Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การพยาบาลทารกแรกเกิด - Coggle Diagram

- - - - น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันมะพร้าว ขณะทำความสะอาดควรสังเกตการหายใจ และสีผิวทารกต่อเนื่อง เปิดเผยร่างกายทารกเท่าที่จำเป็น เพื่อเป็นการป้องกันการสูญเสียความร้อน
    - - ตรวจร่างกายทารกตามระบบ ดังที่กล่าวในข้างต้นหน้า อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า เพื่อประเมินภาวะทารกแรกเกิดที่ต้องการการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เช่น มีการบาดเจ็บจากการคลอด ทารกที่บาดเจ็บจากเครื่องมือ (mechanism trauma) และจากภาวะขาดออกซิเจน (anoxia trauma) ที่เกิดขึ้นกับทารกแรกเกิดระหว่างการคลอดและการทำคลอด เป็นต้น
      - 2 . วัดรอบศีรษะ รอบอก ความยาว และชั่งน้ำหนัก ว่าสัมพันธ์กับอายุครรภ์เมื่อคลอดหรือไม่
      - 3 วัดอุณหภูมิร่างกายแรกคลอด โดยหล่อลื่นเครื่องวัดอุณหภูมิประมาณ 1 นิ้ว ก่อนสอดเข้ารูทวารประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร นาน 3 นาที ขณะวัดห่อตัวทารกให้ความอุ่น ถ้าต่ำกว่า 36.5 องศาเซลเซียส ต้องให้ความอบอุ่นตลอดเวลาถ้าทารกได้รับการดูแลป้องกันการสูญเสียความร้อนกย่างเหมาะสมทารกจะมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 4 ชั่วโมงหลังคลอด
    - - 1 . ทำความสะอาดตา โดยหยอดตาด้วย 1% Silver nitrate ข้างละ 1 หยด แล้วเช็ดด้วย normal saline เพื่อป้องกันตาอักเสบ หรือป้ายตาด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น Terramycin ointment
      - 2 . ทำความสะอาดสะดืออีกครั้ง โดยเช็ดด้วย 0.5% Tr. Iodine in 70% Alcohol หรือ Providine และทำการตรวจสายสะดืออีกครั้งว่าผูกแน่นหรือไม่เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการมีเลือดออก
    - - 1 . นำบุตรมาอยู่กับมารดา ไม่ควรแยกบุตรจากมารดาโดยไม่มีเหตุผลจำเป็น
      - นำทารกแรกเกิดมาดูดนมมารดา โดยใช้หลัก “ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี”
      - 3 . แนะนำให้มารดากอดรัด สัมผัสทารกเป็นการแสดงสัมพันธภาพที่ดีต่อกันและยังเป็นการป้องกันการสูญเสียความร้อนจากตัวทารก และทารกจะมีการผ่อนคลายเมื่อได้รับไออุ่นจากมารดา
      - หาคำพูดชมเชยทารกให้มารดาฟัง เพื่อให้มารดาเกิดความสนใจเฉพาะที่ในรายละเอียดของตัวเด็กมากยิ่งขึ้น เช่น ชี้ให้เห็นลักษณะเด่นของทารก เป็นต้น
      - พยาบาลควรอยู่ด้วยกับมารดา เพื่อช่วยในการส่งเสริมสัมพันธภาพ เช่น ช่วยในการเปิดผ้าเด็กออก ช่วยประคับประคองให้เกิดความคุ้นเคยกัน
      - พยาบาลจะต้องประเมินสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
- - - - ภาวะที่ทารกถูกกดการหายใจเล็กน้อย (mild asphyxia) มีคะแนนรวม 5 –7 ทารกกลุ่มนี้ มีอาการขาดออกซิเจน (cyanosis) เล็กน้อย หายใจตื้นๆหรือไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อ อ่อนแรง อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า100 ครั้ง/นาที ให้การช่วยเหลือตามอาการ เช่น การช่วยให้หายใจได้สะดวกโดยการดูดเมือก น้ำคร่ำ ออกจากปากและจมูก
      - ภาวะที่ทารกถูกกดการหายใจปานกลาง (moderate asphyxia) มีคะแนนรวมได้ 3 – 4 ทารกกลุ่มนี้จะมีอาการขาดออกซิเจน (cyanosis) เต็มที่ ร่างกายมีความเป็นกรด ความสามารถในการหายใจอ่อนมาก กล้ามเนื้อ อ่อนแรงมาก มี reflex irritability น้อย อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100 ครั้ง/นาที ต้องให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอนการกู้ชีพทารกแรกเกิด
      - ภาวะปกติ (no asphyxia) มีคะแนนรวม 8–10 ดูแลให้ความอบอุ่นและสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
      - ภาวะที่ทารกถูกกดการหายใจรุนแรง (severe asphyxia) มีคะแนนรวมได้
        0 – 2 ทารกกลุ่มนี้จะมีอาการขาดออกซิเจน (cyanosis) และตัวเขียวคล้ำอย่างมาก ร่างกายมีความเป็นกรดสูง ไม่มีความสามารถในการหายใจหรือหายใจเป็นเฮือกๆ (gasping) ไม่มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ตัวอ่อนปวกเปียก ไม่มี reflex irritability หัวใจเต้นช้ามากหรือไม่เต้น ต้องให้การกู้ชีพโดยด่วน
      - ภาวะการขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        3.เตรียมอุปกรณ์การช่วยเหลือทารกให้พร้อม
        
        2.ดูแลมารดาให้ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอตั้งแต่ก่อนคลอดทารก
        
        ควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ
        
        1.ดูแลมารดาที่มีภาวะเสี่ยงอย่างใกล้ชิด และรายงานแพทย์เพื่อให้ได้รับ
        การรักษาแต่เนิ่น ๆ
        
        9.ดูแลให้ได้รับการรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        8.ดูแลให้กำลังใจมารดาเพื่อลดภาวะเครียดลง
        
        7.ควบคุมการให้สารน้ำเข้าหลอดเลือดดำเพื่อป้องกันสมองบวมมากขึ้น
        
        ให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอ และทำการช่วยกู้ชีวิต (Resuscitation)
        
