Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
3.1.1 การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาระยะตั้งครรภ์ [3. การพยาบาลสตรีในระยะตั้งค…
3.1.1 การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาระยะตั้งครรภ์ [3. การพยาบาลสตรีในระยะตั้งครรภ์]
Definition
ทางการแพทย์เรียกว่า Pregnancy, Conception, gestation and Cyesis Fertilization -> Fertilized ova -> Embryo -> Trophoblast
ระยะของการตั้งครรภ์
อายุครรภ์ (Gestational age : GA)
ระยะเวลานาน 266 วัน นับจากวันที่มีการปฏิสนธิ
280 วัน นับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย (last menstruation period: LMP)
ตั้งครรภ์จนถึงครบกำหนดจึงเท่ากับ 40 สัปดาห์ คิดคำนวณจาก LMP
3 ไตรมาส
ไตรมาสที่หนึ่ง (first trimester)
14 สัปดาห์แรก
ไตรมาสที่สอง (second trimester)
14-28 สัปดาห์
ไตรมาสที่สาม (third trimester)
ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ขึ้นไป
3.1.1 การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาระยะตั้งครรภ์
1. Endocrine system
รก (Placenta)
อวัยวะที่ช่วยทำหน้าที่เสมือนต่อมไร้ท่อที่มีความสำคัญ
ฮอร์โมนที่สร้างจากรก
1) Protein hormone
1.1) human
chorionic gonadotropin (hCG)
สร้างจาก trophoblastic
cells
กระตุ้นการเจริญของ corpus luteum
Corpus luteum keeps producing estrogen and progesterone
until the placenta is sufficiently developed
ยับยั้งปฏิกิริยาภูมิต้านทานของร่างกายในการปฏิเสธทารก
สร้าง Testosterone ในทารกเพศชาย
Disorder
Endometryosis
1.2) Human Placental Lactogen (HPL)
ยับยั้งการทำงานของอินซูลิน (Peripheral insulin antagonist) ทำให้ลดการใช้น้ำตาลของมารดา
นำกลูโคสไปสู่ทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น
ออกฤทธิ์คล้าย growth hormone (GH)
กระตุ้นการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ลดการเผาผลาญโปรตีนในมารดา เพื่อทารกจะได้นำ โปรตีนมาสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้น
ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน Prolactin กระตุ้นการสร้างและหลั่งน้ำนม
2) Steroid Hormone
2.1) Estrogen Hormone
เพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อมดลูก เพิ่มชั้นProliferation ของ Endometrium และ เพิ่มปริมาณเส้นเลือดที่มาเลี้ยงมดลูกและรก
เพิ่มการคั่งของน้ำและโซเดียม มีผลให้ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น
ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางที่เรียกว่า Physiologic anemia
กล้ามเนื้อและเอ็นยืดขยายตัวได้ มากขึ้น มีผลให้หลังแอ่น ปวดหลัง
กระตุ้นให้มีการสะสม Melanin pigment
ฝ้าที่ใบหน้า (Chloasma)
ลานนม
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
เส้นกลางลำตัวจากลิ้นปี่ถึงหัวเหน่า (Linea nigra)
ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกขยายใหญ่ขึ้น
กระตุ้นการทำงานของท่อน้ำนม ต่อมน้ำนมและหัวนม ทำให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นและคัดตึง
เพิ่มจำนวนFibrinogen ขึ้นร้อยละ 50 ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น
ลดการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารทั้งHCLและ Pepsinทำให้อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ จุกเสียดยอดอก และลดการดูดซึมไขมัน
กระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกแต่ฤทธิ์นี้ถูกยับยั้งจากฮอร์โมน Progesterone
กระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลาย ทำให้มีน้ำลายเพิ่มขึ้น
กระตุ้นการสร้างสารคัดหลั่ง(Secretion)ในช่องคลอด
กระตุ้นการสร้างสาร Prostaglandin ในระยะไตรมาสที่3 ซึ่งมีผลให้มดลูกหดรัดตัว และทำให้มดลูกไวต่อการกระตุ้นด้วย oxytocin
อารมณ์แปรปรวนได้ง่ายและมีอารมณ์ทางเพศ (Libido)เพิ่มขึ้น
2.2) Progesterone Hormone
ยับยั้งภูมิคุ้มกันของมารดาต่อทารกในครรภ์และป้องกันร่างกายมารดาต่อต้านการฝังตัวของ Trophoblast
กระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุผนังมดลูกเพื่อรองรับการฝังตัวของทารก
ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ทำให้การหดรัดตัวของมดลูกลดลง
แต่มีผลทำให้ลำไส้
เคลื่อนไหวน้อยลง เกิดอาการคลื่นไส้แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องผูกได้ง่าย
มีผลให้ท่อ
ปัสสาวะคลายตัว เกิดการคั่งของปัสสาวะ ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
กระตุ้นการขับโซเดียมออกจากร่างกาย
กระตุ้นการทำงานของระบบหายใจ โดยเพิ่มการหายใจ ทำให้ PCO2 ลดลงเพื่อช่วยการขับ
PCO2 จากทารก
กระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมและท่อน้ำนม ทำให้เต้านมคัดตึง
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หญิงมีครรภ์มีความรู้สึกอ่อนเพลีย
เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
มีผลเพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย(Basal body temperature) โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 0.4-1.00 F.
