Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ชายไทยอายุ 74 ปี, image, image, image, image, image, image, image, image,…

ชายไทยอายุ 74 ปี

CC : มานอนโรงพยาบาลตามแพทย์นัด เพื่อทำเคมีบำบัด

- - - - -Emphysematous change of both lungs with fibrosis of both upper lobes.
        
        -Several subpleural lobes and bullae in both apicaLlungs,up to 5.2 cm.
        
        ca esophagus
        
        หลอดอาหารเป็นส่วนหนึ่งของทางเดินอาหาร ทำหน้าที่เป็นทางลำเสียงอาหารไปสู่กระเพาะอาหาร
        
        1 more item...

CARBOPLATINและ5 FU

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา CARBOPLATIN

ข้อมูลสนับสนุน
S:-
O: CARBOPLATIN 320 mg in 5% DW 250 ml.

กิจกรรมการพยาบาล

ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา CARBOPLATIN 320 mg in 5% DW 250 ml. ทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษาของแพทย์ และติดตามผลข้างเคียงขณะให้ยาและหลังจากได้รับยา เนื่องจากยาเคมีบำบัดมีผลต่อไขกระดูก ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย และอาจเกิดภาวะซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อย

 ประเมินและตรวจวัดสัญญาณชีพของผู้ป่วยทุก 4 ชั่วโมงและประเมินผลข้างเคียงจากยา CARBOPLATINเช่น แน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น เวียนศีรษะ หายใจติดขัด คลื่นไส้ อาเจียน

 ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา Ondansetron 8 mg. 1 เม็ด 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการทำเคมีบำบัด และติดตามผลข้างเคียงหลังจากได้รับยา เช่น ปวดหัว ง่วงซึม รู้สึกเหนื่อย แน่นท้อง หัวใจเต้นเร็วและแรง

 แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 2-3 ลิตรต่อวันเพื่อลดพิษต่อไต และไม่กลั้นปัสสาวะ

แนะนำผู้ป่วยเฝ้าระวังอาการผิดปกติจากยาเคมีบำบัดที่ต้องแจ้งพยาบาลทันที เช่น ปวดตรงบริเวณที่ให้สารน้ำ ผื่นคัน แน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก หน้าแดง คลื่นไส้ อาเจียน

ควรรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกแล้วใหม่ๆ ควรงดรับประทานผักสดหรือผลไม้ที่ทานทั้งเปลือกหากต้องการรับประทานควรล้างให้สะอาดและปอกเปลือกก่อนรับประทาน

 แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารครั้งละน้อยบ่อยครั้ง แนะนำญาติให้นำอาหารที่ผู้ป่วยชอบมาให้ จัดอาหารใส่ในภาชนะที่สวยงามเพื่อ เป็นการกระตุ้นให้ผู้ป่วยอยากรับประทานอาหาร ให้จิบน้ำขิง หรืออมผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว น้ำผลไม้ เพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียน หลีกเสี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารรสจัดอาหารมัน แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย งดอาหารหมักดอง

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา 5 FU

ข้อมูลสนับสนุน
S:-
O: 5FU 1000mg (Flush IV line before drio 5-FU) Sia. Add in NSS 1000 cc IV drio-in 4 hr x 4 dav

กิจกรรมการพยาบาล

 ประเมินระดับการรู้สึกตัวของผู้ป่วย และบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย

 เฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังจากการได้รับยา 5 FU โดยการประเมินอาการท้องเสีย กดไขกระดูก คลื่นไส้อาเจียน และมีแผลหรือมีเชื้อราในช่องปากและลำคอ ปลายมือปลายเท้าชา

 แนะนำการปฏิบัติตัวภายหลังได้รับยา5 FU เช่น แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำวันละ 2,000 - 3,000 มิลลิลิตร (7-8แก้ว) เพื่อขับยาเคมีบำบัดออกจากร่างกาย หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ การใช้ห้องน้ำร่วมกับบุคคลอื่น การแยกอุปกรณ์และการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆที่สัมผัสกับร่างกายหรือสารคัดหลั่งขณะได้รับยา

  ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาได้แก่

  Lorazepam ( 0.5 mg) Sig. 1 tab. PO 0.5 hr. prior to chemoเพื่อช่วยผ่อนคลายความกังวลให้ผู้ป่วยที่ต้องทำเคมีบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยนอนหลับได้มากขึ้น และติดตามผลข้างเคียงของยา ได้แก่ง่วงนอน มึนงง อ่อนเพลีย ปากแห้ง ท้องเสีย การรับรู้รสผิดปกติ

