Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
3.4-3.9 การส่งเสริมสุขภาพมารดาขณะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
3.4-3.9 การส่งเสริมสุขภาพมารดาขณะตั้งครรภ์
ไตรมาสที่ 1
1.การพักผ่อน/ นอนหลับ
2.การออกกำลังกาย
ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น จิตใจสงบ ทำให้หญิงตั้งครรภ์นอนหลับได้ดี กระตุ้นให้อยากรับประทานอาหาร ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น
การเดินเล่นในที่ ที่มีอากาศบริสุทธิ์ แต่ไม่ควรออกกำลังกายจนเหนื่อย และควรระวังเรื่องอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในขณะออกกำลังกาย
3.การทำงาน
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การทำงานที่ต้องยืนนานๆ การทำงานบางประเภทที่อาจเกิดการแท้ง / การคลอดก่อนกำหนด / ทารกในครรภ์เกิดความพิการ
No การทำงานในโรงงานที่มีสารเคมีหรืองานที่ต้องยกของหนักๆ
4.การเดินทาง
ในรายที่มีประวัติการแท้ง / คลอดก่อนกำหนด หรือการตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อนควรงดการเดินทางไกล
ถ้าจำเป็นควรเปลี่ยนอิริยาบถจะทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
5.การดูแลรักษาสุขภาพของปากและฟัน
แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อและก่อนนอน
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น เนื้อสัตว์, ไข่, นม ผักใบเขียว ผลไม้ต่างๆ
ดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรง
พบทันตแพทย์เมื่อมีปัญหาภายในช่องปาก
6.การรับประทานอาหารและยา
Medication การใช้ยา
ยาเกือบทุกชนิดสามารถผ่านจากมารดาไปสู่ทารกได้ ฉะนั้นการให้ยาในหญิงตั้งครรภ์ควรยึดหลัก
ไม่มียาตัวใดที่ปลอดภัยแน่นอน แม้แต่ยาที่ใช้ทาผิวหนัง
ต้องมีข้อบ่งชี้สำหรับการให้ยานั้นๆ อย่างละเอียดและหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น
เปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสียที่ทารกจะได้รับ
การตอบสนองต่อยาของหญิงตั้งครรภ์ อาจถูกเปลี่ยนไปได้โดยภาวะของการตั้งครรภ์ อาจต้องมีการปรับลดขนาดของยาลง
ผลของยาบางตัวที่มีต่อทารกในครรภ์ อาจจะไม่ปรากฏให้เห็นเมื่อแรกคลอดแต่จะไปปรากฏให้เห็นเมื่อทารกเติบโตแล้วก็เป็นได้
แนะนำไม่ให้หญิงตั้งครรภ์ซื้อยารับประทานเอง
ควรมีการบันทึกการรักษาและชื่อยาทุกชนิดที่ใช้กับหญิงตั้งครรภ์
Food
หญิงน้ำหนักตัวได้มาตรฐาน (สมส่วน)
(BMI 18.5-22.9 กิโลกรัม / (เมตร2)
น้ำหนักควรเพิ่มขึ้น 11.5 – 16.0 กิโลกรัม
อาหารที่หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารใน 1 มื้อ
กลุ่มข้าวแป้ง มื้อละ 3 ทัพพี
กลุ่มผัก มื้อละ 2 ทัพพี
กลุ่มผลไม้ มื้อละ 2 ส่วน
กลุ่มเนื้อสัตว์ มื้อละ 4 ช้อนกินข้าว
กลุ่มนม มื้อละ 1 แก้ว
Nutrition
Protein
โปรตีน มีมากในเนื้อสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง ผลิตภัณฑ์นม และไข่ ถ้าขาดจะทำให้การเจริญเติบโตของทารกไม่ปกติ การพัฒนาสมองไม่สมบูรณ์
Iron
ธาตุเหล็ก มีมากในเลือด ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ ถ้าขาดจะทำให้แม่เป็นโลหิตจาง ซึ่งผักผลกระทบต่อการพัฒนาสมองของทารก
Iodine
ไอโอดีน มีมากในอาหารทะเลละเกลือเสริมไอโอดีน ถ้าแม่ขาดจะทำให้การพัฒนาสมองของทารกผิดปกติ ทารกเกิดมาเป็นโรคเอ๋อ ปัญญาอ่อน หูหนวก การทำงานของกล้ามเนื้อไม่ประสานกัน
