Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การสืบพันธุ์ (Reproduction) - Coggle Diagram
การสืบพันธุ์ (Reproduction)
การสืบแบบไม่อาศัยเพศ ส่วนใหญ่เป็นการแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยแบ่งเซลล์จาก 1 เซลล์ เป็น 2 เซลล์ พบในอะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา และแบคทีเรีย แต่งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดสืบพันธุ์โดย
การแตกหน่อ
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
การสืบพันธุ์ที่ไม่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธ์ุ แต่ใช้เซลล์ร่างกายหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเพิ่มจำนวน สิ่งมีชีวิตตัวใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเหมือนสิ่งมีชีวิตตัวเดิมทุกประการ ไม่มีการแปรผันพันธุกรรม
ขั้นตอนการสืบพันธุ์
-การสืบพันธุ์ของสัตว์ที่มีเพศผู้และเพศเมียแยกกัน
มีการปฏิสนธิระหว่างเซลล์สืบพันธุ์ อาจเกิดขึ้นภายในร่างกายหรือภายนอกร่างกายของสัตว์เพศเมีย
ปลาบางขนิดมีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย โดยปลาเพศผู้และเพศเมียจะปล่อยเซลล์สืบพันธุ์จำนวนมากลงในน้ำเพื่อให้เซลล์มีโอกาสพบกันและเกิดการปฏิสนธิ เช่น ปลากัด ปลาแซมอน
การสืบพันธุ์ของมุนษย์
มนุษย์มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและมีการปฏิสนธิภายในร่างกาย เพศผู้จะสร้าง "สเปิร์ม" เพศเมียจะสร้าง "เซลล์ไข่" เมื่อสเปิร์มเข้าผสมกับเซลล์ไข่ในร่างกายเพศเมียจะเกิดการปฏิสนธิไดเป็นไซโกต (zygote) ตะแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนและัฒนาตัวอ่อน
อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชาย
สเปิร์ม
แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนลำตัว และส่วนหาง
กระบวนการสร้างสเปิร์ม (spermatogenesis)
เกิดขึ้นภายนในผนังของหลอดสร้างสเปิร์มซึ่งอยู่ในอัณฑะ เริ่มจากเซลล์เริ่มต้นที่เรียกว่า primary spermatocyte; 2n ที่เป็นเนื้อเยื่อเจริญในอัณฑะ เซลล์นี้เพิ่มจำนวนตัวเองโดยการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เมื่อเซลล์นี้มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จะได้เซลล์ที่เป็นแฮพลอยด์ เรียกว่า secondary spermatocyte เมื่อเซลล์นี้แบ่งเซลล์ต่อจนเสร็จสิ้นไมโอซิส จะได้สเปิร์มเริ่มต้น (developing sperm cell) ซึ่งจะพัฒนาต่อไปจนได้สเปิร์มที่สมบูรณ์
สเปิร์มที่ร่างกายผลิตขึ้นจะถูกส่งไปเก็บไว้ในหลอดเก็บสเปิร์มซึ่งอยู่ในอัณฑะ เพื่อให้เซลล์เจริญเติบโตเต็มที่ การหลั่งน้ำอสุจิในแต่ละครั้งจะมีของเหลวออกประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร จะมีสเปิร์มประมาณ 350-500 ล้านเซลล์ สเปิร์มกับอสุจิจะแตกต่างกันตามความสมบูรณ์ของร่างกาย สเปิร์มจะหลั่งออกมาประมาณ 1-3 มิลลิเมตรต่อวินาที และใช้ชีวิตอยู่นอกร่างกยได้ประมาณ 2-3 ชม. แต่มีชีวิตอยู่ในมดลูกได้ 24-28 ชม.
