Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 41 ปี, ลักษณะมะเร็งเต้านม1 ลักษณะมะเร็งเต้านม2 …
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 41 ปี
PI : - 1 เดือนก่อนมา รพ.คลำพบก้อนที่เต้านมซ้าย
ไปตรวจที่ รพ.สุราษฎร์ธานี ทำ u/s ที่ รพ.สุราษฎร์ธานี
ผล BIRAD 5
-ส่งต่อมา รพ.มะเร็งสุราษฎร์ธานี
-2/05/65 ผล cnbx = IMCA grade 2
เป็นมะเร็งเต้านมชนิดลุกลาม
18/05/65 มานอนโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด
CC : มานอนโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด
ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดแบบ MRM
Modified radical Mastectomy
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1
เตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดและการดูแลตนเองหลังการผ่าตัด
ข้อมูลสนับสนุน
O: ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด MRM
ที่เต้านมด้านซ้าย
กิจกรรมทางการพยาบาล
ก่อนการผ่าตัด
1.ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพของผู้ป่วยทุกๆ 4 ชั่วโมง
2.แนะนำการปฏิบัติตัวก่อนผ่าตัดให้กับผู้ป่วย เช่น
แนะนำให้ผู้ป่วยปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนไปห้องผ่าตัด
3.แนะนำการทำความสะอาดร่างกายก่อนการผ่าตัด
เช่นการอาบน้ำ สระผม ตัดเล็บมือเล็บเท้า ให้เรียบร้อยก่อนวันผ่าตัด
4.แนะนำให้ผู้ป่วยถอดเครื่องประดับ หรือของมีค่า ชุดชั้นใน
และหากผู้ป่วยมีฟันปลอมให้ผู้ป่วยถอดฟันปลอมก่อนเข้าห้องผ่าตัด
5.ให้ผู้ป่วยงดน้ำและอาหารทุกชนิดหลังจากเที่ยงคืนก่อนวันผ่าตัด
6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
7.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่า CBC BUN Cr Electrolyte LFT
การประเมินผล
ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำได้ครบถ้วน
หลังการผ่าตัด
1.ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพของผู้ป่วยทุกๆ 4 ชั่วโมง และสังเกตภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด
เช่น แผลบวม ปวดมากขึ้น มีไข้ แขนบวม ข้อไหล่ติด เป็นต้น งดการทำหัตถการข้างที่ผ่าตัด
2.ดูแลสายระบายน้ำออกจากแผล ไม่ให้หัก พับ งอ รั่ว หรือเลื่อนหลุดจากตำแหน่งเดิม
และดูการทำงานของสายหรือท่อระบายให้ทำงานอยู่เสมอ วางขวดระบายให้อยู่ในระดับต่ำกว่าแผลผ่าตัด
3.แนะนำให้ผู้ป่วยระวังไม่ให้แผลผ่าตัดเปียกน้ำ ไม่แกะเกาแผล
4.แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่ส่งเสริมการหายของแผล
เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว โยเกิร์ต ธัญพืช ถั่วต่างๆ ส้ม ฝรั่ง มะละกอ
5.แนะนำให้ผู้ป่วยบริหารร่างกาย เพื่อป้องกันภาวะข้อไหล่ติดโดยแต่ละท่าให้เริ่มที่จำนวนครั้งน้อยๆก่อน
จนรู้สึกตึงหรือเจ็บพอทนได้ โดยเริ่มท่าละ 3 ครั้ง
ถ้าไม่ตึงหรือเจ็บมากขึ้นให้เพิ่มเป็น 5,7,10 ครั้ง ทำ 3 รอบต่อวัน ดังนี้
5.1) หายใจลึก ๆ 3 ครั้ง / กำ - แบมือ / งอ - เหยียดศอก
5.2) ยกไหล่ ขึ้น-ลง
5.3) ห่อไหล่มาด้านหน้า-แบะไหล่ไปด้านหลัง
5.4) หมุนหัวไหล่เป็นวงกลม (ทั้งในท่าเหยียดแขนและงอศอกท่าใดท่าหนึ่งที่สามารถทำได้)
5.5) ยกแขนไปด้านหน้า-เหยียดแขนไปด้านหลัง
5.6)ยืนหันหน้าเข้าหาผนัง วางฝ่ามือบนผนัง ค่อยๆ “ไต่ผนัง” จนรู้สึกว่าตึงเล็กน้อย แล้วกลับสู่ท่าตั้งต้น
5.7) กาง-หุบแขนโดยประสานมือไว้ด้านหลังศีรษะ (เริ่มทำในสัปดาห์ที่ 2 หลังผ่าตัด)
5.8) นั่งตัวตรง ประสานมือไว้เหนือศีรษะ เอียงตัวไปข้างซ้าย และขวาสลับกัน ช้า ๆ
(เริ่มทำในสัปดาห์ที่ 2 หลังผ่าตัด)
6.แนะนำไม่ให้ผู้ป่วยสวมเสื้อผ้า ยกทรงที่รัดแน่นเกินไป
7.แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการถือของหนักมากกว่า 2 กิโลกรัม