Folate
โฟเลต มีมากในตับและผักใบเขียว เช่น กุยช่าย หน่อไม้ฝรั่ง แม่ตั้งครรภ์ต้องการโฟเลตเพื่อการสร้างเซลล์สมองของทารก โดยเฉพาะระยะตั้งครรภ์ช่วงเดือนแรก
Vitamin C
วิตามินซี การกินผักและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเพิ่มขึ้นจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีเพียงพอแล้ว ว่าที่คุณแม่จึงไม่จำเป็นต้องกินวิตามินซีเสริมมากเกินไป
Too much Vit C interrupt B 12 causing poor fetal brain and spinal cord
วิตามินซีเสริมมากเกินไป อาจรบกวนการดูดซึมสารอาหารชนิดอื่น เช่น วิตามินบี 12 ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทและไขสันหลังของทารก
Calcium
แคลเซียม สร้างการเจริญเติบโตและส่งเสริมการสร้างกระดูกในครรภ์มารดา สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมมากได้แก่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ปลาตัวเล็กตัวน้อย
Drinking Water
น้ำสะอาด ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว (240 มิลลิลิตรต่อแก้ว) เพื่อช่วยสร้างน้ำในเซลล์เด็ก ช่วยขับของเสีย และเพิ่มปรามานน้ำในเลือด ทำให้ผิวชุ่มชื้น
Not recommended
1.อาหารหมักดอง
2.อาหารรสจัด
3.แอลกอฮอล์ ชา - กาแฟ
4.อาหารที่มีไขมันสูง
5.อาหารที่ใส่ผงชูรส
การมีเพศสัมพันธ์
ในระยะที่ 1 ของการตั้งครรภ์ ความต้องการทางเพศลดลงเนื่องจากอ่อนเพลีย หรือมีอาการคลื่นไส้/ อาเจียน
ระยะที่ 2 อาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากมี pelvic congestion
ในระยะที่ 3 เมื่อท้องมีขนาดที่โตขึ้นอาจทำให้เกิดอาการอึดอัด / ไม่สุขสบายได้
ในระยะ 1 เดือนก่อนคลอด ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด และการติดเชื้อภายหลังคลอด เพราะที่ผนังหุ้ม penis มีเชื้อ streptococci ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อได้อยู่ด้วย
ท่าที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างตั้งครรภ์
ท่านอนตะแคง สามีนอนประกบด้านหลัง
ท่านอนคว่ำยกก้นสูง ศีรษะหรือหน้าแนบชิดพื้น สามียืนประกบด้านหลัง
นั่งบนเตียง หมอนหนุนหลังแล้วแยกขา สามียืนอยู่ด้านหน้า
8.การทรงตัวที่ถูกต้อง
Standing-Upright
หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักจะยืนหลังแอ่น สะโพกยื่นไปข้างหลังทำให้แนวของกระดูกไม่ตรง อันเป็นสาเหตุให้มีอาการปวดหลัง
ท่ายืนที่ถูกต้อง คือ ลำตัวตรง ศีรษะตรง เท้าแยกจากกันเล็กน้อย เพื่อให้น้ำหนักกระจายลงที่เท้าทั้งสองข้าง และเมื่อดูแล้วจะต้องเป็นแนวตรงตั้งแต่ใบหูลงมาถึงข้อเท้า
Sitting-Upright
ท่านั่งที่ถูกต้อง คือ นั่งหลังตรง ให้กระดูกสันหลังรักษาความโค้งปกติไว้ เก้าอี้ที่ใช้นั่งมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดท่านั่งที่ถูกต้องได้ ดังนั้นจึงควรเลือกเก้าอี้ที่เหมาะสมด้วย
Sleeping
ท่านอนหงายที่ถูกต้องควรใช้หมอนหนุนใต้ข้อเข่าให้สะโพกงอเล็กน้อย เพื่อลดความโค้งของกระดูกสันหลังส่วนเอว
ท่านอนตะแคงที่เหมาะสมควรนอนงอเข่าของขาข้างหนึ่งและขาอีกข้างหนึ่งมีหมอนกอดไว้
(ตะแคงซ้าย)
Walking -Head, Shoulders, Back Straight
การเดินที่ถูกต้อง คือ ศีรษะตั้งตรง ไหล่และหลังตรง คางยื่นไปข้างหน้า
9.การบริหารร่างกาย
Abdomen (1st 3 weeks)
กล้ามเนื้อหน้าท้อง ควรปฏิบัติในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