        Dexamethasone (4mg/amp x 5) Sig. 20mg. IV push 0.5 hr. prior to chemo   เพื่อบรรเทาการแพ้หรือลดการอักเสบ  และติดตามผลข้างเคียงของยา ได้แก่กล้ามเนื้อเกร็ง อ่อนแรง หรือรู้สึกชา หายใจตื้น มีอาการบวม หรือน้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็ว มีปัญหาในการมองเห็น ภาวะซึมเศร้ารุนแรง มีความคิดหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป มีอาการชัก ปวดหลังส่วนล่าง ปัสสาวะน้อยหรือไม่ปัสสาวะเลย ปัสสาวะมีเลือดปน อุจจาระปนเลือดหรือเป็นสีดำ

   Ondansetron Sig. 8 mg IV push 1/2 hr. prior to chemo เพื่อให้ผู้ป่วยนอนหลับได้มากขึ้นและติดตามผลข้างเคียงของยาได้แก่เป็นลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม คอบวม ลิ้นบวม มีผื่นคัน มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม มีอาการคล้ายเป็นไข้หวัด มีรอยช้ำ กลืนหนือพูดลำบาก มือเท้าบวม

การตรวจร่างกาย
On Gastrostomy ที่หน้าท้อง
ผู้ป่วยบอกว่านอนไม่หลับ มีอาการอ่อนเพลีย
ฟังBowel 3ครั้ง ผู้ป่วยท้องอืด
26/05/2565
ผู้ป่วยมีอาการเเน่นหน้าอก แน่นท้อง
ประเมิน PPS = 90%

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ไม่สุขสบายเนื่องจากมีอาการแน่นท้อง

ข้อมูลสนับสนุน
S:ผู้ป่วยบอกว่าแน่นท้อง
O: ไม่ถ่ายมา 3 วัน
ฟังBowel 3ครั้ง
เคาะท้องได้ยินเสียงลมเป็นจำนวนมาก ท้องอืด

กิจกรรมการพยาบาล

 จัดท่านอน เมื่อมีอาการแน่นท้องมักนอนหงายราบไม่ได้ จะทำให้แน่น หน้าอก หายใจไม่สะดวก การให้นอนในท่า ศีรษะสูง 45-60 องศา เพื่อลดแรงดันในช่องท้องช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง

 ป้องกันไม่ให้ท้องอืดเพิ่มขึ้น โดยให้รับประทานอาหารช้าๆ ไม่รีบร้อน รับประทานอาหารจำนวนพอดี เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซ เช่น ถั่ว หัวผักกาด (หัวไชเท้า) น้ำอัดลม เครื่องเทศ อาหารรสจัด เป็นต้น อาหารที่ย่อยยากประเภทไขมันหรืออาหารทอด หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง อมทอฟฟี่ และสูบบุหรี่ เพราะกลืนลมมากขึ้นอีกทั้งไม่ดื่มน้ำขณะกำลังรับประทานอาหาร ควรดื่มน้ำหลังอาหาร ไม่นอนหรือออกกำลังกายหนักทันทีหลังรับประทานอาหาร

 แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงซึ่งจะมีผลต่อกลไกกระตุ้นปฏิกิริยาที่ทำให้มีการบีบตัวของทางเดินอาหารอย่างเป็นระบบเกิดการหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มการทำงานของลำไส้ ทำให้ระยะเวลาการมีภาวะท้องอืดลดลง

  ฟังbowel sound เพื่อประเมินอาการท้องอืดและแน่นท้อง

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีภาวะขาดสารอาหาร

ข้อมูลสนับสนุน
S:ผู้ป่วยบอกว่าน้ำหนักลดลง
ผู้ป่วยน้ำหนักลด 5กิโลภายใน 3เดือน
O: BMI=15.16น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ รูปร่างผอม
Albumin=3.4

กิจกรรมการพยาบาล

    แนะนําให้ผู้ป่วยกลั้วปากและคอก่อน และทำความสะอาดช่องปากทุกครั้งก่อนและหลัง รับประทานอาหาร

     แนะนําให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ บ่อยครั้ง พร้อมทั้งหลีกเลี่ยง อาหารที่มีกลิ่นแรง รสจัด อาหารที่มีไขมันมาก