        อธิบายและให้ข้อมูลในการปฏิบัติตนที่ลดภาวะแทรกซ้อน
  - - - ก่อนตรวจต้องคำนึงถึงความอบอุ่น ความสะอาดของมือผู้ตรวจและอุปกรณ์การตรวจ รวมถึงแสงสว่าง ต้องตรวจภายใต้เครื่องให้รังสีความอบอุ่น (radiant warmer)
        
        การเต้นของหัวใจ ประเมินโดยใช้ stethoscope ฟังบริเวณหน้าอกข้างซ้าย เพื่อนับอัตราการเต้นของหัวใจปกติประมาณ 120 – 160 ครั้ง/นาที ในทารกแรกเกิดปกติอาจฟังได้ยินเสียง murmur
        
        การหายใจ ต้องดูเป็นอันดับแรกว่าหายใจปกติหรือไม่ ปกติโดยทั่วไปทารกจะหายใจภายใน 2 – 3 วินาที หลังเกิด การหายใจต้องสม่ำเสมอไม่เกิน 60 ครั้ง/นาที เฉลี่ย 40 ครั้ง/นาที
        
        สะดือ (cord) ดูสภาพทั่วไป สีและเส้นเลือดของสายสะดือ ลักษณะสายสะดือปกติควรจะเป็นสีขาวอมฟ้าประกอบด้วยเส้นเลือด 3 เส้น คือ เส้นเลือดดำ (vein) 1 เส้น อยู่ข้างบนขนาดใหญ่ และเส้นเลือดแดง (artery) 2 เส้นอยู่ข้างล่างซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
    - - 1.อาการเขียวเฉพาะมือปลายเท้า (peripheral cyanosis or acrocyanosis)
      - 3.ผิวหนังแดงครึ่งซีกและขาวครึ่งซีก (harlequin colour change) พบได้น้อย
      - 2.ผิวหนังลายหรือเป็นจ้ำสีขาวซีดสลับกับสีคล้ำ (marble skin or
        cutis marmorata)
      - 4.ผิวหนังซีด (pallor) พบในทารกที่เสียเลือดมาก มีภาวะขาดออกชิเจนรุนแรง ช็อกติดเชื้อ
      - 5.ตัวเหลือง (jaundice) ปกติจะไม่พบภาวะตัวเหลืองเมื่อแรกเกิด หากพบต้องสืบค้นสาเหตุและให้การรักษา ประมาณครึ่งหนึ่งของทารกแรกเกิดจะมีภาวะเหลืองตามสรีรภาพ (Physiological jaundice)
      - 6.บวม (edema) อาจพบได้บริเวณตา หลังมือ ขา เท้า และบริเวณที่เป็นส่วนนำของการคลอดอาจเป็นอยู่หลายวัน และหายไปเอง
      - 7.จุดเลือดออก (petechia) เกิดจากมีเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อในครรภ์มารดา เช่น Rubella, CMV เป็นต้น
      - จ้ำเขียว (ecchymosis) ส่วนใหญ่จะพบในทารกที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการคลอดที่ลำบากหรือในทารกที่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรง
      - ผิวหนังลอก (desquamation of the skin) มักพบในทารกที่คลอดเกินกำหนด
      - ปานเขียว (mongolian spots) พบได้เสมอในเด็กไทย ชาวเอเชีย และยุโรปตะวันตก ผิวหนังจะมีลักษณะสีน้ำเงินปนเทา เนื่องจากมีเม็ดสี (pigment cell) ในชั้นใต้ผิวหนัง
      - 11.ปานแดง (hemangiomas) เกิดจากการงอกขยายของเส้นโลหิตฝอยใต้ผิวหนัง
      - ตุ่มนูนสีขาว (milia) เป็นตุ่มนูนสีขาวเรียบขนาดเท่าหัวเข็มหมุดพบบริเวณคาง จมูก แก้ม และหน้าผาก เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (Sebaceous gland)
      - ตุ่มพองใสเล็กๆ (miliaria crystallina หรือ sudamina rash ) เป็นตุ่มพองเล็ก ๆ ใส (vesicles ) บนผิวหนังโดยรอบไม่แดง มักพบมากบริเวณหน้าผาก เกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ ( sweat gland ) จะหายได้เอง
      - 14.ผื่นสีชมพู (erythema toxicum หรือ urticaria neonatorum ) เป็นผื่นสีชมพู ขนาด 1 – 2 ซม. ตรงกลางผื่นมีตุ่มนูนสีนวลขนาดเท่าหัวเข็มหมุดกระจายไปทั่วร่างกาย
      - ผิวหนังที่ความยืดหยุ่นและตึงตัวดี (elasticity) หรือ ผิวเหี่ยว(turgor) ตามปกติผิวหนังจะต้องมีความยืดหยุ่นและตึงตัวดี ถ้ามีภาวะการขาดน้ำความยืดหยุ่นและตึงตัวของผิวหนังจะผิดปกติ
    - - 1.Suture คือ รอยประสานของกระดูกกะโหลกศีรษะ ตรวจดูว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและปกติหรือไม่
      - 3. Caput succedaneum เกิดจากมีน้ำคั่งอยู่ในชั้นเยื่ออ่อนของหนังศีรษะ(scalp) มีลักษณะกดแล้วบุ๋ม (Pitting edema) เกิดจากศีรษะไปกดบริเวณปากมดลูกเป็นเวลานานในระหว่างการคลอดหายได้เองภายใน 2 – 3 วันหลังเกิด
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        ป้องกันการติดเชื้อโดยรักษาความสะอาด ถ้ามีเลือดเกรอะกรังให้สระผมด้วยสบู่อ่อนๆเพื่อ ให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
        
        3.ถ้าบริเวณนั้นมีแผลถลอก ให้โกนผมรอบๆแผล ล้างด้วย NSS 0.9 % ใช้สำลี sterile เช็ดทำความสะอาดให้แห้งแล้วทา Previdine บางๆ
        
