Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Anorexia nervosa - Coggle Diagram

- - - - 2.มีวิธีการทำให้น้ำหนักลด โดยลดปริมาณอาหาร เช่น ทำให้อาเจียน ใช้ยาระบาย ใช้ยาขับปัสสาวะ ออกกำลังกายอย่างหนัก
        
        3.มีความกลัวอย่างมากว่าน้ำหนักจะเพิ่มหรือจะอ้วนและแม้น้ำหนักจะลดลงแล้วแต่ยังคงมีความกลัวเช่นเดิม
        
        4.มีทัศนคติว่าคุณค่าของตนเองขึ้นอยู่กับรูปร่างและน้ำหนักตัว สามารถลดน้ำหนักได้แสดงถึงความสำเร็จและการมีระเบียบวินัยที่ดีเลิศ
        
        5.ผู้ป่วยก่อนวัยเจริญพันธุ์ประจำเดือนจะมาช้ากว่าปกติ ส่วนผู้ป่วยที่เคยมีประจำเดือนแล้ว ประจำเดือนจะขาดไปเพราะขาดสารอาหาร
        
        6.ภาวะสุขภาพจิตเปลี่ยนไป เช่น หงุดหงิด แยกตัว นอนไม่หลับ สนใจทางเพศลดลง มีความไม่ยืดหยุ่น เมื่อน้ำหนักลดลงมากจะมีอาการซึมเศร้า กลัวสังคม ย้ำคิดย้ำทำ
  - - - 2.ผู้ป่วยจะลดปริมาณอาหารลงจะรับประทานอาหารรับประทานอาหารวันละ2มื้อ แต่ละมื้อจะรับประทานน้อยลง รู้สึกผะอืดผะอม คลื่นไส้หลังรับประทานอาหาร บางครั้งอาเจียนเศษอาหารที่พึ่งรับประทานออกมา และจะอาเจียนทุกมื้อหลังอาหาร ยังคงซ้อมเต้นทุกวัน วันละ5-6ชั่วโมง
        
        3.ผู้ป่วยยังคงซ้อมเต้นทุกวัน และรับประทานอาหารน้อยลง กลัวน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นจะเต้นไม่สวย
        
        4.ผู้ป่วยมีความรักสวยรักงามชอบแต่งตัว และอยากให้น้ำหนักลดลงจะได้เต้นสวยขึ้น ยังคงฝึกเต้นอย่างหนัก และเข้มงวดกับอาหารที่กินมากขึ้น บางวันมีเพียงไข่ขาว2ฟอง และสลัดผัก จนน้ำหนักลดลงจาก51kg.เหลือ31.5kg
        
        5.ผู้ป่วยประจำเดือนขาดไป 3-4เดือน
        
        6.ผู้ป่วยไม่ร่าเริง เช่นเดิม ซึมลง เหนื่อยง่าย
- - - - 6B80 Anorexia Nervosa with signifcantly low body weight โรคอะนอเรกเซียที่มีน้ำหนักตัวต่ำชัดเจน
      - 6880 Anorexia Nervosa with dangerously low body weight โรคอะนอเรกเซียที่มีน้ำหนักตัวต่ำขั้นวิกฤต
      - 6B80 Anorexia Nervosa in recovery with normal body weight โรคอะนอเรกเซียที่กลับฟื้นตัวมีน้ำหนักตัวผิดปกติ
- - - - Omeprazole คือยาในกลุ่ม PPIs หรือ Proton Pump Inhibitors ออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร นิยมใช้ในผู้ที่มีปัญหากรดเกิน มีการระคายเคืองหรือมีแผลในระบบทางเดินอาหาร เป็นยาที่ออกฤทธิ์นาน และให้ประสิทธิภาพทางการรักษาที่ดี
        
        กลไกการออกฤทธิ์
        Omeprazole หรือ โอเมพราโซล เป็นยาลดกรดในกลุ่ม PPIs หรือ Proton Pump Inhibitors โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ใช้รักษาอาการต่างๆ ที่เกิดจากกรด เช่น แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcers) แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น
        รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเรื่องกรดเกิน ทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง หลังจากรับประทานอาหาร
        
        ข้อบ่งของยา
        ตัวยาจะออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ใช้รักษาอาการต่างๆ ที่เกิดจากกรด เช่น แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcers) แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น
        การใช้ยาต้านการอักเสบในกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-inflammatory Drugs หรือ NSAIDs) รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเรื่องกรดเกิน ทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง หลังจากรับประทานอาหาร
        
        อาการข้างเคียงของยา
        Omeprazole เป็นยาที่ปลอดภัยและผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีพบได้บ้าง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้น้อยลง และมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหาร
        
        การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยา
        1.ไม่ควรใช้ในผู้ที่แพ้สารประกอบในยา หรือยาในกลุ่มเดียวกัน Esomeprazole, Nexium, Prevacid, Protonix
        2.ควรระมัดระวังในการใช้ Omeprazole ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ โรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเอง โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ โรคลมชัก หรือผู้ที่มีอาการแสบร้อนกลางอกมานานเกิน 3 เดือน
        3.ไม่ควรใช้ยา Omeprazole หากกำลังรับประทานยา HIV ที่มีตัวยา Rilpivirine อยู่
        
        เหตุผลการใช้ยานี้ของกรณีศึกษาเพื่อช่วยลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ใช้รักษาอาการต่างๆ ที่เกิดจากกรดใช้รักษาอาการต่างๆ ที่เกิดจากกรด เช่น แผลในกระเพาะอาหาร
  - - - กลไกการออกฤทธิ์ของยา
        Domperidone (ดอมเพอริโดน) เป็นยาใช้สำหรับบรรเทาอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน นอกจากนี้ยังอาจนำมาใช้รักษาอาการที่เกิดขึ้นจากการย่อยอาหารล่าช้าจนมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด เรอ คลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก และปวดท้อง โดยยานี้จะไปช่วยเพิ่มการหดตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหารได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
        
        ข้อบ่งชี้ของยา
        บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาการจากอาหารไม่ย่อย นำมาใช้รักษาอาการที่เกิดขึ้นจากการย่อยอาหารล่าช้าจนมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด เรอ คลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก และปวดท้อง โดยยานี้จะไปช่วยเพิ่มการหดตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหารได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
        
        ผลข้างเคียงของยา
        อาการบวมที่มือ เท้า ข้อเท้า ลำคอ ริมฝีปาก
        มีผื่น อาการคัน ลมพิษขึ้นตามผิวหนัง
        มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
        
        การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยา
        1.ห้ามรับประทานยานี้หากเคยมีอาการแพ้ยาดอมเพอริโดนหรือส่วนประกอบใด ๆ ในตัวยา
        2.ผู้ป่วยโรคลำไส้ชนิดรุนแรง เช่น เลือดออกในทางเดินอาหารและอาจทำให้อุจจาระเป็นสีดำ กระเพาะอาหารหรือลำไส้เป็นรูและผู้ที่มีเนื้องอกบริเวณต่อมใต้สมองชนิดโปรแลกติโนมาห้ามใช้ยานี้ป่วยที่ได้รับยา
        
        เหตุผลการใช้ยานี้ของกรณีศึกษาเพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาการจากอาหารไม่ย่อย
  - - - เป็นกลุ่มยาทางจิตเวช จัดอยู่ในกลุ่มยา SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) หรือยาต้านเศร้า (Antidepressant) ใช้รักษาผู้ป่วยหลายโรค เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลทั่วไป โรคแพนิค โรคย้ำคิดย้ำ
        
        กลไกการออกฤทธิ์ของยา
        กลไกของยาคือตัวยาจะไปยับยั้งการดูดซึมกลับของสารสื่อประสาทหรือ Serotonin ทำให้มีปริมาณ Serotonin ในช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทมากขึ้นและนานขึ้น เป็นการเพิ่ม Serotonin ในร่างกาย เนื่องจากพบว่าโรคจิตเวชหลายโรคเกิดจากสาร Serotonin ในร่างกายต่ำ ในหลายๆ ส่วนที่แตกต่างกัน เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคซึมเศร้า โรคแพนิค โรคบูลิเมียหรือเบื่ออาหาร หรือภาวะซึมเศร้าในกลุ่มผู้สูงอายุ
        
        ข้อบ่งชี้
        ยาที่ใช้กับผู้ป่วยจิตเวชได้กว้าง ช่วยลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายหรือเรียกอีกอย่างว่ายาต้านเศร้า ใช้รักษาผู้ป่วยหลายโรคเช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลทั่วไป โรคเเพนิค โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคบูลิเมีย โนเวอซ่า ซึ่งเป็นโรคที่มีภาวะผิดปกติในการรับประทานอาหาร
        
        อาการข้างเคียงของยา
        -ความต้องการทางเพศลดลง-วิตกกังวล-นอนไม่หลับ
        -รู้สึกเหมือนมีไข้-เกิดอาการไซนัสอักเสบ-อาหารไม่ ย่อย เกิดโรคกระเพาะอาหาร
        -ปากแห้ง-คลื่นไส้ พะอืดพะอม-หลอดเลือดขยายตัว
        
        การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยา
        1.ผู้ที่มีอาการแพ้ยานี้ ผู้ที่กำลังใช้ยาพิโมไซด์ (Pimozide) หรือยาไทโอริดาซีน (Thioridazine) หรือได้รับการรักษาด้วยยาเมทิลีนบลู ไม่ควรใช้ยานี้
        
        แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรใด ๆ รวมถึงยาต้านซึมเศร้าชนิดอื่นๆ
        
        แนะนำผู้ป่วยที่รับประทานยาอาจรู้สึกว่าผิวหนังไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
        
        เหตุผลในการใช้ยานี้ของกรณีศึกษา
        เพื่อโรคบูลิเมีย เนอโวซา ซึ่งเป็นโรคที่มีภาวะผิดปกติในการรับประทานอาหาร
  - - - กลไกการออกฤทธิ์
        วิตามินรวม (Multivitamin) วิตามินเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินหลากหลายชนิดซึ่งพบได้ในอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน โดยจะนำมาใช้ในกรณีที่อาจได้รับวิตามินจากอาหารไม่เพียงพอ หรือเพื่อรักษาภาวะขาดวิตามินของร่างกายที่อาจเกิดจากอาการป่วยบางชนิด เช่น การขาดสารอาหาร โรคเกี่ยวกับการย่อยอาหาร และอื่น ๆ เป็นต้น
        
        ข้อบ่งชี้ของยา
        รักษาหรือป้องกันการขาดวิตามินในร่างกาย ใช้เมื่อมีการได้รับ vitamin หรือแร่ธาตุที่ไม่มี ความเพียงพอ จากการรับประทานอาหาร โดย multivitamin ใช้ในการรักษา ภาวะการขาดเนื่องจากการป่วย ตั้งครรภ์โภชนาการไม่ดีรวมถึงปัญหาทางระบบ การย่อยด้วย
        
        อาการข้างเคียงของยา
        การรับประทานวิตามินรวมตามปริมาณที่แนะนำมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงใด ๆ ผลข้างเคียงชนิดไม่รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ อาหารไม่ย่อย ปวดศีรษะ รู้สึกถึงรสชาติผิดปกติหรือไม่พึงประสงค์ในปาก
        หากมีอาการเเพ้รุนเเรงคือ มีผื่นลมพิษ หายใจลำบาก อาการบวมที่ใบหน้า ลำคอ ปาก ลิ้น ควรรีบไปพบแพทย์
        
        การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยา
        1.ห้ามรับประทานหากมีอาการแพ้ส่วนผสมใด ๆ ในวิตามินบีรวม
        2.แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับโรคหรือภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ เพราะอาจได้รับผลกระทบจากการรับประทานวิตามินรวม โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์
        3.วิตามินรวมอาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด หากกำลังใช้ยา สมุนไพร หรืออาหารเสริมชนิดใดก็ตาม ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนเริ่มใช้ยา
        
        เหตุผลการใช้ยานี้ของกรณีศึกษา
        เพื่อรักษาหรือป้องกันการขาดวิตามินในร่างกาย ใช้เมื่อมีการได้รับ vitamin หรือแร่ธาตุที่ไม่มีความเพียงพอ จากการรับประทานอาหาร
  - - - กระบวนการในการทําจิตบําบัดรายบุคคล กระบวนการในการทําจิตบําบัดรายบุคคล เน้น 3 ระยะ ดังนี้
        
        ระยะแรกเน้นการสร้างสัมพันธภาพ การรับฟังปัญหา การแสดงความเห็นใจและรับความรู้สึก
        
        ระยะท่ี 2 เป็นระยะการโอนถ่ายความรู้สึกสู่ผู้รักษา พัฒนาการตระหนักรู้ในปัญหา การสนับสนุน ประคับประคอง การตีความ การสอน การให้กําลังใจ การจัดการกับสิ่งแวดล้อม
        
        ระยะสิ้นสุด เป็นการเตรียมสิ้นสุดสัมพันธภาพ องค์ประกอบที่สําคัญของการทําจิตบําบัด การทําจิตบําบัดที่มีประสิทธิภาพควรพิจารณาถึงหลักการต่อไปนี
        
        ความรู้ความสามารถของผู้บําบัด ต้องผ่านการเรียนและฝึกฝนด้านการทําจิตบําบัดมาโดยตรง
        
        บุคลิกภาพและนิสัยของผู้บําบัด ต้องมีความพร้อม มีความรู้ ความเข้าใจ ยอมรับ และพัฒนา ตนเอง ในการทําจิตบําบัดเป็นอย่างดี
        
        ผู้บําบัดและผู้รับการบําบัด มีแรงจูงใจ ในการทําจิตบําบัด เช่ือและศรัทธาในตนเองและผู้บําบัด
        