หรือการทำกิจกรรมที่ใช้แขนข้างเดียวกับที่ผ่าตัดซ้ำ ๆ เช่น การถูบ้าน หรือซักผ้า เป็นต้น
8.ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายสิ่งแวดล้อมรอบผู้ป่วย เพื่อลดการหมักหมมของเชื้อโรค
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาระงับความรู้สึก
ข้อมูลสนับสนุน
O: ผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกชนิด General anesthesia
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย และประเมินสัญญาณบันทึกสัญญาณชีพ
โดยตรวจนับชีพจร หายใจ และความดันโลหิต
ทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้ง และทุก 1 ชั่วโมง จนกว่าสัญญาณชีพจะคงที่
จากนั้นบันทึกต่อทุก 4 ชั่วโมง จนครบ 24 ชั่วโมง หากมีสัญญาณชีพผิดปกติ
เช่น ชีพจรเร็วมากกว่า 100ครั้ง/นาที ความดันโลหิตต่ำกว่า 90/60 mmHg มีเหงื่อออก
ตัวเย็น ปากซีด หายใจหอบเหนื่อย ให้รายงานแพทย์ทันที
2.สังเกตและบันทึกเกี่ยวกับสีผิว เยื่อบุตา และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน (O2 saturation)
ทุก 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
3.จัดให้ผู้ป่วยนอนราบไม่หนุนหมอน หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้จัดให้นอนในท่านอนตะแคง
เพื่อป้องกันการสำลักเศษอาหาร และควรจัดภาชนะรองรับน้ำลายไว้ข้างๆผู้ป่วย
4.กระตุ้นให้ผู้ป่วย ambulate ได้เร็วที่สุด เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัวดีแล้วให้พลิกตะแคงตัวทุก 2-3 ชั่วโมง
5.ดูแลให้ผู้ป่วยนอนพักจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ
เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและเข้าติดตามประเมินอาการเป็นระยะๆ
6.ยกราวข้างเตียงขึ้นทุกครั้ง ภายหลังให้การพยาบาล
และแนะนำให้ผู้ป่วยขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
การประเมินผล
ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี
สัญญาณชีพของผู้ป่วยเป็นปกติ
ไม่มีเหงื่อออก ตัวเย็น ปากซีด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกหลังผ่าตัด
ข้อมูลสนับสนุน
O: -ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด MRM ที่เต้านมด้านซ้าย
-ผู้ป่วย on radivac drain 1 สาย จากรักแร้ข้างซ้าย
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย โดยสอบถามชื่อ-นามสกุล วันเวลาสถานที่ หากมีอาการซึมลง ปลุกไม่ตื่น (sedation score >1)
ให้รายงานแพทย์ทันทีเพราะอาจมีภาวะช็อคจากการเสียเลือด
ระดับ sedation score
ระดับ 0 = ไม่ง่วงซึม, รู้ตัวตื่นอยู่
ระดับ 1 = ง่วงซึมเล็กน้อย, เรียกปลุกตื่นง่าย
ระดับ 2 = ง่วงซึมปานกลาง, ง่วงบ่อยหรือตลอดเวลาแต่ยังปลุกตื่นได้ง่าย
ระดับ 3 = ง่วงซึมอย่างรุนแรง, หลับมาก, ปลุกตื่นยาก
ระดับ S = นอนหลับปกติไม่ได้แสดงอาการปวดหรือความต้องการยาแก้ปวด
2.ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ โดยตรวจนับชีพจร หายใจ และความดันโลหิต ทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้ง และทุก 1 ชั่วโมง จนกว่าสัญญาณชีพจะคงที่ จากนั้นบันทึกต่อทุก 4 ชั่วโมง จนครบ 24 ชั่วโมง หากมีสัญญาณชีพผิดปกติ เช่น ชีพจรเร็วมากกว่า 100ครั้ง/นาที ความดันโลหิตต่ำกว่า 90/60 mmHg มีเหงื่อออก ตัวเย็น ปากซีด หายใจหอบเหนื่อย ให้รายงานแพทย์ทันที
3.ประเมินแผลผ่าตัดและสังเกตเลือดที่ซึมออกจากแผล และ ภาวะเลือดคั่ง
4.ดูแล Radivac drain ให้อยู่ในระบบปิดและบันทึกสารคัดหลั่งจากขวดระบาย
และแนะนำให้ญาติและผู้ป่วยสังเกตการทำงานของ Radivac drain
หากไม่มีแรงดูดให้รีบแจ้งพยาบาลเพื่อทำการเปลี่ยน Radivac drain
5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำ 5% D/N/2 1000 ml.