        ให้ข้อมูลแก่มารดาเพื่อลดความวิตกกังวลและการดูแลสังเกตก้อนโนดังนี้
        
        2) อธิบายให้มารดาของทารกเข้าใจเกี่ยวกับก้อนโนและสุขภาพของทารก
        
        1) เปิดโอกาสให้มารดาซักถาม
        
        3) บอกวิธีการสังเกตและดูแลและอาการนี้ไม่มีอันตรายจะค่อยๆ หายไปได้เองภายใน 2-3 วัน
        
        จับต้องบริเวณศีรษะเบาๆ และนุ่มนวล
      - 2. Molding คือ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของศีรษะทารกการเกยกันของกระดูกกะโหลกศีรษะ (overriding of skull )นั้นจะเกยกันได้ไม่เกิน 1 ซม. มีผลทำให้ศีรษะทารกมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามท่าที่ศีรษะทารกลงมา พบได้ในรายที่มีการคลอดยาวนานโดยเฉพาะครรภ์แรก molding นี้จะหายไปภายใน 2 – 3 วัน
      - 4. Cephal hematomaคือ การบวมในชั้นใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ (Periosteum) เกิดจากการเสียดสีระหว่างกะโหลกศีรษะของเด็กและเชิงกรานของมารดา ทำให้มีการฉีกขาดในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ เลือดจะออกช้า ๆ ปรากฏให้เห็นภายใน 48 ชั่วโมง หลังคลอด มีขอบเขตชัดเจนไม่ข้ามแนว suture และจะยุบหายได้เองภายใน 1 – 2 เดือน
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        จับต้องบริเวณศีรษะเบาๆ และนุ่มนวล
        
        ให้ข้อมูลแก่มารดาเพื่อลดความวิตกกังวลและการดูแลสังเกตก้อนโนดังนี้
        
        เปิดโอกาสให้มารดาซักถาม
        
        อธิบายให้มารดาของทารกเข้าใจเกี่ยวกับก้อนโน และสุขภาพของทารกและบอกวิธีการสังเกตและดูแล และอาการนี้ไม่มีอันตรายจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 3 เดือน
        
        จัดให้ทารกนอนทับข้างที่เป็น เพื่อห้ามเลือด (stop bleeding)
      - 5. Subgalial hematoma เลือดออกใต้พังพืดของกะโหลกศีรษะ เป็นภาวะที่มีเลือดสะสมใต้ช่องว่างที่อยู่ระหว่างพังผืดของกะโหลก (galea aponeurotica) กับเยื่อหุ้มกะโหลก
        (periosteum) ภาวะนี้พบบ่อยในทารกที่คลอดด้วยคีม หรือ เครื่องดูด
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        1) จับต้องบริเวณศีรษะเบาๆ และนุ่มนวล
        
        2) จัดให้ทารกนอนทับข้างที่เป็น เพื่อห้ามเลือด (stop bleeding)
        
        6)อธิบายให้มารดาของทารกเข้าใจเกี่ยวกับก้อนโน และสุขภาพของทารกบอกวิธีการสังเกตและดูแล และอาการนี้ไม่มีอันตรายจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 3 เดือน
        
        5) ให้ข้อมูลแก่มารดาและญาติ ที่มาเยี่ยมเพื่อการดูแลที่ถูกต้อง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
        
        4) ป้องกันการติดเชื้อ และ สังเกตอาการทารก ถ้ามีไข้ ซึม ไม่ดูดนม จะแสดงถึงอาการติดเชื้อ ต้องรายงานแพทย์ และดูแลให้ได้รับยา Antibiotics ตามแผนการรักษา
        
        3) ให้ข้อมูลแก่มารดาในการดูแลและสังเกตก้อนโนนี้
      - 6. หนังศีรษะหรือใบหน้าเป็นรอยแดง (erythema) เม็ดพอง (bleb) แผลถลอก (abrasion) หรือการตายเฉพาะที่ของไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat necrosis) สาเหตุของภาวะเหล่านี้เกิดจากการคลอดโดยใช้เครื่องดูดหรือใช้คีม
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        2) รักษาความสะอาด ถ้ามีเลือดเกรอะกรังให้สระผมด้วยสบู่อ่อนๆ ให้สะอาดและแห้ง
        
        1) จับต้องบริเวณศีรษะเบาๆ และนุ่มนวล
        
        3) ถ้าบริเวณนั้นมีแผลถลอกก็ให้โกนผมรอบๆ แผล ล้างด้วย NSS 0.9 % ใช้สำลี sterile เช็ดทำความสะอาดให้แห้ง แล้วทา Previdine บางๆ
        
        4) อธิบายให้พ่อแม่ของทารกเข้าใจเพื่อคลายความวิตกกังวลว่าอาการนี้จะค่อย ๆ หายไปได้เอง
      - 7. Anterior fontanel ขม่อมหน้า หรือ ขม่อมใหญ่ คลำได้เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเส้นผ่าศูนย์กลางด้าน coronal suture กว้างประมาณ 2.5 ซม. วัดด้าน saggital suture กว้างประมาณ 4 – 6 ซม. หรือ มีขนาด 3x4 ซม. คลำดูจะพบว่ามีการเต้น (pulsation) อัตราเร็วเท่าชีพจรของทารก ขม่อมหน้าจะปิดเมื่ออายุ 12 – 18 เดือนทารกที่เป็น hydrocephalus ศีรษะจะ มีขนาดโตมากเมื่อเทียบกับลำตัว หน้าผากจะโปนเด่นกว่าปกติ หนังศีรษะบางใสเป็นมัน เห็นหลอดเลือด ดำบริเวณหนังศีรษะมีขนาดใหญ่ผิดปกติชัดเจน กระหม่อมจะใหญ่และตึงมากกว่าปกติ รอยประสานต่างๆ ของกระดูกกะโหลกจะแยกกว้างด้วย
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        ทารกมีความดันในกะโหลกศีรษะสูง ให้จัดทารกนอนในท่าศีรษะสูงกว่าปลายเท้าประมาณ 30 – 45 องศา ถ้ากระหม่อมบุ๋มจากการขาดน้ำก็ให้ดื่มนมให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย แล้วรายงานแพทย์ เพื่อจะได้ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
      - 8. Posterior fontanel ขม่อมหลัง หรือขม่อมน้อย คลำได้เป็นรูปสามเหลี่ยมกว้างประมาณ 1 – 2 ซม. และปิดเมื่อทารกอายุ 6 – 8 สัปดาห์
      - 9 . Skull fracture กระดูกกะโหลกศีรษะแตก แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดกะโหลกศีรษะร้าว (linear fracture) และชนิดกะโหลกศีรษะยุบ (depressed fracture) ซึ่งพบได้บ่อยที่กระดูก frontal และ parietal เกิดจากการได้รับความกระทบกระเทือนจากการคลอด โดยเฉพาะการทำคลอดด้วยคีม (forceps delivery) หรือเกิดอุบัติต่อศีรษะทารกลักษณะของการแตกอาจเป็นรอยร้าวหรือแตกแล้วยุบกดเนื้อสมอง (depressed fracture)
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        1) สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดแล้วรายงานแพทย์ให้ทราบ จัดทำ Chart record และให้ Absolute bed rest ไม่รบกวนทารกโดยไม่จำเป็น ทำการพยาบาลอย่างนุ่มนวล เด็กที่กะโหลกศีรษะยุบ อาจต้องเตรียมเพื่อการผ่าตัดไว้ให้พร้อม หากกะโหลกศีรษะร้าว และไม่มีอาการใด ๆ ไม่ต้องรักษา แต่ถ้าเป็นศีรษะยุบอาจเกิดอันตรายต่อสมองต้องทำการรักษาโดยยกกระดูกที่กดเนื้อสมองออก
        