การสืบพันธุ์ของสัตว์แบบไม่อาศัยเพศ
1.) การงอกใหม่ (regeneration) เป็นการสร้างส่วนของร่างกายที่ขาดหายไป เมื่อร่างกายถูกตัดออกเป็นส่วนๆ แตัละส่วนสามารถงอกเป็นสื่งมีชีวิตตัวใหม่ได้หรือเพิ่มตัวใหม่ ขบใน พลานาเรีย ไส้เดือน ดาวทะเล และปลิงน้ำจืด
2.) การแตกหน่อ (budding) เป็นการสืบพันธุ์สิ่งมีชีวิตใหม่เจริญออกมาภายนอกของตัวเดิม เรียกว่า หน่อ ซึ่งจะเจริญจนกระทั่งได้เป็นตัวใหม่ ซึ่งมีลักษณะเหมือนตัวแม่ แต่ขนาดเล็กกว่า ต่อมาจะหลุดออกจากตัวเดิมและเติบโตต่อไป หรืออาจติดกับตัวเดิมก็ได้ พบในสัตว์พวกฟองน้ำ ไฮดรา
3.) การหักเป็นท่อน (fragmentation) เป็ฯการสืบพันธุ์ที่เกิดขึ้นโดยส่วนของร่างกายหลุดออกเป็นท่อนๆ หรือเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนแบ่งตัวแบบ Mitotic cell division ได้เซลล์ใหม่ที่ต่อกันเป็นเส้นสายสามารถเจริญเติบโตเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ พบใน หนอนตัวแบน สาหร่ายทะเล และสาหร่ายไฟ
4.) พาร์ทีโนเจเนซิส (parthenogenesis) เป็นการสืบพันธุ์ของแมลงบางชนิด เช่น ตั๊กแตนกิ่งไม้ เพลี้ย ซึ่งตัวเมียสามารถผลิตไข่ที่ฟักเป็นตัวได้โดยไม่ต้องมีการปฏิสนธิในสภาวะปกติไข่ของสัตว์ดังกล่าวจะฟักออกมาเป็นตัวเมียเสมอ แต่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต เช่น เกิดความแห้งแล้งหนาวเย็น หรือขาดแคลนอาหาร
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของสัตว์
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศในสัตว์จะมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเพศเมียจะสร้างเซลล์ไข่ ส่วนเพศผู้จะสร้างอสุจิ เมื่อนิวเคลียสของไข่และอสุจิมารวมกัน เรียกว่า การปฏิสนธิ (fertilizytion) จะได้เซลล์ๆ เดียวที่เรียกว่า ไซโกต จะเจริญเติบโตเป็นเอ็มบริโอและตัวเต็มวัยที่สามารถสืบพันธุ์เพิ่ม จำนวนประชากรต่อไปได้
1.) การสืบพันธุ์ของสัตว์ที่มี 2 เพศในตัวเดียวกันหรือกระเทย
สัตว์บางชนิดมีอวัยวะเพศ 2 เพศ ในตัวเดียวกัน โดยทั่วไปไม่สามารถผสมในตัวเองได้ ต้องผสมข้ามตัวเพราะไข่และอสุจิ เจริญไม่พร้อมกัน เช่น พลานาเรีย ไส้เดือนดิน
แมลง
เป็นสัตว์แยกเพศมีการปฏิสนธิภายใน โดยแมลงเพศผู้จะผลิตอสุจิ จากอัณฑะออกมาเก็บไว้ที่ถุงเก็บอสุจิ เมื่อมีการผสมพันธุ์กับเพศเมีย จะมีการหลั่งอสุจิออกมาทางองคชาต (penis) เข้าสู่ระบบสืบพันธุ์ของเพศเมีย อสุจิที่หลั่งออกมาจะผ่านช่องคลอด (vagina) ของเพศเมียไปผสมกับเซลล์ไข่ที่ผลิตจากรังไข่ตรงบริเวณท่อนำไข่ แมลงเพศเมียบางชนิดจะมีสเปอร์มาทีกา (spermatheca)
ขั้นตอนการสืบพันธุ์
อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
กระบวนการสร้างเซลล์ไข่