ทำให้รู้สึกร้อนง่าย เหงื่อออกง่าย
เอ็นหย่อนตัว เช่นเอ็นยึดกระดูกเชิงกราน ทำให้หนทางคลอดกว้างขึ้น
กระตุ้นการเจริญเติบโตของเต้านมและทำให้ปากมดลูกนุ่ม
ฮอร์โมนที่สร้างจากหลายอวัยวะ ได้แก่ Prostaglandins
สร้างจาก สมอง เส้นประสาท ต่อมไร้ท่อ เยื่อบุมดลูก และถุงน้ำคร่ำ
ทำให้มดลูกหดรัดตัว ก่อให้เกิดการคลอดและการหลั่งน้ำนม
มีผลต่อหลอดเลือด ทำให้เกิดการรวมตัวของเกล็ดเลือด
มีผลให้เส้นเลือดหดรัดตัว เกิดภาวะความดันโลหิตสูง
ฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่ ได้แก่ Relaxin
corpus luteum ของรังไข่จะสร้าง Relaxin hormone
ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
ทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นหย่อนตัว เช่น เอ็นยึดกระดูกเชิงกราน ทำให้หนทางคลอดกว้างขึ้น
ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อม Pituitary
Growth hormone(GH) ลดระดับลง
Follicle stimulating hormone(FSH) ลดระดับลง
Prolactin (PRL)
มีระดับ
สูงขึ้นและมีผลต่อการสร้างน้ำนม
Oxytocin
กระตุ้นการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อ
ท่อน้ำนมทำให้เกิดการหลั่งของน้ำนม ฮอร์โมนนี้ใช้ก่อให้เกิดการเจ็บครรภ์และเร่งคลอด
ฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมThyroid ได้แก่ Thyroxin
ระดับฮอร์โมนT4 เพิ่มขึ้น แต่ T3 ลดลง มีผลทำให้การเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้ชีพจรเร็ว หัวใจเต้นเร็ว อารมณ์แปรปรวน
2. ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system)
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก (Vulva) อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกรวมทั้งผิวหนังและกล้ามเนื้อฝีเย็บจะมีการขยายใหญ่ขึ้น
ช่องคลอด (Vagina) เยื่อบุช่องคลอดเปลี่ยนสีจากสีชมพูเป็นสีม่วง Chadwick’s signs
การสร้างกรดแลคติก
สารคัดหลั่งในเยื่อบุช่องคลอดมีฤทธิ์เป็นกรด p H อยู่ระหว่าง 3.5-6.0 ซึ่งสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
ปากมดลูก (Cervix)
ความนุ่มขึ้นเรียกว่า Goodell‘s signs
ฮอร์โมน Estrogen มีผลไปกระตุ้นต่อมบริเวณปากมดลูกให้เพิ่มขนาดและจำนวนเพื่อสร้างเมือกที่มีลักษณะขุ่นข้นมาปิดบริเวณปากมดลูก (Mucus plug หรือ Cervical plug)ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อที่จะเข้าสู่โพรงมดลูก
มดลูก (Uterus)
มีความจุเพิ่มขึ้น 1,000 เท่า และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 30เท่าเมื่อครรภ์ครบกำหนด
การขยายตัวของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก (myometrial cell)
การผลิตเซลล์ใหม่ของเนื้อเยื่อไฟบรัส (fibrous tissue)
การเพิ่มขึ้นของเนื้อเยื่อที่ยืดหยุ่นได้ (elastic tissue)
Shape
ตำแหน่งยอดมดลูก(fundus) จะโตเด่นที่สุดและตำแหน่งที่รกเกาะจะโตเร็วกว่าตำแหน่งอื่นๆรูปร่างของมดลูกจะเปลี่ยนไปจากลูกชมพู่เป็นลักษณะกลมประมาณเดือนที่ 3
การหดรัดตัวของมดลูก(Uterine Contraction)
มีการหดตัวเป็นระยะไม่สม่ำเสมอ และไม่รู้สึกเจ็บ ไม่ก่อให้เกิดการคลอด เรียกว่า Braxton hicks contraction
เจ็บครรภ์เตือน (False labor pain)
1-2สัปดาห์ก่อนคลอดจะมีการหดรัดตัวมากขึ้น แต่ไม่สม่ำเสมอและไม่มีการเปิดขยายของปากมดลูก
เจ็บครรภ์จริง (True labor pain)
เจ็บเพิ่มขึ้นทั้งความถี่ และความรุนแรง
ท่อนำไข่ (Fallopian tube หรือ Ovarian tube)