        2) ให้ข้อมูลแก่มารดาเพื่อลดความวิตกกังวลและสามารถปฏิบัติการดูแลทารกได้ถูกต้อง
      - 10. เลือดออกภายในสมอง (intracranial hemorrhage) เลือดออกภายในสมองเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายที่สุดที่พบในทารกแรกเกิด อาจเกิดจาก trauma การคลอดยาก ทารกมีขนาดใหญ่กว่าเชิงกราน (CPD) การคลอดท่าก้นที่ยาวนาน การคลอดเร็ว (precipitate labor) หรือการใช้เครื่องมือช่วยคลอด
        
        อาการสำคัญ
        
        -การหายใจผิดปกติ (abnormal respiration) เช่น การหยุดหายใจ (apnea)
        
        -ร้องเสียงแหลม (high pitch cry)
        
        -ทารกซึม (lethargy)
        
        -ขม่อมโปงตึง (tense fontanelle)
        
        -กล้ามเนื้อมีความตึงตัวไม่ดี (poor muscle tone)
        
        -ชัก (convulsion)
        
        -ไม่พบ Moro Reflex (absent Moro reflex)
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        ทารกที่มีเลือดออกในสมองจะต้องให้การดูแลเฉพาะอย่างใกล้ชิดต้องจัดส่งให้ได้รับการดูแลใน Intensive Care unit โดยเร็ว หลังจากการช่วยเหลือเบื้องต้นตามอาการจากห้องคลอดแล้ว
    - - 1.ตรวจรูม่านตา (Pupil) ถ้าพบว่าเป็นสีขาวสะท้อนออกมาจากด้านหลังรูม่านตาแสดงว่ามีเลนส์ตาขุ่น อาจเกิดจาก congenital cataract และ congenital rubella ได้
      - 2. ตาดำ ทารกแรกเกิดจะค่อนข้างโต เวลามองตรงๆจะเห็นตาดำมารวมกันตรงกลางคล้ายตาเหล่ (crossed eye)ได้ เนื่องจากในเดือนแรกๆนี้การควบคุมการเคลื่อนไหวของตาโดยกล้ามเนื้อ ตายังไม่ดีนัก และอาจจะตรวจพบตากระตุก (nystagmus) ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ
      - 3. เลือดออกบริเวณใต้เยื่อบุตาขาว (Subconjunctival and retinal hemorrhage) เกิดจากการมีความดันภายในทรวงอกเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ขณะทรวงอกของทารกผ่านหนทางคลอด หรือการที่หนทางคลอดมีการบีบรัดศีรษะ ทำให้เส้นเลือดฝอยแตก หรือเกิดจากศีรษะของทารกถูกกดอยู่นานในระยะคลอดทำให้เลือดดำไหลกลับไม่ดีอาการนี้ไม่มีอันตรายไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ เลือดจะถูกดูดซึม และหายได้เองในเวลา 1 - 2 สัปดาห์
      - แนวทางการพยาบาล
        
        1) ให้นวดข้างจมูก น้ำตาก็จะไหลได้ ถ้าทิ้งไว้จะมีการอักเสบและมีการอุดตันถาวรได้
        
        2) ถ้าตาบวมแดงมี dischargeสีขาวอาจเกิดจากการระคายเคืองของ Silver Nitrate ได้ การพยาบาลให้ใช้สำลีชุบ 3% boric acid หมาด ๆ เช็ดตา โดยเอาสันมือทาบข้างๆหน้าทารกเช็ดจากหัวตาไปหางตา ซึ่งอาการนี้จะหายไปภายใน 48 ชม. ถ้ายังมี discharge ออกมาสีเหลืองข้น ตาบวมแดงมากขึ้นให้ ให้นึกถึงการติดเชื้อ Gonococcal Ophthalmia ต้องรายงานแพทย์ เพื่อจะได้ส่ง discharge ตรวจและให้การรักษาต่อไป
    - - ตรวจดูรูปร่างและขนาดของจมูก แรกเกิดจมูกของทารกจะแบนและอาจพบมีมูกสีขาวในรูจมูกได้ ทารกแรกเกิดจะหายใจทางจมูกทางเดียว ยังไม่สามารถหายใจทางปากได้ ดังนั้นถ้ารูจมูกอุดตันจะทำให้เกิดภาวะ Respiratory distress ได้ การอุดตันอาจเกิดจากมีน้ำมูกออกมามากและไม่ได้ดูดออก หรือจาก ภาวะรูจมูกปิดตัน (choanal atresia) ทารกที่มีอาการเขียวทันทีหลังเกิด
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        1) ถ้าพบว่าจมูกมี secretion มากต้องดูดออกให้ด้วยความนุ่มนวล และต้องดูด้วยว่าที่ปาก ทารกมีเสมหะด้วยหรือไม่ ถ้ามีจะต้องดูดเสมหะที่ปากก่อนจึงดูดที่จมูกเพื่อป้องกันการสำลัก ถ้าพบว่าขณะหายใจทารกมีปีกจมูกบานบ่งบอกว่าได้รับออกชิเจนไม่เพียงพอ
        