  จัดบรรยากาศในการรับประทานอาหารให้ดูสดชื่น สะอาด น่ารับประทาน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ป่วย

  แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เช่น สมุนไพรน้ำมะนาว จะช่วยให้การรับรสดี ขึ้น

   ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารไม่ได้ หรือได้น้อยมาก ควรแนะนําให้รับประทาน อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารอาหารครบถ้วนร่วมด้วย เช่น เวย์โปรตีน

  แนะนำผู้ป่วยรับประทานโปรตีนเพิ่ม โดยเพิ่มอาหารประเภท เนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อไก่ สลับกัน 1 ส่วน อย่างน้อย 1 มื้อใน 1 วันเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

  ให้รับประทานอาหารช้าๆ ไม่รีบร้อน รับประทานอาหารจำนวนพอดี เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซ เช่น ถั่ว หัวผักกาด (หัวไชเท้า) น้ำอัดลม เครื่องเทศ อาหารรสจัด เป็นต้น อาหารที่ย่อยยากประเภทไขมันหรืออาหารทอด หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง อมทอฟฟี่ และสูบบุหรี่ เพราะกลืนลมมากขึ้นอีกทั้งไม่ดื่มน้ำขณะกำลังรับประทานอาหาร ควรดื่มน้ำหลังอาหาร

  หลังจากรับประทานอาหารแนะนำให้ผู้ป่วยนั่งเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร

   ชั่งน้ำหนัก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อติดตามว่ามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่

   ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการ ของร่างกาย โดยสัดส่วนของสารอาหารให้พลังงานที่เหมาะสมของผู้ป่วย คือประมาณ 1164 กิโลแคลอรี่/วัน

    สังเกตการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพและภาวะแทรกซ้อนจากภาวะขาดสารอาหาร เช่น การติดเชื้อในระบบหายใจ แผลหายช้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง และจิตใจหดหู่ เศร้า ซึม เป็นต้น เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย

     ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาได้แก่  ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา ได้แก่ Ensure (1:1) 350mL + whey 1 ช้อน เช้า, เที่ยง, เย็น  เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน 5 หมู่

    ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการได้แก่ Albumin

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อเนื่องจากผู้ทำ Percutaneous Endoscopic Gastrostomy (PEG)

ข้อมูลสนับสนุน
S:
O:ผู้ป่วยทำ Percutaneous Endoscopic Gastrostomy (PEG)

กิจกรรมการพยาบาล

 ประเมินและบันทึก V/S ทุก 4 ชม. เพื่อประเมินภาวะติดเชื้อของผู้ป่วย

 สังเกตอาการและอาการแสดง ได้แก่ อ่อนเพลีย รับประทานอาหารได้น้อย ไข้หนาวสั่น หายใจลำบาก ปัสสาวะออกน้อย กระสับกระส่าย เพื่อให้การพยาบาลได้ทันท่วงที

 ดูแลรักษาความสะอาดของแผล Wound Dressing OD ทำแผลด้วยหลัก Aseptic technique โดยใช้ 0.9% NSS เช็ดทำความสะอาดแผล เนื่องจากเป็นสารละลาย Isotonic solution ซึ่งมีความเข้มข้นเท่ากับความเข้มข้นของเซลล์ในร่างกาย และไม่ทำลายเซลล์ที่สร้างใหม่ที่แผล ไม่ทำให้แผลเกิดการระคายเคือง

  สังเกตลักษณะติดเชื้อที่แผล เช่น ปวด บวม แดง ร้อน มีหนองไหลเพื่อประเมินภาวะติดเชื้อของผู้ป่วย

   ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อลดการติดเชื้อ

      ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวลและคอยพูดให้กำลังผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยไว้วางใจและให้ความร่วมมือในการรักษา

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่หลับ

ข้อมูลสนับสนุน
S : ผู้ป่วยบอกว่านอนไม่หลับ
O: มีอาการอ่อนเพลีย

กิจกรรมการพยาบาล

 เมื่อรู้สึกง่วงให้ผู้ป่วยเข้านอนทันที เข้านอนในเวลาที่เหมือนกันทุกคืน ตรงเวลา ร่างกายจะจดจำเวลานอนจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการนอนหลับไม่มีการรบกวน เพื่อให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนได้มากขึ้น

  การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีแข็งแรงสดชื่น

  ส่งเสริมให้ผู้ป่วยขับถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอน

  หากนอนไม่หลับ ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมเบาๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือนั่งสมาธิ เมื่อรู้สึกง่วงให้เข้ามานอน