ขยายตัวใหญ่และยาวขึ้น เพื่อให้ได้สัดส่วนกับมดลูกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
รังไข่ (Ovary) ขณะตั้งครรภ์ไม่มีการตกไข่
เอ็นยึดข้อต่อของกระดูกและอวัยวะในอุ้ง เชิงกราน(ligament and joints of pelvic organs)
ยืดขยายและนุ่มขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะได้ยืดขยายใหญ่ในขณะคลอด
เต้านม (Breast)
ขยายใหญ่ขึ้นและมีเลือดมาเลี้ยงบริเวณเต้านมมากขึ้น
รอบๆหัวนม (Areola) จะมีขนาดใหญ่และสีเข้มขึ้น
ตุ่มเล็กๆบริเวณรอบหัวนมเรียก Montgomery‘s tubercle ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของต่อมไขมัน
3 ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardio vascular system)
หัวใจ ขนาดของหัวใจ จะมีขนาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากต้องทำงานเพิ่มขึ้นและปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้น
หัวใจถูกดันไปด้านซ้ายและสูงกว่าปกติ Left axis deviation
เสียงของหัวใจ เสียงของหัวใจดังขึ้นและเปลี่ยนแปลง
เสียงที่ 1 ได้ยินชัดและมีเสียงแยก (split)
เสียงที่ 2 ได้ยินชัดและมีเสียงแยกเล็กน้อยขณะหายใจเข้า
เสียงที่ 3 จะฟังได้ง่ายและชัดเจนโดยเฉพาะหลังการตั้งครรภ์ได้ 20 สัปดาห์
เสียงheart murmurs ฟัง Systolic murmurs ชัดที่ ICS 2 & Apex เกิดจากการเพิ่มการไหลเวียนเลือดซึ่งพบในหญิงตั้งครรภ์ 90%
ปริมาตรของเลือด (Blood volume)
ปริมาตรเลือดเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40% หรือประมาณ 1,500 ml. ทำให้มีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน
เม็ดเลือดแดง(red blood cell) ในระหว่างการตั้งครรภ์ค่า Hb. และ Hct. ลดลง อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กได้
เม็ดเลือดขาว(white blood cell) จะมีการเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาว (leukocyte)
ปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด (coagulation factor)
fibrinogen เพิ่มขึ้นประมาณ 50% ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดดำ อุดตัน(Thrombosis)
Cardiac output
อายุครรภ์ 27-40 สัปดาห์ ซึ่งมดลูกมีขนาดใหญ่ การนอนหงายเป็นเวลานานมีผลให้เลือดบริเวณส่วนปลายไหลกลับหัวใจไม่สะดวกเพราะมดลูกกดทับเส้นเลือด Vena cava Cardiac output จึงลดลงทำให้ความดันโลหิตต่ำ เรียกว่า
Supine hypotension syndrome
อาการใจสั่น หวิว มึนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
แก้ไขโดยให้เปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงซ้าย อาการจะดีขึ้น
ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายต่อนาที เพิ่มขึ้นสูงสุด 30-35% เมื่ออายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์
ทำให้ การเต้นของหัวใจและ stroke volume เพิ่มขึ้น
ความดันโลหิต
เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ความดันโลหิตจะลดลงเล็กน้อย
เปลี่ยนไปตามท่าที่เปลี่ยนไป
ค่าจะสูงขึ้นที่สุดในท่านั่ง
ค่าปานกลางเมื่อนอนหงาย
ค่าจะต่ำสุดเมื่อนอนตะแคง
ในเส้นเลือดดำจะสูงสุดบริเวณส่วนล่างของร่างกาย เนื่องจากมดลูกโตกดทับเส้นเลือดในอุ้งเชิงกรานและ inferior vena cavaทำให้เท้าบวม เกิดริดสีดวงทวาร และ เส้นเลือดขอดง่าย
ชีพจร
การเพิ่มของ Cardiac output มีผลให้ชีพจรเพิ่มขึ้น
78 ครั้ง/นาทีในไตรมาสแรก
86 ครั้ง/นาทีเมื่อใกล้คลอด
การเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือด (circulatory changes)
มดลูก