        2) ต้องสังเกตด้วยว่ามีอาการเขียวร่วมด้วยหรือไม่ ถ้าพบต้องให้ออกวิเจน รีบรายงานแพทย์ เพื่อให้การช่วยเหลือทารกอย่างทันท่วงทีต่อไป
    - - ต้องตรวจดูรูปร่างที่ตั้ง และการได้ยินว่าปกติหรือไม่ ตามปกติขอบบนของใบหูจะอยู่ระดับเดียวกับหางตา ถ้าพบว่าใบหูตั้งอยู่ต่ำกว่าหางตา ( low set ears) จะต้องตรวจดูความผิดปกติอย่างอื่นว่ามีภาวะ Down’s syndrome หรือไม่ สำหรับการตรวจดูการได้ยินของทารก ทำได้โดยการทำเสียงแหลมดังใกล้ๆ ศีรษะของทารก ทารกจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ (startle reflex) โดยมีการ กระพริบตา
    - - ทารกแรกเกิดอาจมีอาการหน้าบวมคล้ำ (congestion of face) เกิดจาก cervical clamp และจะหายได้เอง ไม่ต้องรักษา
        
        การสังเกตใบหน้าทารก
        
        1 . Mouth สังเกตดูรูปร่าง ขนาด การเคลื่อนไหวของปาก ดูตำแหน่งของริมฝีปากขวาและซ้ายเปรียบเทียบกัน ดูว่ามีบวม ซีด เขียว หรือไม่ สังเกตดูริมฝีปาก และ mucous membrane ควร มีสีชมพูและชุ่มชื้นอยู่เสมอ
        
        2 . Gum cyst ลักษณะคล้ายเนื้องอกของเหงือก ถ้าพบต้องคลำดูเพราะอาจมีฟันอยู่ข้างในถ้าพบว่าฟันที่อยู่ข้างในมักมีลักษณะโยกคลอนได้ต้องรายงานแพทย์เพื่อถอนออก ป้องกันการหลุดพลัดลงหลอดลม
        
        3. Neonatal teeth เป็นฟันที่โผล่ออกมาตั้งแต่เกิด ซึ่งมักจะเป็นฟันหน้า (Lower incisor) ถ้าฟันนี้เป็นฟันชุดพิเศษเรียกว่า suppernumerally teeth มักจะโยกเพราะมีรากฟันซึ่งแยกจากฟันน้ำนมโดยการ x – ray ดูรากฟัน
        
        4.Sucking blister เป็นเม็ดพองๆ ที่ริมฝีปากของทารก มักพบในทารกที่ดูดนมมารดา และจะหลุดลอกหายไปเองโดยไม่ทำให้ทารกเจ็บปวด
        
        5. Epstein’s pearl (epithelial pearl) เป็นจุดขาวเล็กๆ ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด พบได้บริเวณเหงือก หรือแนวกลางเพดานปาก ชาวบ้านมักเรียกว่า “หละ” อาจพบจุดเดียวหรือ 2 – 3 จุด หรือพบจำนวนมากๆหายได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์
        
        6.Thrush (oral moniliasis ) เป็นการติดเชื้อราในช่องปากทารก จะเห็นเป็นแผ่นสีขาวมีรอยแดงอยู่รอบๆ บนเยื่อบุภายในช่องปาก เช็ดออกได้ยาก การติดเชื้อรานี้ทารกมักได้รับขณะคลอดผ่านช่องคลอดของมารดาที่มีการติดเชื้อรา รักษาได้โดยใช้ 1% Gentien violet หรือ Nystatin ถ้าไม่รักษาอาจทำให้ทารกเจ็บปากและไม่ดูดนม
        
        7. Tongue-tie เป็นลักษณะของลิ้นทารกที่ frenulum ติดยึดค่อนไปทางปลายลิ้นและถูกรั้งไว้ จะไม่ทำให้เกิดปัญหาในการดูดนมในทารกแรกเกิดแต่อาจจะทำให้เกิดปัญหาในการพูดเมื่อทารกโตขึ้น
        
        8 . Cleft lip และ Cleft palate หรือ ปากแหว่ง เพดานโหว่ อาจทำให้ทารกมีปัญหาในการดูดนมครั้งแรก ๆ
        
        Facial nerve palsy เป็นอาการอัมพาตชั่วคราวของเส้นประสาทที่มาควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เกิดเนื่องจากเส้นประสาทที่ควบคุมความรู้สึกของใบหน้า ซึ่งได้แก่เส้นประสาทสมองที่ 7 (facial nerve) พบว่ามุมปากทารกสองข้างไม่เท่ากัน มุมปากจะตก ปากจะเบี้ยวเวลาร้องไห้ และจะขยับเฉพาะข้างที่ไม่เป็น ถ้าให้ดูดนมหรือน้ำจะไหลออกจากมุมปากข้างที่ตก แต่ทารกยังสามารถดูดนมได้ดีอยู่ ตามักจะหลับไม่สนิท หน้าผากไม่สามารถย่นได้ เปลือกตาปิดไม่สนิทหน้าเบี้ยวไปซีกที่ดี หายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมง ถึง 3 สัปดาห์
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        ให้การรักษาพยาบาลตามอาการ เช่น ใช้ยาหยอดตา และปิดตา เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ตรวจเยี่ยมอาการทารกสม่ำเสมอและอธิบายให้พ่อแม่ของทารกเข้าใจถึงอาการของทารกเพื่อให้คลายความวิตกกังวล
        
