่น ( Cross Demand ) หมายถึง ปริมาณความต้องการสินค้าชนิดหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ
ตัวกำหนดอุปสงค์ ( Demand Determinants )
๑.ระดับราคาสินค้าชนิดนั้น ๆ ในตลาด (Price : Px) ด้วยเหตุที่ผู้บริโภคมีรายได้จํากัด การที่ราคาสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้นจะทําให้ผู้บริโภค บางคนใช้สินค้าชนิดอื่นซึ่งราคายังคงที่ทดแทน จํานวนซื้อสินค้าและบริการชนิดนั้นก็จะลดลง ใน ทางตรงกันข้ามถ้าราคาสินค้าและบริการชนิดหนึ่ง ลดลง ผู้บริโภคก็จะซื้อสินค้าและบริการชนิดนั้น มากขึ้น
๒.ระดับรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภค (Income : 1) โดยทั่วไปเมื่อรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภคสูงขึ้น ทําให้ การซื้อสินค้าและบริการชนิดหนึ่ง ๆ เปลี่ยนแปลง ไป โดยจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน ใน กรณีที่เป็นสินค้าปกติ (Normal Goods) และ สินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Goods) แต่จะเปลี่ยน ไปในทิศทางตรงกันข้ามกันในกรณีที่เป็นสินค้าด้อย คุณภาพ (Inferior Goods) เช่น เมื่อนายสมชาย มีรายได้สูงขึ้น ในขณะที่ราคาน้ําหอมคงที่ (สมมติ ว่า น้ําหอมเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในสายตาของนาย สมชาย) นายสมชายจะซื้อน้ําหอมมาใช้มากขึ้น กว่าเดิม หรือเมื่อนายสมชายมีรายได้สูงขึ้นในขณะ ที่ข้าวราดแกงราคาจานละ 15 บาท คงเดิม (ข้าว ราดแกงเป็นสินค้าด้อยคุณภาพในสายตาของนาย สมชาย) นายสมชายก็จะซื้อข้าวราดแกงมาบริโภค น้อยลงกว่าเดิม
๓.การเปลี่ยนแปลงระดับราคาสินค้าและ บริการชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกัน (Changing in Price of the Related Goods : Py) ในกรณี นี้จํานวนซื้อจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า สินค้านั้นเป็นสินค้าใช้ทดแทนกัน หรือเป็นสินค้าใช้
๔.การกระจายรายได้ระหว่างครัวเรือน (Income Distribution Between Household : Di) ประเทศที่มีการกระจายรายได้ที่เลว (มี ความเหลื่อมล้ํากันมาก) กล่าวคือ มีทั้งประชาชน กลุ่มที่มีรายได้สูงมากและรายได้ต่ํามากซึ่งบุคคล สองกลุ่มนี้จะบริโภคสินค้าและบริการต่างชนิดกัน ดังนั้น จํานวนซื้อสินค้าและบริการบางชนิด (สินค้า สําหรับผู้ที่มีรายได้สูง) จะสูงขึ้น ในขณะที่จํานวน ซื้อสินค้าและบริการบางชนิด (สินค้าสําหรับผู้ที่มี รายได้ต่ํา) จะลดลง
๕.รสนิยมหรือความพอใจของผู้บริโภค (Taste : T) เมื่อใดก็ตามที่รสนิยมของผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงจะทําให้จํานวนซื้อสินค้าและบริการ ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป สินค้าและบริการใด เป็นที่นิยมของประชาชน ก็จะทําให้จํานวนซื้อสินค้าและบริการนั้นเพิ่มขึ้น และจํานวนซื้อสินค้าและบริการนั้นจะลดลงเมื่อสินค้าและ แผ่นซีดีบริการนั้นมีผู้นิยมน้อยลง
๖.ดินฟ้าอากาศหรือฤดูกาล (Seasonal : s) การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลส่งผลให้จํานวน ซื้อสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ในฤดูร้อนจํานวนซื้อพัดลม เครื่องปรับอากาศ นั้นจะมากกว่าในฤดูอื่น
ฟังก์ชันอุปสงค์
จากปัจจัยที่เป็นตัวกําหนดอุปสงค์ทั้ง ๗ ตัว ที่ กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถนํามาเขียนเป็นความ สัมพันธ์ด้วยสัญลักษณ์ทางพีชคณิต ซึ่งเรียกว่า ฟังก์ชันอุปสงค์ ได้ดังนี้
Qx = f(Px, A1,A2,...)