มีเลือดไหลเวียนเพิ่มมากขึ้น 20-40 เท่าก่อนการตั้งครรภ์
ไต
มีเลือดเพิ่มขึ้นประมาณ50% ในระยะไตรมาสที่ 1และ 2
เต้านม
ขยายขนาดขึ้นจากการไหลเวียนที่เพิ่มขึ้น
ระบบผิวหนัง
จะมีการเจริญของผมและเล็บเพิ่มขึ้น
ระบบประสาทส่วนกลาง และ ตับ
การไหลเวียนของเลือดในระบบประสาทส่วนกลาง และ ตับไม่เปลี่ยนแปลง
1.4 ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory system)
ทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ปริมาณออกซิเจนเพียงพอกับความต้องการของมารดาและทารกในครรภ์
อัตราการหายใจเร็วขึ้น และตื้นขึ้น
ปริมาตรของปอดและอากาศที่หายใจเข้าออกทั้งหมดลดลง จากการที่กระบังลมถูกมดลูกที่โตขึ้นมาเบียด
หลอดเลือดฝอยบริเวณทางเดินหายใจจะขยายใหญ่ขึ้น เนื่องจากผลของ estrogen
มีการคั่งของน้ำและเลือดเกิดอาการเลือดกำเดาไหลเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น
หายใจลำบากขึ้น
แต่อาการหายใจลำบากจะลดลงเมื่อท้องลด(Lightening) ในช่วง 2-3 สัปดาห์ ก่อนคลอด (
อายุครรภ์มากขึ้นมดลูกซึ่งมีขนาดใหญ่ดันเบียดกระบังลมให้สูงขึ้น
)
การระบายอากาศ (ventilation) ในการหายใจระบายอากาศจะเพิ่มขึ้น 40-50%
ร่างกายต้องการเผาผลาญอาหารมากขึ้นการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบได้
1.5 ระบบทางเดินปัสสาวะ (renal system)
ไต
มีขนาดใหญ่ขึ้น มีขนาดโตขึ้น 1.5 ซม. เนื่องจากมีเลือดมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น
ไตทำงานมากเกินไป
กลูโคส วิตามินบี12 กรดโฟลิค กรดอะมิโนกรดยูริค วิตามินที่ละลายในน้ำสารเหล่านี้ถูกขับออกมา ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
ท่านอนตะแคง**
มดลูกไม่กดทับเส้นเลือด เลือดจะไหลกลับสู่หัวใจมากขึ้น เลือดที่มาเลี้ยงไตเพิ่มขึ้น
ทำให้ปริมาณปัสสาวะเพิ่มขึ้น ดังนั้นในเวลา
กลางคืนสตรีตั้งครรภ์จึงปัสสาวะบ่อย**
ท่อไต (Ureters) ขนาดใหญ่ยาวและคดงอเพิ่มขึ้น ทำให้มีการคั่งของปัสสาวะในท่อไต
กระเพาะปัสสาวะ (Bladder)
เมื่อมดลูกโตขึ้น จะเกิด hyperemia ที่อวัยวะในอุ้งเชิงกราน
hyperplasia ที่กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
ความดันในกระเพาะปัสสาวะเพิ่มจาก 8 cmH2O ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เป็น 20 cmH2Oในตอนครรภ์ครบกำหนด
absolute และ functional urethral lengths เพิ่ม 6.7 และ 4.8 mmตามลำดับ
maximal intra urethral pressure เพิ่มจาก 70 เป็น 93 cmH2O
สตรีตั้งครรภ์จะมี
urinary incontinence (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่) ในไตรมาสที่ 3
การทำงานของไต
GFR และ renal plasma flow เพิ่มขึ้น
ในช่วงแรก (จาห ปริมาตรเลือดมากขึ้น)
มีปัสสาวะบ่อยในช่วงตั้งครรภ์
Proteinuria
ภาวะที่มีโปรตีนในปัสสาวะในระหว่างการตั้งครรภ์ (ควรน้อยกว่า 300 mg/dl เฉลี่ย 115 mg/dl)
Glucosuria ภาวะที่มีน้ำตาลในปัสสาวะ
พบได้ในครรภ์ปกติ (น้ำตาลในปัสสาวะไม่ควรเกิน +1)
การเกิดภาวะบวม (Edema)
ร่างกายมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 6-8 ลิตร
ภาวะบวมชนิด Physiologic edema
พบในไตรมาสที่3 มดลูกมีขนาดใหญ่กดทับเส้นเลือดดำ ใน
ท่านอนหงาย ท่านั่งและท่ายืน ทำให้มีเลือดคั่งบริเวณส่วนปลาย
1.6 ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ในไตรมาสแรก มักมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เหม็นกลิ่นอาหาร ไม่อยากอาหาร
บางครั้งบางคนอาจอยากกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร เช่น ดิน ถ่านหิน ยาสีฟัน (Pica)