        10. Recess chin ทารกแรกเกิดที่มีคางเล็กและสั้นผิดปกติ เป็นลักษณะผิดปกติอย่างหนึ่งของกลุ่มอาการ Pierre robin syndrome จะทำให้ลิ้นตกไปข้างหลังรบกวนการหายใจและการกลืนของทารก การช่วยให้ทารกหายใจได้สะดวกทำได้โดยจัดให้ทารกนอนในท่านอนคว่ำ หรือนอนตะแคงขณะให้นมก็ควรจับใบหน้าให้ตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง
        
        11. Tracheo – esophageal fistula การที่มีรูติดต่อระหว่างหลอดลมกับหลอดอาหาร จะตรวจพบว่าทารกมีน้ำลาย หากมีอาการแทรกซ้อนทางปอดจะมีอาการหายใจลำบากต้องผ่าตัดแก้ไข
        
        12.ตรวจ reflex ของใบหน้า เมื่อเขี่ยข้างแก้มทารกจะหันหน้าไปทางที่เขี่ยหรือเขี่ยใกล้ปากทารกจะอ้าปากเรียกว่ามี rooting reflex เมื่อเอานิ้วไปแตะที่ปากทารกจะดูดเรียกว่ามี sucking reflex
    - - เริ่มคลำเบาๆ ตามแนวหลอดลม ทารกแรกเกิดจะมีหลอดลม (Trachia) ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร จะต้องตรง ส่วนบนกว้างกว่าส่วนล่าง
        
        1. Sternomastoid tumur พบเป็นก้อนกลมแข็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. มักคลำได้ตอนทารกอายุ 2 – 3 สัปดาห์ อาจจะเป็น necrosis หรือก้อนเลือดในกล้ามเนื้อ stemomastoid อันเกิดจากการคลอด แล้วมีหินปูนมาจับ
        
        2. Webbing neck เป็นลักษณะของ Turner’s syndrome เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 45 ทารกจะมีลักษณะตัวเตี้ย คอสั้น hair line ต่ำ nipple ห่าง ถ้าเป็นผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะไม่มีประจำเดือน
        
        3 . Enlargement of thyroid ต่อมไทรอยด์โตอาจพบได้ในเด็กเกิดใหม่ซึ่งต้องหาสาเหตุ
        
        4. Short neck ลักษณะคอสั้นอาจพบร่วมกับความผิดปกติของกระดูกสันหลัง (cervical certebral abnormality)
    - - 1. Clavicle fracture ตรวจดูกระดูกไหปลาร้าหักหรือไม่ กระดูกไหปลาร้าหักพบบ่อยที่สุด สาเหตุเกิดจากการคลอดทารกตัวโตแล้วติดไหล่ หรือคลอดไหล่ยากหรือคลอดท่าก้น อาจไม่มีอาการหรืออาการแสดงเลย ถ้าทารกมีการบาดเจ็บที่แขนหรือกระดูกไหปลาร้า มักพบร่วมกับการบาดเจ็บของ brachial Plexus จึงตรวจไม่พบ moro reflex
      - 2. Brachial plexus paralysis หรือ Erb’s paralysis การบาดเจ็บบริเวณกลุ่มประสาท Brachial (Brachial Plexus Injury) ซึ่ง Brachial plexus คือ กลุ่มประสาทที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ คอ
        
        อาการบาดเจ็บแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
        
        1. Erb-Duchenne Paralysis เกิดจากเส้นประสาทไขสันหลังระดับคอที่ 5, 6 (C 5, 6) เสียหน้าที่ไปโดยตรวจพบว่า ต้นแขนตก แขนจะหันเข้าข้างใน (adduction) หัวไหล่หมุนเข้าข้างใน (internal rotation) ข้อศอกเหยียดออก แขนส่วนล่างอยู่ในท่าคว่ำ ข้อมืองอ ทำให้มือแบไปข้างหลัง ตรวจไม่พบ Moro reflex แต่ยังมี Grasping reflex
        
        2. Klumpke Paralysis เกิดจากเส้นประสาทไขสันหลังระดับคอที่ 7, 8 และช่องทรวงอกที่ 1 (C7, 8 และ T1) ได้รับอันตราย การบาดเจ็บชนิดนี้พบได้น้อยมาก อาการแสดงจะพบว่ากล้ามเนื้อมือเป็นอัมพาต ทำให้งอมือและกำมือไม่ได้ Grasp Reflex ของทารกจะหายไป
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        โดยให้คำปรึกษาแก่พ่อแม่ของทารกเพื่อลดความ
        วิตกกังวลแนะนำให้นวดแขนทำ active/passive exercise ในช่วง 3-6 เดือน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจพิจารณาทำผ่าตัด neuroplasty
      - 3. Fracture humerus กระดูกต้นแขนหักในทารกแรกเกิดมักพบในรายที่คลอดติดไหล่ ซึ่งผู้ทำคลอดต้องใส่นิ้วมือเข้าไปช่วยเกี่ยวแขนออกมา ผู้ทำคลอดจะมีความรู้สึกว่ามีการหักและอาจได้ยินเสียงที่หักด้วย
        
        แนวทางการพยาบาล
        
        1) ถ้าเป็นกระดูกหักไม่แยกจากกันไม่ต้องใส่เฝือก แต่ถ้ากระดูกหักแยกจากกันต้องใส่เฝือกชั่วคราว หรือรัดไม่ให้แขนมีการเคลื่อนไหว โดยให้ Bandage รัดแขนติดอกประมาณ 10 วัน เมื่อกระดูกเริ่มติดดี จึงปล่อยให้ทารกเคลื่อนไหวแขนข้างนั้นได้
        