จากฟังก์ชันอุปสงค์ดังกล่าว ปริมาณการซื้อสำหรับสินค้า X หรือ QX เป็นตัวแปรตามส่วนกำหนดต่างๆ ทางขวามือเป็นตัวแปรอิสระ
QX = f(Px)
หมายความว่า ปริมาณการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง ขึ้นอยู่กับราคาของสินค้าและบริการชนิดนั้น โดยปัจจัยอื่นๆ ถูกกำหนดให้คงที่
ตารางอุปสงค์ และเส้นอุปสงค์ ( Demand Schedule and Demand Curve )
หมายถึง ชุดของ ตัวเลขที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างจํานวนซื้อสินค้า ชนิดใดชนิดหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ กัน ภายใน ระยะเวลาที่กําหนดให้ โดยกําหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ ตารางอุปสงค์ มีอยู่ 2 ประเภท คือ
๑.ตารางอุปสงค์เฉพาะบุคคล (Individual Demand Schedule) เป็นชุดตัวเลขที่แล้ว ให้ทราบถึงจํานวนซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของคนใดคนหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ
๒.ตารางอุปสงค์รวมหรือตารางยุปตาร์ของตลาด(Tote breasts cussuee Market bord Schedure) หมายถึงความต้องการซื้อของผู็บริโภคในตลาดทุกคนที่มีต่อปริมาณสินค้าและบริการชนิดหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ ของสินค้าและบริการนั้นๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง
กฏของอุปสงค์ ( Law of Demand )
กฎของอุปสงค์ คือ “กฎ” ที่อธิบายถึง ความสัมพันธ์ ระหว่างความต้องการซื้อ (Demand) กับระดับราคาสินค้า ซึ่งกฎของอุปสงค์ คือ “อุปสงค์ (Demand) กับระดับของราคาสินค้าจะเป็นไปในทิศทางตรงข้ามกัน ” เรียกว่า Inverse Relationship หมายความว่า เมื่อสินค้าราคาสูงขึ้น (Price เพิ่มขึ้น) ความต้องการหรืออุปสงค์ในการบริโภคสินค้าจะลดลง (Demand ลดลง) ในขณะที่ เมื่อสินค้าราคาลดลง (Price ลดลง) ความต้องการหรืออุปสงค์ในการบริโภคสินค้าจะเพิ่มขึ้น (Demand เพิ่มขึ้น) ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวมีผลมาจาก
๑.ผลทางด้านรายได้ (Income Effect) การที่ระดับราคาของสินค้าหรือบริการมีการเปลี่ยนแปลง มีผลกับระดับรายได้ที่แท้จริงของผู้บริโภค เมื่อราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าตนเองมีรายได้ลดลง เพราะมีอำนาจในการใช้จ่ายน้อยลง ทั้ง ๆ ที่รายได้ที่เป็นตัวเงินไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ในทางกลับกัน หากราคาสินค้าปรับตัวลดลง ผู้บริโภคก็จะมีอำนาจในการใช้จ่ายมากขึ้น ๒.ผลทางด้านการทดแทน (Substitution Effect) เนื่องจากแนวโน้มในการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคที่มีราคาลดลงจะมีมากขึ้น เพื่อทดแทนสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูงขึ้น ทำให้ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าหรือบริการที่ราคาถูกกว่าเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามถ้าราคาสูงขึ้นอุปสงค์จะลดลง
การเปลี่ยนแปลงของเส้นอุปสงค์
๑.การเปลี่ยนแปลงปริมาณอุปสงค์ (Change in Guantity Demanded) คือ การเปลี่ยนแปลงของปริมาณซื้ออันเนื่องมาจากราคาของสินค้าชนิดนั้น ซึ่งเป็นการเปบี่ยนแปลงปริมาณซื้อบน้ส้นอุปสงค์เส้นเดิม (Move along the curve) ดังรูปต่อไปนี้