   ก่อนนอนส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำสมองให้โล่ง ปลอดโปร่ง ไม่นำเรื่องเครียด กดดัน ผิดหวัง หรือเสียใจมาคิด ทำจิตใจให้ผ่อนคลายก่อนนอน

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจน

ข้อมูลสนับสนุน
S : ผู้ป่วยบอกว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก
O: มีอาการอ่อนเพลีย O2 sat = 94%
PR = 106 ครั้ง/นาที

กิจกรรมการพยาบาล

 ตรวจวัดสัญญาณชีพและประเมินภาวะพร่องออกซิเจนประเมินอัตราการหายใจ ชีพจร สีของเล็บ ปลายมือปลายเท้าเยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีด เขียว เพราะอาการหายใจหอบ ชีพจรเร็ว ปลายมือปลายเท้า เยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีด เขียวแสดงถึงภาวะพร่องออกซิเจน เพื่อรายงานแพทย์พิจารณาการให้ออกซิเจน

 ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษาแบบ O2 cannular 3 LPM prn ดูแลให้ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน มากกว่า 96 % และสังเกตอาการข้างเคียงจากการให้ออกซิเจน เช่น อาการระคายเคืองทางเดินหายใจ

จัดท่านอนศีรษะสูง เพราะทำให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง ปอดขยายตัวได้เต็ม ที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซมากขึ้น

 ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนบนเตียง เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรมทำให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง

 ประเมินค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจนของผู้ป่วย

เสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง

ข้อมูลสนับสนุน
S:-
O: Hemoglobin (HBG)=10.8, Hematocrit(HCT)=33, RDW-CV=23.1, RDW-SD=74.5

กิจกรรมการพยาบาล

   ประเมินและบันทึกสัญญาชีพของผู้ป่วย เพื่อสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง

   ประเมินสีของเยื่อบุตา มือและผิวหนังของผู้ป่วย พร้อมทั้งสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดจากภาวะซีด เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหนื่อยง่าย เป็นต้น

        สังเกตอาการและอาการแสดงต่อไปนี้ ได้แก่ เบื่ออาหารเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ตัวซีดเหลือง หายใจลำบากขณะออกแรง มึนงง วิงเวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก ใจสั่น

  แนะนําเรื่องการปรับเปลี่ยนท่าควรจะทำอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ พลัดตกหกล้ม ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมต่างๆ

        ให้คำแนะนําและให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก และมีโปรตีนสูง เช่น ไข่ ตับ ผักสีเขียว เพื่อช่วยไขกระดูกในการสร้างเม็ดเลือดแดง

   จัดให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเต็มที่ และช่วยเหลือกิจกรรมข้างเตียงเพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกาย

  ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่Hemoglobin (HBG),Hematocrit(HCT), RDW-CV, RDW-SD หากพบผิดปกติ ควรรายงานแพทย์ทราบ

- - - - หลอดเลือดตีบและอุดตัน
        
        หลอดเลือดมีการตอบสนองต่อระบบ ประสาท Sympathetic และ Parasympathetic ลดลง
        
        ทำให้ความสามารถในการหดตัว และคลายตัวของหลอดเลือดลดลง
        
        มีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
        
        ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่9
        เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง
        
        1 more item...

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ส่งเสริมเกี่ยวกับการการปฏิบัติตัวให้กับผู้ป่วยและญาติเข้าใจเมื่อผู้ป่วยกลับไปอยู่บ้าน

ข้อมูลสนับสนุน
S: -
O:-

กิจกรรมการพยาบาล

แนะนำให้ผู้ป่วยและญาติสังเกตอาการผิดปกติจากการได้รับยา 5 FU/LV โดยการประเมินอาการท้องเสีย กดไขกระดูก คลื่นไส้อาเจียน และมีแผลหรือมีเชื้อราในช่องปากและลำคอ หากมีอาการท้องเสียหากมีอาการท้องเสียรุนแรงแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์

แนะนำให้รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดการรับประทานยาเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ได้แก่

 Ondansetron (8mg) Sig. 1tab PO bid ac # 10เพื่อให้ผู้ป่วยนอนหลับได้มากขึ้นและติดตามผลข้างเคียงของยาได้แก่เป็นลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม คอบวม ลิ้นบวม มีผื่นคัน มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม มีอาการคล้ายเป็นไข้หวัด มีรอยช้ำ กลืนหนือพูดลำบาก มือเท้าบวม

-Dexamethasone (4 mg/tab ) Sig. 1 tab PO bid pc x 4 days(day2-5)เพื่อลดการอักเสบและติดตามผลค้างเคียงของยาได้แก่วงนอน วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อาเจียน การมองเห็นไม่ชัดเจน ท้องผูก แสบร้อนกลางทรวงอก

-Plasil (10) 1 tab po tid ac # 15เป็นยาบำบัดอาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยเพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ...