ทางหลอดเลือดดำ rate 80 ml/hr. ตามแผนการรักษา
การประเมินผล
ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี sedation score = 1 สัญญาณชีพของผู้ป่วยเป็นปกติ
ไม่มีเหงื่อออก ตัวเย็น ปากซีด
radivac drain เป็นระบบปิด
การผ่าตัดมะเร็งเต้านมมี 4 แบบ ดังนี้
1.Simple Mastectomy คือการตัดเฉพาะเต้านมออกโดยไม่มีการเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
วิธีนี้จะใช้เมื่อแน่ใจว่า มะเร็งอยู่เฉพาะที่ ไม่ได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
2.Modified Radical Mastectomy (MRM) คือการผ่าตัดเอาเต้านม และต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ออก
3.Modified Radical Mastectomy with Reconstruction คือการผ่าตัดเอาเต้านมออกด้วยวิธี Modified Radical Mastectomy แล้วยังมีการผ่าตัดย้ายกล้ามเนื้อจากบริเวณหลังหรือท้อง มาทำเป็นเต้านมและหัวนม เพื่อลดความรู้สึกของการสูญเสียความเป็นหญิง
4.Radical Mastectomy เป็นการผ่าเอาเต้านมพร้อมก้อนมะเร็งออก เลาะเอาก้อนน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
และตัดเอากล้ามเนื้อทรวงอก (Pectoralis Major และ Minor) ออก ปัจจุบันไม่นิยมทำ เนื่องจากมีผลแทรกซ้อนหลังผ่าตัดมาก จึงเลือกทำในรายที่มีแพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อทรวงอก
ผู้ป่วยมีแผลที่เต้านมด้านซ้าย
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 4
เสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อ เนื่องจากมีแผลผ่าตัดที่เต้านมด้านซ้าย
ข้อมูลสนับสนุน
O : ผู้ป่วยมีแผลผ่าตัด
เต้านมด้านซ้าย
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพ ทุกๆ 4 ชั่วโมง
โดยเฉพาะ อุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจ และสังเกตลักษณะบวม แดงรอบๆ แผล และสารคัดหลั่งที่ซึมจากแผล ประเมินอาการปวดแผลผ่าตัด
เพื่อประเมินอาการของการติดเชื้อของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
2.จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วย หรือแนะนำให้ญาติดูแลความสะอาดบริเวณบาดแผล ไม่ให้แผลโดนน้ำ ไม่แกะเกาแผล เปลี่ยนผ้าปูเตียงเมื่อสกปรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากสิ่งสกปรกเข้าสู่แผล
3.ดูแลให้ได้รับประทานอาหารที่ส่งเสริมการหายของแผล เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง
4.ติดตามผลตรวจทางห้องปฎิบัติการ ค่า WBC , Neutrophil , Lymphocyte
การประเมินผล
สัญญาณชีพของผู้ป่วยเป็นปกติ
ไม่มีสารคัดหลั่งไหลซึมจากแผล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 5
ผู้ป่วยไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด
ข้อมูลสนับสนุน
S:ผู้ป่วยบอกว่าปวดแผลผ่าตัด
O : ผู้ป่วยมีแผลผ่าตัด
เต้านมด้านซ้าย
-pain score = 6
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินอาการปวดของผู้ป่วยด้วย Pain score
และอาการแสดงเช่น สีหน้าท่าทางของผู้ป่วย
2.เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดระดับ 4-6 คะแนน ดูแลให้ได้รับ Paracetamol (500 mg) 1 เม็ด ทุกๆ 6 ชั่วโมง หรือเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวด สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการเหงื่อออก เบื่ออาหาร ทำให้เกิดการบาดเจ็บในตับ
เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดระดับ 7-6 คะแนน ดูแลให้ได้รับยาMorphine 2 mg