จากรูป จะเห็นว่า เมื่อราคาสินค้าชนิดนั้นลดลง ปริมาณซื้อจะเพิ่มขึ้น และเป็นการเปลี่ยนแปลงอบูู่บนเส้นอุปสงค์เส้นเดิม คือ จากจุด A เคลื่อมาเป็นจุด B บนเส้นอุปางค์เดิม
๒.การเปลี่ยนแปลงระดับอุปสงค์ คือ การเปลี่ยนแปลงของปริมาณซื้ออันเนื่องมาจากปัจจัยอื่นๆ(ยกเว้นราคาสินค้าชนิดนั้น) เช่น การเปลี่ยนแปลงรายได้ของผู้ซื้อ รสนิยม ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เเกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งปริมาณซื้อที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้มีความสัมพันธ์กับราคาของสินค้าที่ซื้อแต่อย่างใด ในกรณีนี้ปริมาณซื้อที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่บนเส้นอุปสงค์เส้นเดิม แต่จะย้ายไปอยู่บน้ว่นอุปสงค์เส้นใหม่ที่เคลื่อน (Shift) ออกไปจากเส้นเดิมดังรูปต่อไปนี้
จากรูป จะเห็นว่า อุปสงค์เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเพิ่มขึ้น ทำให้เส้นอุปสงค์เคลื่อนออกไปทางขวาของเส้นเดิม
จากรูป จะเห็นว่า อุปสงค์เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางลดลง ทำให้เส้นอุปสงค์เคลื่อนออกไปทางซ้ายของเส้นเดิม
อุปทาน
ความหมายของอุปทาน
อุปทาน (Supply) หมายถึง ปริมาณของสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายนำออกมาขายในตลาดตามราคาที่กำหนด อุปทานของสินค้าและบริการชนิดใดก็ตามจะมีมากหรือมีน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการไม่ว่าจะเป็นราคาของสินค้าที่ทำให้ผู้ผลิตพอใจที่จะนำออกมาขาย ปัจจัยการผลิตทุกประเภท สภาพอากาศ หรือการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าอื่น ๆ โดยผู้ผลิตจะพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ว่าจะมีผลกระทบต่อการผลิตหรือการนำออกมาจำหน่ายหรือไม่เพียงใด
ประเภทของอุปทาน
อุปทานก็ช่นเดียวกับอุปสงค์ที่สามารถแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑.อุปทานแต่ละบุคคล คือ ปริมาณของสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายแต่ละคนหรือแต่ละบริษัทนำออกมาขายในระดับราคาต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเมื่อราคาผ้าเช็ดตัวผืนละ ๒๐ บาท นายแดงจะไม่ผลิตหรือจำหน่ายเพราะเนื่องจากจะขาดทุน แต่ถ้าราคาเพิ่มขึ้นเป็นผืนละ ๔๐ บาท ก็จะผลิตออกมาขายจำนวน ๑๐ ผืน และถ้าราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะผลิตสินค้าออกมาขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน ยิ่งถ้าราคาผ้าเช็ดตัวราคาผืนละ ๒๐๐ บาท นายแดงก็จะผลิตหรือจำหน่าผ้าเช็ดตัวได้ถึง ๙๐ ผืน ข้อมูลที่เสนอในตารางนี้สามารถแสดงในรูปของเส้นอุปทานได้เช่นกัน คือ เส้นอุปทานที่นำมาแสดงให้เห็นในรูปนี้เช่นเดียวกัน จากการกำหนดให้ OQ คือปริมาณผ้าเช็ดตัวที่นำออมาขาย ส่วน OP คือ ราคาต่อผืน เมื่อราคาผ้าเช็ดตัวต่ำก็จะนำมาขายน้อย เช่นราคา ๒๐ บาท จำไม่นำมาขายหรือผลิตจำหน่าย ถ้าราคาเพิ่มขึ้นเป็น ๔๐ บาท จะนำมาขาย ๑๐ ผืน ราคา ๖๐ บาท จะขายจำนวน ๒๐ ผืน เมื่อราคาผ้าเช็ดตัวเพิ่มสูงขึ้นถึงผืนละ ๒๐๐ บาท ผ้าเช็ดตัวก็จะนำออกมาขายหรือผลิตเพื่อจำหน่ายถึง ๙๐ บาท