        2) ควรตรึงบริเวณที่หักให้อยู่กับที่ทิ้งไว้ 7-10 วัน เมื่อกระดูกติดกันก็จะเป็นปกติ
      - 4. มือ (hand) ตรวจดูลายฝ่ามือ จำนวนนิ้วครบหรือเกิน ( polydactyly) หรือนิ้วติดกัน (syndactyly) แล้วตรวจดู Grasping reflex โดยใช้นิ้วมือของผู้ตรวจสอบสอดเข้าไปอุ้งมือทารก ทารกจะกำนิ้วมือผู้ตรวจสอบแน่น
    - - ดูทรวงอกอีกครั้งเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของการหายใจ ปกติจะหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลม การหายใจมักไม่สม่ำเสมออาจพบความผิดปกติของการหายใจเกิดขึ้น เช่น ภาวะหายใจลำบากเนื่องจากการอุดตันของท่อทางเดินหายใจ จะพบว่าขณะหายใจเข้ามีเสียงดัง (stridor) ทารกจะมีท่ายืดอก ยกคาง ปีกจมูกบาน suprasternal notch, intercostal space, subcostal margin และ xyphoidstemum จะบุ๋ม อกกับท้องจะเคลื่อนไปด้วยกันในตอนต้นของการหายใจออกจะมีเสียงอัดกระแทก (grunting)
        
        1. Breast engorgement มีลักษณะเป็นไตแข็งบริเวณรอบๆ หัวนม อาจมีสารสีขาวจาง ๆ คล้ายน้ำนมเรียกว่า witch’s milk ไหลออกมา เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกายมักพบประมาณวันที่ 3 หลังเกิดจนถึงหลายสัปดาห์ ห้ามบีบเค้นเต้านมเพราะจะทำให้อักเสบเป็นฝี ภาวะนี้จะหายไปเองภายใน 2 – 4 สัปดาห์
        
        2.Sternum กระดูกหน้าอกตรงเรียบหรือไม่ ลักษณะอกมี 4 ชนิด คือ บุ๋มลง แบนราบ นูนขึ้น โป่งแหลม ลักษณะปกติ คือ กลมนูนเล็กน้อย
    - - การตรวจท้องต้องดูลักษณะทั่วไปก่อน ตามปกติท้องของทารกจะค่อนข้างกลมและยื่นออกมาเล็กน้อย ให้ดูว่าท้องอืดหรือ มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารหรือไม่
        
        การตรวจท้องทารกอาจพบความผิดปกติ ดังนี้
        
        1. Diaphragmatic hernia ทารกมีอาการท้องแฟบ หายใจลำบากเนื่องจาก สำไส้ ตับ ม้ามจะเคลื่อนขึ้นไปเบียดปอด ส่วนมากทารกจะเสียชีวิตภายหลังคลอด
        
        2.Visceral injury การบาดเจ็บของอวัยวะภายในช่องท้องที่พบบ่อยเช่น ตับแตก ม้ามแตก สาเหตุเกิดจากกดบริเวณอวัยวะในช่องท้องระหว่างการทำคลอดศีรษะในท่าก้น ทำให้มีเลือดออกในช่องท้อง ทารกมีอาการซีด ดูดนมไม่ดี หายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว ช็อกและอาจเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับเลือดและการผ่าตัดรักษาอย่างทันท่วงที
    - - ควรตรวจตามขั้นตอนดังนี้
        
        1) จับ Pulse ที่ femoral arteryว่ามีหรือไม่ แรงเท่ากันทั้ง 2ข้างหรือไม่ ถ้าไม่มีทารกอาจมีภาวะ coarctation of aorta stenosis เกิดจากเส้นเลือด aorta ที่มาเลี้ยงร่างกายส่วนล่างตีบ ( stenosis )
        
        2) ตรวจกระดูกต้นขา ถ้ามีกระดูกต้นขาหัก( femoral fracture ) ซึ่งพบได้น้อย สาเหตุเกิดจากทารกตัวโตและคลอดยาก ขาออกมาได้เพียงข้างเดียว อีกข้างหนึ่งยังอยู่ข้างใน ขาข้างกระดูกหักจะเคลื่อนไหวไม่ได้ พบอาการบวม คลำดูจะพบว่ามีรอยหักชัดเจน หรือการมีข้อสะโพกเคลื่อน ( hip dislocation )
        
        ตรวจดูรอยพับของกล้ามเนื้อก้น ( gluteal fold ) ทั้งสองข้าง ว่าเหมือนกันและอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่ ถ้าไม่เท่ากันแสดงว่ามีความผิดปกติ นอกจากนี้ยังตรวจได้อีกวิธีหนึ่งคือ Ortolani’s maneuver จัดให้ทารกนอนราบกับพื้นจับเข่าทั้งสองข้างให้งอขึ้น 90 องศา แล้วจับต้นขาทั้งสองข้างให้ค่อยๆกางออกกดกับที่นอ
        
        3) ดูขาและเท้า อาจพบลักษณะนิ้วเกิน (polydactyly ) นิ้วติดกัน(syndactyly) เท้าปุก(club foot)
        
        ความผิดปกติของเท้าและข้อเท้าที่ผิดรูปไป มี 4 ลักษณะ ดังนี้
        
        ชนิดเท้าบิดเข้าด้านใน ( talipes varus )
        
        เท้าปุกชนิดเท้ากระดกขึ้น หัวแม่เท้ายันกันพื้น ส่วนส้นเท้าลอยสูงกว่าพื้น(talipes equinus)
        
        เท้าปุกชนิดเท้าบิดออกด้านนอก(talipes valgus)
        