ประโยชน์
1.ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลัง
2.เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อพื้นเชิงกราน
3.เมื่อเข้าสู่ระยะคลอดจะช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง
4.ลดแรงดันของเอ็นที่ยึดเกาะอยู่ทางด้านหลังของคอมดลูกไปยังกระดูกกระเบนเหน็บ และลดความดันในช่องท้อง
5.ช่วยให้การทรงตัวดี มีการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉง
วิธีการบริหารท่าโก่งหลัง (Pelvic rocking)
วิธีกายบริหารท่ายกสะโพกขึ้น (Pelvic tilt)
วิธีกายบริหารขมิบช่องคลอด (Kegel exercise)
การบริหารร่างกายที่ต้องห้ามในระยะตั้งครรภ์
1.ท่าใดๆที่ทำให้มีการแอ่นหลังเพิ่มมากขึ้น
2.นอนหงายยกขาสูงเหมือนหนูถีบจักร จะทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องทำงานมากเกินไป
3.เปลี่ยนจากท่านอนหงาย/ นอนราบ เป็นท่า sit-up ทันที จะทำให้ข้อต่อที่หัวเหน่าแยกจากกันได้ง่าย
4.นอนหงายแล้วยกก้นสูง & 5.การออกกำลังกายที่ท่ารุนแรง
6.นั่งยอง ๆ เหยียดเข่ามากเกินไป
7.เขย่งส้นเท้า ทำให้กล้ามเนื้อน่องทำงานมากเกินไป เกิดตะคริวได้ง่าย
10.อาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ก่อนนัด
1.เจ็บครรภ์คลอด
2.ไข้ หนาวสั่น
3.ปัสสาวะลำบาก
4.ปวดท้องมาก
5.เลือดออกทางช่องคลอด
6.มีน้ำเดินทางช่องคลอด
7.คลื่นไส้ / อาเจียนมาก
8.ตกขาวมากผิดปกติ
9.ปวดศีรษะ / ตาพร่ามัว, จุกเสียดยอดยก
10.ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ
11.บวมหรือน้ำหนักขึ้นเกินสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม
12.เด็กไม่ดิ้นหรือดิ้นผิดปกติ
11.การมาตรวจตามนัด
นัดตรวจทุก 4 สัปดาห์
ก่อนอายุครรภ์ 28 สัปดาห์
ระหว่างอายุครรภ์ 28-36 สัปดาห์
นัดตรวจทุก 2 สัปดาห์
อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ขึ้นไป
นัดตรวจทุกสัปดาห์
การตรวจในแต่ละครั้งจะประกอบด้วย
1.ชั่งน้ำหนัก
2.วัดความดันโลหิต
3.ตรวจปัสสาวะ
4.ซักถามอาการเปลี่ยนแปลง ความผิดปกติต่างๆ
5.ตรวจครรภ์
6.ตรวจหาภาวะซีด 7.ตรวจพิเศษเมื่อมีข้อบ่งชี้
ไตรมาสที่ 2
การแต่งกาย
การดูแลผิวหนัง
หญิงตั้งครรภ์จะมีการทำงานของต่อมเหงื่อเพิ่มมากขึ้น
ควรอาบน้ำชำระล้างร่างกายวันละ 2 ครั้งตามปกติ
ไม่ควรสวนล้างในช่องคลอดเพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ไม่ควรลงแช่ในน้ำคลอง
ถ้าผิวหนังบริเวณหน้าท้องมีอาการคันมากให้ทาโลชั่นได้
การดูแลเต้านม
หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ไปแล้ว เต้านมจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีน้ำหนักมากกว่าปกติ
คำแนะนำ
1.ควรทำความสะอาดบริเวณหัวนมด้วยน้ำสะอาดทุกวัน
2.ถ้าหัวนมมีความผิดปกติ เช่น หัวนมบุ๋ม ให้แก้ไขด้วยวิธี Hoffman’s maneuver
3.ใส่ยกทรงที่ถูกต้อง คือ มีขนาดที่เหมาะสมกับเต้าและสามารถรองรับน้ำหนักเต้าทรงได้
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย
ลูกดิ้น
แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่เริ่มนับการดิ้นของทารกตั้งแต่อายุครรภ์ 7 เดือน
อายุครรภ์เจ็ดเดือนขึ้นไป ลูกจะดิ้นทุกวัน เนื่องจากการดิ้นของลูกนั้นบ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่
วิธีการนับลูกดิ้น
การนับจำนวนลูกน้อยในครรภ์ดิ้นจนครบ 10 ครั้ง ใน 4 ชั่วโมง ซึ่งนิยมให้นับในช่วงเช้า 08.00-12.00 น.