ทางหลอดเลือดดำ ทุกๆ 6 ชั่วโมง หรือเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวด สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น อัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไปจากปกติ เจ็บหน้าอก ง่วงซึมอย่างรุนแรง รู้สึกคล้ายจะหมดสติ รู้สึกอ่อนแรงหรือเหนื่อยล้ามากขึ้น
3.ช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันและให้การพยาบาลผู้ป่วยอย่างนุ่มนวล
เพื่อลดการกระทบหรือโดนบริเวณแผลของผู้ป่วย
4.ให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อลดการเหนื่อยล้า
ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ความทนต่อความเจ็บปวดลดลง
5.กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ (deep breathing exercise) โดยหายใจเข้าให้หน้าท้องพองขึ้น แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10-15 ครั้ง
เพื่อป้องกันภาวะปวดแผล
การประเมินผล
หลังผ่าตัด pain score = 10 คะแนน
หลังได้รับยา Morphine = 6 คะแนน
การตรวจแมมโมแกรม จะแปลผลเป็นศัพท์ทางการแพทย์ ที่เรียกว่า BI-RADS ซึ่งย่อมาจากคำว่า
Breast Imaging Reporting and Data System
โดยมีค่าความผิดปกติ แบ่งเป็น BI-RADS 1 – 5
BIRADS 1 หมายถึง ไม่พบสิ่งผิดปกติเลย ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมติดตามทุกปี
BIRADS 2 หมายถึง พบสิ่งผิดปกติ แต่เสี่ยงน้อยที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ควรตรวจติดตามทุกปี
BIRADS 3 หมายถึง พบสิ่งผิดปกติ แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า 2% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
ควรตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดทุก 6 เดือน
BIRADS 4 หมายถึง พบสิ่งผิดปกติ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมได้ 20-50% ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วยชิ้นเนื้อเพิ่มเติม
BIRADS 5 หมายถึง พบสิ่งผิดปกติ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมได้สูง ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วยชิ้นเนื้อเพิ่มเติม
Dx : CA left breast
พยาธิสภาพ
มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติระดับโมเลกุลของเซลล์ร่างกาย และมีขบวนการหรือขั้นตอนในการเกิดโรคหลายขั้นตอน
กว่าที่เซลล์ร่างกายปกติจะกลายไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ เรียกว่า multistep carcinogenesis มีขั้นตอนดังนี้
1.Tumor initiation
เป็นขั้นตอนแรกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรม(gene)ในเซลล์ร่างกายอย่างถาวร โดยถูกชักนำโดยปัจจัยทางกายภาพภายนอก
ทำให้เซลล์ร่างกายมีความผิดปกติในระดับโมเลกุลโดยอาจไปกระตุ้นยีนก่อมะเร็ง(oncogene)หรือยับยั้งการทำหน้าที่ของยีนต้านมะเร็ง(tumor suppressor gene) ทำให้เซลล์นั้นมีความผิดปกติในการเจริญเติบโตและแบ่งตัว
2.Tumor promotion step
ในระยะนี้เซลล์ที่มีความผิดปกติในระดับโมเลกุลมีการเพิ่มการเจริญเติบโตและแบ่งตัว ทำให้โครโมโซมและยีนที่มีความผิดปกติในระยะแรกมี ความผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆจนมีความผิดปกติทางพันธุกรรมมากถึงระดับ หนึ่งเซลล์นั้นก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
3.Conversion step
มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากเซลล์ธรรมดากลายเป็นเซลล์ระยะก่อนมะเร็ง (premalignant lesions) และกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
4.Tumor progression
เริ่มมีการแสดงคุณลักษณะของการเป็นเซลล์มะเร็ง คือมีการลุกลามไปยังอวัยวะ ข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังที่อื่นๆในร่างกาย (metastasis)