ไตรมาสสาม
การเคลื่อนไหวของกระเพาะและลำไส้ลดลง
เนื่องจากมดลูกที่โตขึ้นเบียด
progesterone ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว หลอดอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะคลายตัว ทำให้อาหารในกระเพาะไหลย้อนกลับ
เกิดอาการจุกเสียดแน่นหน้าอก(Heart reflux esophagitis)
น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทั้ง HCL และ pepsin ลดลง
การเคลื่อนผ่านของอาหารเป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้แร่ธาตุเหล็กดูดซึมได้ดี
น้ำดูดซึมได้ดี ทำให้อุจจาระค่อนข้างแข็ง ทำให้ท้องผูก เกิดเป็นริดสีดวงทวารหรืออาจมีการอักเสบตามมา
ปาก เหงือก
บวมและหนาตัวขึ้น อาจคลุมถึงส่วนบนของฟัน เหงือกที่อ่อนนุ่มและมีเส้นเลือดมาเลี้ยงนี้ทำให้เกิดภาวะเลือดออกได้ง่าย
เช่นแปรงฟันแรงๆหรือเคี้ยวอาหารแข็ง
มีน้ำลายออกมาก (Ptyalism)
เนื่องจากแพ้ท้องมากๆ จนกลืนน้ำลายไม่ลง
ทางเดินอาหาร
การเคลื่อนไหวของกระเพาะและลำไส้ลดลงเนื่องจากมดลูกที่โตขึ้นเบียด
กล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะคลายตัว ทำให้อาหารในกระเพาะไหลย้อนกลับ เกิด
อาการจุกเสียดแน่นหน้าอก (Heart reflux esophagitis)
ตับและถุงน้ำดี
การทำงานของตับ
ในระยะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นโดยพบว่า ระดับ Cholesterol, lipoprotein และTriglyceride สูงขึ้น
ถุงน้ำดีทำงานช้าลง ทำให้น้ำดีไหลช้า เกิดการสะสมของผลึก Cholesterol อาจเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย
1.7 ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย (Metabolic System)
การเพิ่มของน้ำหนัก
สัมพันธ์กับมดลูก ทารก รก เต้านม ปริมาตรเลือดที่มากขึ้น และextravascular extracellular fluid :
เฉลี่ยระหว่างตั้งครรภ์จะ
เพิ่ม 12.5 กิโลกรัม หรือ 27.5 ปอนด์
Healthy weight :
แม่ได้อาหารที่เพียงพอและสมดุลจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ
12 กิโลกรัม
ซึ่งจะทำให้
ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวประมาณ 3 กิโลกรัม
1-3 เดือนแรก
อาการแพ้ท้อง กินอาหารไม่ได้ และทารกยังเติบโตช้า
3-6 เดือน
แม่หายแพ้ท้อง เริ่มกินอาหารได้มากขึ้น
6-9 เดือน
น้ำหนักตัวเพิ่มอย่างรวดเร็ว มีความต้องการสารอาหารโปรตีน พลังงาน วิตามิน และแร่ธาตุ จะมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำ
การคั่งของน้ำเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณน้ำในเชลล์และน้ำ นอกเซลล์
โดยที่น้ำจะสะสมอยู่ในเลือด มดลูก เต้านม น้ำคร่ำ รก
หญิงตั้งครรภ์มีอาการบวมกดบุ๋ม (pitting edema) ที่ บริเวณเท้าและข้อเท้าได้
เมตาบอลิซึมของโปรตีน
การใช้โปรตีน ในการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆของทารกนั้น ใช้โปรตีนมากกว่าสารอาหารใดๆ มีผลให้ ระดับโปรตีนในเลือดของสตรีตั้งครรภ์ลดลง ดัง
นั้นหญิงมีครรภ์ควรได้รับโปรตีนมากขึ้นกว่าปกติ
เมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต
Blood glucose levels are 10% to 20% lower
than before pregnancy
hypoglycemia
may develop between meals and at night
as the fetus continuously draws glucose from the mother
Postprandial
(after a meal) blood glucose level is higher
than before pregnancy
because of insulin resistance, resistance,
making more glucose available for
fetal energy needs.