        เท้าปุกชนิดเท้ากระดกขึ้น หัวแม่เท้าอยู่สูงกว่าพื้น ส่วนส้นเท้ายันกับพื้น (talipes calcanus)
    - - 1) ทารกเพศหญิง labia majora มักปิด labia minora มิด และ clitoris มีสีคล้ำ บางรายพบว่ามีส่วนของ hymen ยาวยื่นออกมาจาก valva เป็นรูปคล้ายหางเต่าเรียกว่า hymenal tag และอาจจะพบมูกสีเทานวล ๆ (mucoid discharge) ในระยะ 3 – 5 วันหลังเกิด หรือมีเลือด (bloody discharge) ออกมาด้วยคล้ายเลือดประจำเดือนเรียกว่า pseudomenstruation เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ที่เคยได้รับจากมารดาลดระดับลง อาการนี้จะหายไปเองภายใน 2 สัปดาห์
      - 2)ทารกเพศชาย ลูกอัณฑะจะลงมาอยู่ในถุงเมื่ออายุครรภ์ได้ 32 – 34 สัปดาห์ (ขณะอยู่ในครรภ์จะอยู่ในช่องท้อง) ในเด็กเกิดใหม่ประมาณ 98 % ลูกอัณฑะจะลงมาอยู่ในถุงเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือถ้าลูกอัณฑะลงมาอยู่ในช่องทางปกติ และไม่สูงมากก็มักจะลงมาเองภายใน 2 เดือนหลังคลอดภาวะที่ลูกอัณฑะไม่อยู่ในถุงเรียกว่า Undescended testis หรือ Cryptorchism ซึ่งพบมากในทารกคลอดก่อนกำหนด
    - - 2) ดู sacrococcygeal dimple คือรูเปิด เล็กๆ บนแนวกระดูก สันหลังเหนือกระดูกก้นกบ ถ้าพบมีน้ำซึมออกมาต้องรีบรายงานแพทย์ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อตามมาได้
      - 3)ทวารหนัก (Anus) ดูว่ามีรูทวารหนักหรือไม่ โดยใช้ปรอทวัดไข้ทางทวารหนักก่อนตรวจต้องดูกระเปาะว่าชำรุดหรือไม่ แล้วสลัดให้ปรอทลงมาอยู่ต่ำกว่า 35
      - 1) ดูแนวของกระดูกสันหลัง (spine) ว่ามีกระดูกสันหลังโค้ง (kyphosis) กระดูกสันคด (scoliosis) หรือไม่ ถ้าพบต้องรายงานแพทย์ แพทย์อาจพิจารณาใส่เฝือกหรือแล้วแต่กรณี ต่อไปดูว่ามี spina bifida หรือไม่
    - - 1. ชั่งน้ำหนัก และวัดความยาวลำตัว วัดรอบศีรษะ-รอบอก สำหรับเด็กไทยทารกแรกเกิดจะมีน้ำหนักโดยประมาณ 3,200 กรัม ความยาวเฉลี่ย 50 ซม. ขนาดรอบศีรษะ 33-35 ซม. และขนาดรอบอก 31-33 ซม
      - 2. ทำความสะอาดร่างกาย ส่วนที่ไม่สะอาด เช่น รูหู ซอกแขน ซอกคอ ขาหนีบ
        และอวัยวะสืบพันธุ์ ใช้สำลี sterile ชุบน้ำมันมะกอกเช็ดไขที่ติดอยู่ออก ห่อตัวทารกด้วยผ้าอุ่นสวมหมวกไหมพรมเมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้วให้เรียบร้อย และให้วิตามิน เค กับทารกแรกเกิดทุกราย เพื่อป้องกันภาวะเลือดออก
      - 3. การบันทึกสิ่งที่ตรวจพบ การบันทึกสิ่งที่ตรวจพบในครั้งแรกของทารกแรกเกิด เป็นข้อมูลที่สำคัญ ต้องระบุรายละเอียด ลักษณะและกำกับสิ่งที่ตรวจพบตามอายุเป็นชั่วโมงว่าพบเมื่อใด เพราะทารกแรกเกิดมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว แม้การตรวจครั้งแรกจะเป็นปกติก็ตาม จำเป็นต้องเฝ้าระวังและบันทึกพฤติกรรมและการเปลี่ยนที่สำคัญในเวลาต่อมา เช่น การดูดนม การถ่ายปัสสาวะ การถ่ายอุจจาระครั้งแรกว่ามีลักษณะอย่างไร เมื่อใด เป็นต้น และตรวจดูรายละเอียดของสัญญลักษณ์ระหว่างมารดาและทารก และในบันทึกให้ตรงกันอีกครั้ง เช่น ชื่อ สกุล เพศ วัน เดือน ปี เวลาเกิด เป็นต้น
  - - - 2 ) ข้อมูลทางชีวภาพ (biological factors) ได้แก่ อายุของผู้ตั้งครรภ์ ความสูง น้ำหนัก รวมทั้งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลต่อขนาดของทารกในครรภ์
      - 3) นิสัยและแบบแผนการดำเนินชีวิตประจำวัน (habit and daily life style) ได้แก่ การทำงาน การพักผ่อน การรับประทานอาหาร ความชอบ การเสพสิ่งเสพติด การใช้ยาบางชนิด พฤติกรรมสุขภาพประจำวัน ฯลฯ
      - 1)ข้อมูลทางเศรษฐานะและสังคม (socioeconomic factors) ได้แก่ เชื้อชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส อาชีพ ภูมิลำเนา รายได้
    - - 3) ประวัติการตั้งครรภ์ และการคลอดในอดีต เป็นการซักถามการตั้งครรภ์และภาวะผิดปกติในครรภ์ก่อน ๆ ลักษณะการคลอดและความผิดปกติ ภาวะสุขภาพทารกในครรภ์
      - 4) ปัจจัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดในอดีต ได้แก่ จำนวนครั้งของการคลอด ประวัติการมีบุตรยาก การแท้งและตั้งครรภ์นอกมดลูก การตายของทารกในครรภ์หรือในระยะแรกคลอด ฯลฯ
      - 2) ประวัติการตั้งครรภ์ปัจจุบัน รักษา ได้แก่ การฝากครรภ์ การมีเลือดออกก่อนคลอด ท่าทารกผิดปกติ ทารกพิการ ทารกเจริญเติบโตช้า ครรภ์เกินกำหนด ฯลฯ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ สุขภาพของทารกในครรภ์
      - 5) ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตและปัจจุบันของมารดา การซักถามประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ที่เป็นโรคทางพันธุกรรม โรคติดต่อ โรคประจำตัว การรักษา การรับประทานยาที่อาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้แก่โรคหัวใจ เบาหวาน ไต ธัยรอยด์ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ
      - 1) อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล เช่น น้ำเดิน เจ็บครรภ์ หรือทารกไม่ดิ้น เป็นต้น
      - 6) ประวัติการเจ็บป่วยของครอบครัว เป็นการซักถามประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ที่เป็นโรคทางพันธุกรรม โรคติดต่อและการรักษาที่อาจมีผลต่อทารกแรกเกิด