๒.อุปทานรวม คือ ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้เลือกหรือผู้ขายหลายคนนำออกมาจำหน่ายในตลาดแห่งใดแห่งหนึ่ง ในระดับราคาต่าง ๆ ของช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ณ ตลาดดอนเมือง พ่อค้าคนที่ ๑,๒ และ ๓ นำผ้าเช็ดตัวออกมาจำหน่ายเหมือนกัน แต่ปริมาณที่จำหน่ายได้นั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ทำเลที่ตั้งร้าน ปริมาณผู้มาซื้อของในตลาด ซึ่งการขายสินค้าของผู้ขายแต่ละคนนั้นถือเป็นอุทานแต่ละบุคคล เมื่อนำปริมาณการขายของแต่ละบุคคล เมื่อนำปริมาณการขายของแต่ละบุคคลมารวมกัน เรียกว่า “อุทานรวมหรืออุปทานตลาด” (Market Supply) ตัวอย่างที่จะนำเสนอในตาราง
จากตารางแสดงให้เห็นว่าอุปทานแต่ละบุคคลรวมกันเป็นอุปทานของตลาดแห่งใดแห่งหนึ่งตามระดับราคาที่กำหนด ซึ่งสินค้าที่บริการมีราคาต่ำ การผลิตหรือ นำมาจำหน่ายจะน้อยลงการแสดงรายละเอียดนี้สามารถนำมากำหนดเป็นเส้นอุปทานรวม เมื่อนำปริมาณของผ้าเช็ดตัวที่จำหน่ายในตลาดนี้มารวมกัน จะเป็นอุปทานรวมในขณะนั้นและแสดงให้เห็นว่าเมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น การนำเสนอสินค้าเข้ามาจำหน่ายจะมีเพิ่มขึ้นดังกล่าวแล้ว จากตัวอย่างที่กล่าวมาสรุปได้ว่า อุปทานของสินค้าและบริการจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นความต้องการขายก็จะมีเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นจึงได้กำหนดขึ้นเป็น “กฎอุปทาน” (Law of Supply) ที่ว่า ถ้าราคาสินค้าและบริการชนิดใดเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตหรือผู้ขายจะนำสินค้าชนิดนั้นออกมาขายเพิ่มขึ้น แต่ถ้าสินค้านั้นลดลง ผู้ผลิตผู้ขายจะนำสินค้านั้นออกมาขายน้อยลงหรือสรุปได้ว่าปริมาณของสินค้าชนิดใดนิดหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกับราคา
ปัจจัยที่กำหนดอุปทาน
๑.ราคาของสินค้า เมื่อราคาแพงขึ้น ความต้องการขายเพิ่มขึ้น (P>,S>)
๒. ราคาของปัจจัยการผลิตหรือต้นทุนการผลิต เช่น หากต้นทุนค่าขนส่งแพงขึ้นเพราะราคาน้ำมันแพงขึ้น แต่ราคาสิ้นค้าที่นำไปวางขายไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้ผู้ผลิตอยากขายสินค้าในปริมาณที่น้อยลง ได้กำไรน้อยลง
๓.ราคาสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรณีที่ราคาสินค้าอื่นแพงขึ้น อาจมีผลทำให้อุปทานของสินค้าที่ผลิตอยู่ลดลงตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น เมื่อราคาข้าวโพดแพงขึ้น คนที่เคยปลูกมันสำปะหลังอยู่ อาจหันไปปลูกข้าวโพดแทน และลดการปลูกมันสำปะหลังลง ซึ่งส่งผลทำให้อุปทานของมันสำปะหลังสูงขึ้น ขณะที่อุปทานของข้าวโพดลดลง
๔.เทคโนโลยีในการผลิตสินค้า เช่น หากมีการคิดค้นเทคโนโลยีในการผลิตให้ดีขึ้น ทำให้ผลิตได้ปริมาณสินค้ามากขึ้นด้วยต้นทุนเท่าเดิม จะทำให้ปริมาณการเสนอขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้
๕. การคาดการณ์ในอนาคต เช่น หากผู้ผลิตหรือผู้ขายคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว ก็เสนอขายสินค้าในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