for some women, insulin production cannot be
increased
and these women experience periodic hyperglycemia or
gestational
diabetes
เมตาบอลิซึมของไขมัน
ไตรมาส 3 ช่วงท้ายของการตั้งครรภ์จะมี
hyperlipidemia, triglyceride / cholesterol / VLDL / LDL / HDL
เพิ่มขึ้น
ไขมัน มีการสะสมไขมันมากขึ้น
ซึ่งจะนำไปใช้เป็นพลังงานในระยะที่ทารกมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
Leptin ส่วนมากสร้างจากรก
เลพตินและadiponectin มีส่วนในการเจริญเติบโต
ของทารก
ระดับที่ผิดปกติสัมพันธ์กับการเกิด preeclampsia และ GDM
Ghrelin หลั่งจากกระเพาะอาหารเมื่อหิว ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เช่น metabolic syndrome และ GDM
เกลือแร่และแร่ธาตุ
โซเดียมมีค่า 1000 mEq โพแทสเซียมมีค่า 300 mEq สะสมในร่างกาย ถึงแม้ว่าการกรองที่ไตจะเพิ่มขึ้น แต่ระดับโซเดียมและโพแทสเซียมก็ไม่เปลี่ยนแปลง
แคลเซียม ทั้ง ionized และ nonionized จะลดลง
พัฒนาการของทารกขึ้นอยู่กับแคลเซียมของมารดา
ต้องมีการเสริมแคลเซียมในอาหารอย่างเพียงพอจำเป็นในการป้องกันการขาดแคลเซียมจากมารดา
แมกนีเซียม ลดลงระหว่างตั้งครรภ์
, ฟอสเฟต ไม่เปลี่ยนแปลง
ไอโอดีน ความต้องการเพิ่มขึ้น
1.8 ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (MUSCULOSKELETAL SYSTEM)
ท่า (Posture)
หลังแอ่น (Lordosis)
ทำให้ปวดบั้นเอวได้ การแก้ไขจัดท่าให้ทุกอิริยาบถให้ถูกต้องตัวตรงไม่หลังงอหรือแอ่นหลัง (เนื่องจาก มดลูกใหญ่ขึ้น น้ำหนัก ของมดลูกจะถ่วงทำให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้า)
การแก้ไขจัดท่าให้ทุกอิริยาบถให้ถูกต้องตัวตรงไม่หลังงอหรือแอ่นหลัง
Diastasis Recti
กล้ามเนื้อ rectus หน้าท้องแยกออกในแนวกลางลำตัว (เนื่องจากไตรมาสที่ 3 มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะดันกล้ามเนื้อหน้าท้องซึ่งวางตัวในแนวนอนให้แยกจากกัน)
1.9 ระบบผิวหนัง (Integumentary system)
Skin Color
บริเวณใบหน้า มีฝ้าขึ้นเป็นรูปผีเสื้อ 2 ข้างของแก้มเรียกว่า Chloasma หรือ mask of Pregnancy, melasma gravidarum
บริเวณหัวนมและลานนมมีสีเข้มขึ้น
บริเวณแนวจากลิ้นปี่ถึงหัวเหน่ามีสีเข้มขึ้น เรียกว่า Linea nigra, vulva และขาหนีบมีสีเข้มขึ้น
Striae gravidarum
รอยแตกของผิวหนังเป็นร่องสีแดง
เป็นทางเกิดขึ้นบริเวณที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น
หน้าท้อง เต้านม ก้นและต้นขาทำให้เกิดอาการคัน
Spider angiomas หรือ vascular spider
เส้นเลือดชั้นใต้ผิวหนังตื้นๆที่ขยายออก มีรูปร่างคล้ายแมงมุม (จากEstrogen) และอาจพบว่าฝ่ามือจะมีสีแดง (Palmar erythema)