เกิดภายในรังไข่เริ่มจากกลุ่มเซลล์ในรังไข่ ที่เรียกว่า ไพรมอร์เดียล เจอร์มเซลล์ (primordial germ cell) มีการแบ่งตัวแบบ mitosis หลายครั้ง จนได้เซลล์จำนวนมาก เรียกว่า โอโอโกเนียม(oogonium หรือ oogonia) ต่อมาเซลล์จะมีการจำลองโครโมโซม และ DNA ขึ้นอีกเท่าตัว ขยายขนาดใหญ่ขึ้น และพร้อมที่จะแบ่งเซลล์แบบ meiosis เรียกว่า ไพรมารีโอโอไซต์ (primary oocyte) หรือ โอโอไซต์ขั้นที่ 1 ต่อมาจะแบ่งเซลล์แบบ meiosis 1 ได้เซกันดารีโอโอไซต์ (secondary oocyte) ซึ่งมีขนาดใหญ่และโพลาร์บอดีขั้นที่ 1 (first polar body) ซึ่งมีนาดเล็ก และจะมีการแบ่งเซลล์แบบ meiosis 2 (เมื่อถูกปฏิสนธิ) เซลล์ขนาดใหญ่ 1 เซลล์ เรียกว่า โอโอติด (ootid) ซึ่งจะเจริญต่อไปเป็นไข่ (ovum) ส่วนเซลล์ขนาดเล็ก 3 เซลล์ เรียกว่า เซกันดารีโพลาร์บอดี (secondary polar body) ต่อมาจะสลายไป
ทางเดินไข่
การปฏิสนธิและการตั้งครรภ์
เริ่มจากการปฏิสนธิระหว่างเซลล์อสุจิของเพศชาย และเซลล์ไข่ของเพศหญิง กลายเป็นไซโกต เพศหญิงเริ่มมีการตั้งครรภ์ โดยไซโกตมีการแบ่งตัว และพัฒนาเติบโตต่อไปกลายเป็นทารกในที่สุด โดยปกติแล้ว การตั้งครรภ์จะให้ทารกเพียงแค่คนเดียว แต่บางครรภ์นั้นก็อาจให้ฝาแฝดได้
ผนังมดลูก
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น
1.)ชั้นเพอริมีเทรียม (perimetrium)
เนื้อเยื้อนอกสุด อยู่ติดกับผนังเยื่อบุช่องท้อง ทำหน้าที่ยึดมดลูกให้อยู่ในช่องท้องติดกับอวัยวะอื่นๆ
2.)ชั้นไมโอมีเทรียม (myometrium)
เนื้อเยื่อกลางที่มีความหนามากที่สุด ประมาณ 12-15 มิลลิเมตร สามารถขยายตัวและหดตัวได้
3.)ชั้นเอนโดมีเทรียม (endometrium)
เนื้อเยื่อชั้นในสุด เป็นชั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในแต่ละรอบเดือน โดยจะหนาตัวขึ้นเนื่องจากมีการสร้างเซลล์ใหม่ มีอาหารและแก๊สออกซิเจนไปออกเลี้ยง
การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไข่หลังการปฏิสนธิ
1.)เซลล์ไข่ในระยะโอโอไซต์ระยะที่สอง
หลุดจากฟอลลิเคิลเข้าสู่ท่อนำไข่ โดยอาศัยการโบกพัดของซิเลียที่เซลล์เยื่อบุผิวของท่อนำไข่
2.)สเปิร์มเคลื่อนที่เข้าหาเซลล์ไข่
เมื่อเซลล์ไข่กระตุ้นสเปิร์ม โอโฮไซต์ระยะสองจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ได้เซลล์ขนาดต่างกัน เซลล์ใหญ่ 1เซลล์ โอโอทิด เจริญเป็นโอวัม เซลล์เล็ก 1 เซลล์ โพลาร์บอดี
3.)นิวเคลียสของสเปิร์มเข้าผสมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่
เกิดการปฏิสนธิขึ้นบริเวณท่อนำไข่ได้เป็นไซโกตเป็นเซลล์ดิพลอยด์ เมื่อสเปิร์มเข้าผสม เยื่อหุ้มเซลล์ไข่จะหนาขึ้นทำให้สเปิร์มอื่นไม่สามารถเข้าผสมได้
4.)ไซโกตเริ่มแบ่งเซลล์
เพิ่มจำนวนจาก 1 เป็น 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 และแบ่งจนกว่าจะเป็นกลุ่มเซลล์
5.)เอ็มบริโอเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทียม
ในขณะเดียวกันคอร์บัสลูเทียมจะสร้างโพรเจสเทอโรนซึ่งทำงานร่วมกันกับอีสโทรเจนที่สร้างจากฟอลลิเคิลในรังไข่ ทำให้เยื่อบุผนังในมดลูกหนาขึ้น