๖.ปัจจัยอื่น เช่น ฤดูกาล ภาษีและเงินอุดหนุน จำนวนผู้ขาย และโครงสร้างตลาดสินค้า
กฎของอุปทาน (Law of Supply)
หมายถึง กฎที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณการเสนอขายสินค้า ซึ่งกฎนี้กล่าวไว้ว่า “ปริมาณความต้องการขายสินค้าและราคาสินค้ามีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน”
ฟังก์ชั่นอุปทาน (Supply function)
ฟังก์ชั่นอุปทานแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการกับปัจจัยที่กาหนดปริมาณความต้องการเสนอขาย เราสามารถเขียนในรูปแบบทางคณิตศาสตร์ได้ ดังนี้
SA = f ( PA , PB , C , T , W )
ถ้ากำหนดให้ปัจ จัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวกำหนดปริมาณเสนอขายคงที่ทั้งหมดยกเว้นราคาของสินค้า A เราจะได้สมการใหม่ คือ
SA = f ( PA )
จากสมการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณเสนอขายโดยกำหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่
ตารางอุปทาน (Supply Schedule)
ตารางอุปทาน เป็นตารางที่แสดงความสัมพันธ์ของราคาสินค้าและปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า เมื่อกาหนดให้สิ่งอื่น ๆ คงที่ ตารางอุปทานนี้จะบอกให้เราทราบว่า ณ ระดับราคาต่าง ๆ กันในขณะใดขณะหนึ่ง ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้าจะเป็นอย่างไร
เ
ส้นอุปทาน (Supply Curve)
เส้นอุปทาน หมายถึง เส้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้าและปริมาณความต้องการขาย ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง โดยกาหนดให้สิ่งอื่น ๆ คงที่ จากตาราง ๒.๓ ข้างต้น เราสามารถนามาเขียนเส้นอุปทานได้ดังรูป ๒.๘ จะเห็นได้ว่าเส้นอุปทานมีลักษณะเป็นเส้นทอดขึ้นจากซ้ายไปขวา แสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าและปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้ามีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกัน คือเมื่อราคาสินค้า A สูงขึ้น ความต้องการเสนอขายสินค้า A สูงขึ้นด้วย ซึ่งเป็นไปตามกฏของอุปทาน
ปัจจัยที่ทำให้อุปทานเปลี่ยนแปลงไปทั้งเส้น
เส้นอุปทานจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ราคาซึ่งเคยกาหนดให้คงที่ เกิดเปลี่ยนแปลงไป เช่น เทคโนโลยีการผลิต ราคาปัจ จัยการผลิต ต้นทุนการผลิต สภาพดินฟ้าอากาศ ฯลฯ หากเราจะพิจารณาปัจ จัยทีละชนิดโดยกาหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ เราสามารถทาได้ดังนี้
๑.เทคโนโลยีการผลิต ถ้ามีการค้นพบเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ที่สามารถให้ผลผลิตได้มากขึ้น จากการใช้ทรัพยากรเท่าเดิม ก็จะทาให้ อุปทานของสินค้านั้นเพิ่มขึ้น(เส้นอุปทานเลื่อนไปทางขวา) ในทางตรงกันข้ามถ้าเทคโนโลยีล้าหลังก็จะทาให้อุปทานลดต่าลง (เส้นอุปทานเลื่อนไปทางซ้าย)
๒.ราคาปัจจัยการผลิต ราคาปัจจัยการผลิตที่สูงขึ้นย่อมมีผลทาให้ปริมาณการเสนอขายลดลง (เส้นอุปทานเลื่อนไปทางซ้าย)ในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาปัจจัยการผลิตลดลง ปริมาณการเสนอขายก็จะเพิ่มสูงขึ้น (เส้นอุปทานเลื่อนไปทางขวา)