จาก 11 แบบแผนของกอร์ดอน
ผู้ป่วยมีปัญหาในแบบแผนที่ 10
แบบแผนด้านการปรับตัว
และความทนทานต่อความเครียด
ผู้ป่วยบอกว่า ตนไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อโรคมะเร็ง
คนในครอบครัวก็ไม่มีคนเป็นมะเร็ง
และบอกว่ากลัวการผ่าตัดเต้านม
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 6
ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและการสูญเสียภาพลักษณ์จากการตัดเต้านม
ข้อมูลสนับสนุน
S : ผู้ป่วยบอกว่า ตนไม่ได้มีพฤติกรรมสี่ยงที่ก่อโรคมะเร็ง แต่ทำไมถึงเป็นโรคมะเร็ง และกลัวการผ่าตัดเต้านม
O : - ผู้ป่วยมีสีหน้าวิตกกังวล
-ผู้ป่วยผ่าตัดเต้านมออก
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินความวิตกกังวลของผู้ป่วย โดยการสังเกตสีหน้าของผู้ป่วยขณะพูดคุย
พูดคุยทักทายผู้ป่วยทุกครั้งที่เข้าไปให้การพยาบาล ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร
2.อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงพยาธิสภาพของโรคและเหตุผลความจำเป็นในการผ่าตัดเต้านม โดยถ้าผู้ป่วยไม่รับการรักษาอาจทำให้ระยะของโรคมีการเปลี่ยนแปลงและก้อนที่เต้านมจะมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจทำให้เกิดแผลขึ้นได้ และโรคจะมีการกระจายไปยังอวัยวะต่างๆ
3.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสอบถามเกี่ยวกับการรักษาหรือระบายความรู้สึกวิตกกังวล
และรับฟังด้วยความตั้งใจ เพื่อลดความกดดันทางอารมณ์ของผู้ป่วย
4.แนะนำให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาผู้ป่วย เช่นการช่วยเหลือกิจวัตรประจำวัน
บางส่วนที่ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เพื่อเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและมีกำลังใจในการรักษาตัวต่อไป
5.พูดคุยและให้กำลังใจผู้ป่วยโดยการใช้คำพูดที่สุภาพ
เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย สบายใจ และมีกำลังใจมากขึ้น
6.แจ้งให้ผู้ป่วยทราบทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังการพยาบาล
เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติรับรู้ในการให้การพยาบาล
7.แนะนำให้ผู้ป่วยพูดคุยกับผู้ป่วยรายอื่นที่ได้รับการผ่าตัดเต้านมไปแล้ว
และประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูสภาพ
จากงานวิจัยเรื่อง ประสบการณ์การเผชิญปัญหาของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
ผลการวิจัย พบว่า 1.ปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการเจ็บป่วย
1) ระยะตรวจพบและรอฟังผล ส่วนใหญ่ ตกใจ กังวล กลัวว่าตนเองจะเป็นมะเร็ง
2) ระยะทราบผล มีทั้งปฏิเสธแยกตัว โกรธ ต่อรอง ซึมเศร้าและยอมรับ
3) ระยะอยู่กับความเจ็บป่วย จะแสวงหาความรู้มากขึ้นเครียดและกังวลน้อยลง
2.การปรับตัวหลังการเจ็บป่วย พบว่า
1) การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตหลังป่วยจะทำ งานน้อยลงแต่ดูแลตนเองมากขึ้น
2) ความคิดฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่ไม่คิด กลัวบาป
3) เหตุผลสำคัญของการมีชีวิตอยู่ คือ รักและห่วงใยครอบครัว
4) ความรู้สึกต่อตนเอง ส่วนใหญ่ หลังป่วยรู้สึกว่าชีวิตมีค่า และดูแลใส่ใจตนเองมากขึ้น
5) ความรู้สึกต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ส่วนใหญ่
คิดว่าตนยังมีคุณค่ามีประโยชน์ ยอมรับและพร้อมต่อสู้โรค
3.ภาวะสุขภาพจิตและการเผชิญปัญหา ส่วนใหญ่ มีภาวะสุขภาพจิตที่ดี
เมื่อเผชิญปัญหาก็จะปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากครอบครัว
(ศักดา ขำคม 2562 )