-Olanzapine (5) 1x1 po hs # 5เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนและติดตามผลค้างเคียงของยาได้แก่มีความอยากอาหารมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ง่วงซึม เหนื่อย กระสับกระส่าย มีปัญหาเกี่ยวกับการพูดหรือความทรงจำ สั่น กระตุก เป็นเหน็บชา มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ปากแห้ง ปวดท้อง ท้องผูก ปวดแขนและขา เป็นต้น

-vit Bco 1X3 po pc # 60เพื่อให้ได้รับวิตมินได้ครบถ้วน

-Rolar 1x2 po pc # 40บรรเทาอาการไอ

แนะนำให้ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายเบาๆ เช่น ยืน เดิน เป็นเวลาอย่างน้อย 10-20 นาที งดการออกกําลังกายที่ต้องเกร็งหน้าท้อง เช่น Sit up หรือสะพานโค้งงดการทำกิจกรรมที่ ต้องออกแรงมาก  เช่น การยกของหนัก เป็นต้น และเมื่อผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยแนะนำให้ผู้ป่วยหยุดพัก

ให้ความรู้และแนะนำให้หาเวลานอนพักบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ และหาเวลาพักผ่อนในตอนกลางวัน ย่างน้อยวันละ 20 นาที อาไม่จำเป็นต้องนอนให้หลับ แต่พยายามนอนให้ได้ประมาณ 8-10 ชั่วโมงต่อคืน

แนะนำให้ผู้ป่วยหาโอกาสผ่อนคลายความเครียด เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ เล่นเกม ทำสมาธิ ทำการฝีมือ รวมไปถึงการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่มีอากาศปลอด โปร่ง ไม่แออัด เป็นต้น

แนะนำให้ผู้ป่วยและญาติไปทำแผลทุกวันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ให้รับประทานอาหารช้าๆ ไม่รีบร้อน รับประทานอาหารจำนวนพอดี เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซ เช่น ถั่ว หัวผักกาด (หัวไชเท้า) น้ำอัดลม เครื่องเทศ อาหารรสจัด เป็นต้น อาหารที่ย่อยยากประเภทไขมันหรืออาหารทอด หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง อมทอฟฟี่ และสูบบุหรี่ เพราะกลืนลมมากขึ้นอีกทั้งไม่ดื่มน้ำขณะกำลังรับประทานอาหาร ควรดื่มน้ำหลังอาหาร

แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอ่อนเช่น และเช่น ข้าวต้มปลา ไข่ตุ๋น เต้าหู้ต้ม ไข่น้ำ เพื่อให้ย่อยอาหารง่ายขึ้นอาหารที่มีกากใยสูงซึ่งจะมีผลต่อกลไกกระตุ้นปฏิกิริยาที่ทำให้มีการบีบตัวของทางเดินอาหารอย่างเป็นระบบเกิดการหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มการทำงานของลำไส้ ทำให้ระยะเวลาการมีภาวะท้องอืดลดลง

หลังจากรับประทานอาหารแนะนำให้ผู้ป่วยนั่งเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร

ภายหลังให้คำแนะนำเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย เน้นย้ำให้ตระหนักถึงความสำคัญ ในการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด พร้อมให้ตระหนักถึงอาการผิดปกติ ต่างๆที่ต้องมาพบแพทย์ภายหลังผ่าตัด รวมทั้งประเมินความรู้ของผู้ป่วยโดยการซักถาม หากผู้ป่วย ยังไม่เข้าใจควรให้เวลาผู้ป่วยในการซักถามและตอบข้อสงสัย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจและมั่นใจในการ นำไปปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน

แนะนำให้ญาติและคนในครอบครัวคอยให้กำลังใจผู้ป่วยป่วยอยู่เสมอเพื่อให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการรักษามากขึ้น