๓.ต้นทุนการผลิต หากมีเหตุการณ์ใดๆ ที่ทาให้ต้นทุนการผลิตเปลี่ยนแปลงไป ย่อมทาให้อุปทานของสินค้าชนิดนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนนั้น ๆ เช่น ต้นทุนสูงขึ้นทาให้ความต้องการผลิตสินค้าลดลง (เส้นอุทานเลื่อนไปทางซ้าย)
๔.สภาพดินฟ้าอากาศ หากปีใดสภาพดินฟ้าอากาศเอื้ออานวยก็จะมีผลให้อุปทานโดยเฉพาะสินค้าเกษตรมีมาก (เส้นอุปทานเลื่อนไปทางขวา)แต่ถ้าสภาพดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออานวย เกิดอุทกภัย วาตภัย หรือภัยธรรมชาติต่าง ๆ ย่อมมีผลให้อุปทานของสินค้าเกษตรน้อยลง (เส้นอุปทานเลื่อนไปทางซ้าย)
ภาวะดุลยภาพและการเปลี่ยนแปลง
ดุลยภาพตลาด (Market Equilibrium)
เป็ นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การตกลงซ้ือขายจะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเมื่อท้งัผูซ้้ือและผูข้ายต่างยอมรับ ราคาและปริมาณซ้ือขายอนั เดียวกนั ดงัน้นั จุดที่ทา ให้เกิดการซ้ือขายดงักล่าวน้ีเองที่เรียกว่า “ดุลยภาพ” (Equilibrium)และ ณ จุดน้ีราคาสินคา้และปริมาณความตอ้งการซ้ือและขายจะมีเพียงราคาเดียวเท่าน้ัน เรียกระดบั ราคาและปริมาณดงักล่าวน้ีว่า “ราคาดุลยภาพ” (Equilibrium Price) และ “ปริมาณดุลยภาพ” (Equilibrium Quantity)และเรียกภาวะดงักล่าวน้ีวา่ “ดุลยภาพของตลาด” (Market Equilibrium)
ดังน้้น จึงสรุปไดว้่า ดุลยภาพของตลาด หมายถึง สภาพสมดุลที่เกิดข้ึน ณ ระดบั ราคาที่ผูซ้้ือและ ผูข้ายไดท้ า การตกลงซ้ือขายกนั แลว้ปริมาณความตอ้งการซ้ือจะตอ้งเท่ากบั ปริมาณความตอ้งการขาย พอดี หรืออาจกล่าวได้ว่า จุดดุลยภาพของตลาดจะเกิดข้ึน ณ จุดที่เส้นอุปสงค์ตัดกับเส้นอุปทาน
การปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพ
จากที่กล่าวมาแลว้ว่า ณ ระดับราคาใดราคาหน่ึง ปริมาณความตอ้งการซ้ือและปริมาณความ
ต้องการขายไม่จ าเป็ นต้องเท่ากัน ในบางกรณีที่ระดับราคาอยู่สูงกว่าราคาดุลยภาพ ยกตัวอย่างเช่น 4 เส้นอุปสงค์และอุปทานตัดกันที่จุด E ราคาดุลยภาพ คือ OPE บาท ปริมาณดุลยภาพ คือ OQE หน่วย ณ ระดับราคา OP1 บาท ผซู้้ือจะมีปริมาณความตอ้งการซ้ือเท่ากบั OQd หน่วย ในขณะที่ผู้ขายมีปริมาณความต้องการที่จะเสนอขายเท่ากับ OQs หน่วย จะเห็นว่า จ านวนสินค้าที่เสนอขายมากกว่า
การเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพ
การเปลี่ยนแปลงในดุลยภาพ จะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อ อุปสงค์และอุปทานเปลี่ยนแปลงซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอุปสงคแ์ละ/หรืออุปทานจะเกิดจากปัจจยัที่เป็นตวักา หนดโดยอ้อม ไดแ้ก่รายได้ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง รสนิยม ฤดูกาล ต้นทุนการผลิต เทคโนโลยีการผลิตจานวนผู้ขาย ฯลฯ เป็นต้น เปลี่ยน ในขณะที่ปัจจยัที่เป็นตัวกำหนดโดยตรงได้แก่ราคาคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลทไให้เส้นอุปสงค์และ/หรืออุปทานเปลี่ยนแปลงเพิ่มข้ึนหรือลดลงท้งัเส้น การเปลี่ยนแปลงของเส้นอุปสงค์และอุปทานดังกล่าวจะน าไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระดับราคาและปริมาณของสินค้า ดุลยภาพของตลาดก็จะย้ายตำแหน่งไปด้วย