*ถ้ายังนับได้น้อยกว่า 10 ครั้ง ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
อาการแสบร้อนยอดอก
กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับไปที่หลอดอาหารส่วนปลาย เนื่องจากอาหารถูกดันขึ้นโดยมดลูกที่มีขนาด
ใหญ่ขึ้น
วิธีการปรับตัวให้เหมาะสม
รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่เพิ่มจำนวนมื้ออาหาร หลีกเลี่ยงอาหารไขมันเพราะย่อยยาก
ไม่ควรนอนราบหลังรับประทานอาหาร ควรนั่งหรือนอนในท่าศีรษะสูง
ถ้ามีอาการมากควรปรึกษาแพทย์
ท้องอืด
มดลูกโตขึ้น -> เบียดกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลง + เพิ่มของฮอร์โมน Progesterone -> ทำให้ลำไส้บีบตัวลดลง -> อาหารค้างอยู่ในกระเพาะนานขึ้น
ท้องอืด
ปรับตัวให้เหมาะสม
หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น น้ำอัดลม ถั่ว
เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อให้อาหารย่อยได้ดีและเร็วขึ้น
ระวังอย่าให้ท้องอืด
ท้องผูก
Progesterone -> กล้ามเนื้อลำไส้ทำงานน้อยลง -> อาหารผ่านไปได้ช้ากว่าปกติ -> น้ำที่อยู่ในอาหารจึงถูกดูดซึมกลับมากขึ้น -> อุจจาระแห้ง -> ท้องผูก
ปรับตัวให้เหมาะสม
ดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงใช้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้
ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินวันละ 10-15 นาที ในตอนเช้า
ไม่ควรใช้ยาระบายเอง หากมีอาการท้องผูกควรรีบมาปรึกษาแพทย์
ริดสีดวง
เส้นเลือดดำที่ทวารหนักโป่งพอง หรืออาจยื่นออกมาข้างนอกทวารหนัก เป็นผลต่อเนื่องมาจากอาการท้องผูก
ปรับตัวให้เหมาะสม
ระวังอย่าให้ท้องผูก
เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงใช้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้
ดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ถ้ามีอาการปวด และมีเลือดออกที่ริดสีดวงควรปรึกษาแพทย์
หน้ามืดเป็นลม
าจเกิดจากความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนอริยาบถเร็ว
ปรับตัวให้เหมาะสม
ขณะนั่งหรือยืนพยายามรักษาหลังให้ตรง
ไม่ยกของหนัก ไม่ยืนหรือเดินนานๆ
สวมใส่สเตย์ เพื่อพยุงหน้าท้อง
สวมรองเท้าส้นเตี้ย
บรรเทาอาการปวด โดยการนวดหลัง หรือการใช้ความร้อน
การออกกำลังกายที่เหมาะสม
ท่ากระดกข้อเท้า
กระดกข้อเท้าขึ้น-ลงเต็มที่ เกร็งข้างละ 3 วินาที ทำสลับข้าง
ประโยชน์ ช่วยให้ข้อเท้ามั่นคงไม่พลิกง่าย ลดบวม
ท่ายกก้น
นอกราบบนเตียง ชันเข่าขึ้นทั้ง 2 ข้าง ยกก้นขึ้นเกร็งไว้ 3 วินาที ทำ 10 ครั้ง
ประโชน์ ช่วยให้กล้ามเนื้อก้น ต้นขา หน้าท้องแข็งแรง และหูรูดกระชับ
ท่านอนตะแคงยกขา
นอนตะแคงซ้ายยกขาขึ้นตรงๆเกร็งค้างไว้ 3 วินาที พัก 3 วินาที ทำ 10 ครั้ง
-ตะแคงขวาสลับข้าง
ประโชน์ ช่วยให้กล้ามเนื้อก้น ต้นขา หน้าท้องแข็งแรง และหูรูดกระชับ
ท่าแมวขู่
ท่าคลาน 4 ขา แขม่วท้อง โก่งตัวคล้ายแมวขู่ เกร็ง 3 วินาที พัก 3 วินาที ทำ 10 ครั้ง
ประโยชน์ ช่วยให้กล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องแข็งแรง
ท่านั่งเตะขา
นั่งเก้าอี้ เตะขาจนเข่าตรง เกร็ง 3 วินาที พัก 3 วินาที ทำ 10 ครั้ง ทำสลับข้าง
ประโยชน์ ช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรง
ท่ายืนเตะขาด้านหลัง
ยืนเกาะเก้าอี้ เตะขาไปด้านหลัง เกร็ง 3 วินาที พัก 3 วินาที ทำสลับข้างจนครบข้างละ 10 ครั้ง
ประโยชน์ ช่วยให้กล้ามเนื้อสะโพกแข็งแรง
ท่ายืนเตะขาด้านข้าง
ยืนเกาะเก้าอี้ เตะขาไปด้านข้าง เกร็งค้างไว้ 3 วินาที พัก 3 วินาที ทำสลับข้างจนครบข้างละ 10 ครั้ง
ข้อห้ามของการออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์
ภาวะปากมดลูกหลวม
ครรภ์แฝดที่เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
การตั้งครรภ์ที่มีเลือดออกทางช่องคลอด
ภาวะรกเกาะต่ำ
โรคหัวใจที่ระบบไหลเวียนไม่คงที่
ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ภาวะครรภ์เป็นพิษ
ไตรมาสที่ 3
การเตรียมตัวเพื่อการคลอด
การเตรียมตัวเพื่อให้นมบุตร
การเจ็บครรภ์คลอด
การเตรียมของเครื่องใช้สำหรับมารดาและทารก
การวางแผนครอบครัว
6.การเตรียมสิ่งแวดล้อมในบ้าน