        มีความสามารถในการพูด ถ่ายเทความรู้สึก
- - - - วัตถุประสงค์ : ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย BMI = 18.6_24 km/m2
        เกณฑ์การประเมินผล : ผู้ป่วยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
        2.ดูแลอาหารและการรับประทาน ประเมินความต้องการด้านโภชนาการ ดูแลให้ได้รับอาหารที่มี คุณค่าและดีต่อสุขภาพ (แนะนำ ไฟเบอร์ 18-25 กรัมต่อวันจากพรุน ผักใบเขียว ขนมปังโฮลวีตและอาหารที่มีแคลเซียมสูง ขนม และเครื่องดื่ม ปริมาณเล็กน้อยแต่บ่อยครั้ง ) ควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ เพื่อให้มีน้ำหนักเพิ่ม ขึ้นประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ โดยในระยะแรกไม่ควรให้เพิ่มน้ำ หนักอย่าง รวดเร็ว เพื่อป้องกันการขยายตัวของกระเพาะ การบวม และอาจมีหัวใจล้มเหลว
        3.ชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละ1ครั้ง และประเมินค่าBMIรายงานแพทย์เมื่อพบว่ามีน้ำหนักเกินร้อยละ10ของค่าปกติ
        4.บันทึกประจำวันเกี่ยวกับชนิดของอาหาร ความถี่ในการรับประทานอาหาร ความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะรับประทานอาหาร
        5.เน้นการรับประทานอาหารผัก และผลไม้ อาหารที่มีกากใยสูง ลดอาหารประเภท ไขมัน คาร์โบไฮเดรต
        6.อธิบายสาเหตุของอาการคลื่นไส้อาเจียน และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ซักถาม
        7.ดูแลให้ได้รับยา Omeprazole ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหารใช้รักษาอาการต่างๆที่เกิดจากกรด เช่น หลอดอาหารอักเสบ โรคกรดไหลย้อน และ multivitamin รักษาหรือป้องกันการขาดวิตามินในร่างกาย ใช้เมื่อมีการได้รับVitamin หรือแร่ธาตุที่ไม่มีเพียงพอ จากการรับประทานอาหาร
  - - - วัตถุประสงค์: บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน เกณฑ์การประเมิน:อาการคลื่นไส้ลดลงอาเจียนลดลงภายใน1-2 สัปดาห์
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
        2.ประเมินความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียน บันทึกลักษณะและปริมาณของอาเจียน เหตุผล ประเมินอาการคลื่นไส้อาเจียน หากอาเจียนมากเกินไป จะมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียสมดุลน้ำและเกลือแร่
        3.ดูแลให้ได้รับยาแก้คลื่นไส้อาเจียนตามแผนการรักษา
        4.จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดไม่มีกลิ่นเหม็นที่จะกระตุ้นให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
        5.ดูแลให้ปากและฟันสะอาดโดยเฉพาะหลังอาเจียน เหตุผลการดูแลให้ปากและฟันสะอาดโดยเฉพาะหลังอาเจียน ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ เพื่อลดปริมาณกรดจากกระเพาะที่ย้อนขึ้นมาจากช่องปาก และไม่ควร แปลงฟันในทันที ควรรออย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอาเจียน เพราะหากแปรงฟันทันทีอาจจะทำให้ฟันสึกได้ง่ายขึ้น
        6.แนะนำ ให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ และเพิ่มจำนวนมื้ออาหารให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารรสเผ็ดจัดและควรรับ ประทานอาหารช้าๆและเคี้ยวให้ละเอียด
        7.บันทึกสารน้ำ เข้าและออกจากร่างกายเพื่อประเมินภาวะขาดน้ำ จากการอาเจียน มากเหตุผล เพื่อประเมินการทำงานของลำ ไส้และลดการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
  - - - วัตถุประสงค์ :-ผู้ป่วยพึ่งพอใจกับรูปร่างที่เป็นอยู่และมีน้ำ หนักตามเกณฑ์ปกติ BMI = 18.6-24 km/m2
        -ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามากขึ้น
        เกณฑ์การประเมิน: -ปรับเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาให้ตรงกับทัศนคติ
        -ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างและน้ำหนัก
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        1.สร้างส้มพันธภาพโดยหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่แสดงออกถึงอาการตกใจ
        2.แนะนำหลักการเลือกทำทีละอย่างสอนวิธีการระงับอารมณ์ตัวเอง ฝึกจิตใจให้ร่าเริง แนะนำให้หากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทำ เช่น การทำสมาธิ การสูดหายใจ เข้าออกลึกๆยาวๆ การฟังเพลง
        3.รับฟังและแสดงท่าทีที่ยอมรับพฤติกรรมที่ผู้ป่วยแสดงออกด้วยความเห็นอก เห็นใจ
        4.ช่วยให้ผู้ป่วยค้นหาปัญหาโดยพยาบาลและผู้ป่วยร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ผู้ป่วยเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับตนเอง