Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

PUP (peptic ulcer perforate), antrum, สรุปกรณีศึกษา ผู้ป่วยชายไทยวัยสูงอาย…

- - - - S:ผู้ป่วยบอกว่าปวดแผล pain scale 3 คะแนน
      - O:มีผ่าตัดExplor lap with resection gastrojejunostomy with lysis adhesion มาเเล้ว 6 วัน ขนาดแผล 2*7 เซนติเมตร แผลแห้งดีไม่มีdischarge ซึม ไม่บวมแดง
      - S:ผู้ป่วยบ่นครั่นเนื้อ ครั่นตัว
    - - ประเมินดูลักษณะบาดแผล ได้แก่ รอยบวมแดง แผลแยก มีลักษณะ discharge สีผิดปกติ เพื่อประเมินการติดเชื้อ
      - ทำแผลโดยยึดหลักปราศจากเชื้อทำแผลผ่าตัดแบบ dry dressing โดยใช้ สำลีชุบ NSS
        เช็ดบริเวณริมแผล วนจากด้านในออกด้านนอกรอบแผล ถ้ามีเลือดเปื้อนระหว่างรอยเย็บแผลเช็ดออกจนสะอาดแล้วจึงปิดแผล โดยทำแผลวันละ 1 ครั้ง
      - สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลบาดแผล ระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ ไม่ใช้มือหรือวัตถุสิ่งของถูกต้อง
        บริเวณบาดแผล เพราะอาจจะเป็นการเพิ่มเชื้อโรคสู่บาดแผล และอธิบายผู้ป่วยและญาติรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไป เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และจัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด
      - วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงประเมินภาวะติดเชื้อที่แผลโดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในช่วง 36.5-37.4 องศาเซลเชียส
      - ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา ได้แก่ยาAmoxicillin (500mg)มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รับประทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น หลังอาหาร เวลา08.00 และ17.00 นและเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาได้แก่ จุกเสียด แน่นท้อง ท้องเสีย
        ยาClarithromycin(500 mg) ใช้ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น เวลา 08.00 และ17.00 น หลังอาหาร และเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาได้แก่ ลมพิษ หายใจติดขัด บวมที่ใบหน้า
    - - ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด
    - - ลักษณะบาดแผล ไม่บวมแดง ไม่มีdischarge
      - ผู้ป่วยดูแลบาดแผลได้อย่างถูกต้อง
      - อุณหภูมิร่างกายปกติ 36.5-37.4 องศาเซลเชียส
    - - ผู้ป่วยสามารถดูแลบาดแผลได้อย่างถูกต้อง แผลมีลักษณะไม่บวมแดง ไม่มีdischarge ซึม อุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 36.6 องศาเซลเซียส
  - - - S:ผู้ป่วยบอกว่าอิ่มข้าวเร็วกว่าปกติ
      - S:ผู้ป่วยบอกว่ารับประทานอารไปซักพักแล้วรู้สึกแน่นท้อง
      - O:ผู้ป่วยรับประทานข้าวได้ลดลง
      - O:ได้รับการผ่าตัดนำลำไส้เล็กออก มาเเล้ว 6 วัน
    - - ไม่เกิดภาวะ Dumping syndrome
    - - 1.ไม่มีอาการแสดงของภาวะ Dumping syndrome ได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ตามด้วยเหงื่อแตก เวียนศีรษะ
        ใจสั่น
    - - 1.ให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงลักษณะการรับประทานอาหาร คือ ให้กินอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลงแต่กินให้บ่อยขึ้น และแนะนำว่าหลังรับประทานอาหารเสร็จให้นอนหัวสูงหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิด ภาวะ Dumping syndrome
      - 2.หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มี carbohydrate สูง โดยเฉพาะของเหลวและอย่าพยายามดื่มน้ำในขณะกินอาหาร อาการมักดีขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกหลังผ่าตัด
      - 3.ในกลุ่มที่เป็น Late dumping syndrome แนะนำให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร ให้รับประทานอาหาร carbohydrate น้อยลง ในแต่ละครั้ง แต่ให้รับประทานมื้อเล็กๆ ระหว่างมื้ออาหาร
      - 5.ดูแลให้สารอาหารและวิตามินทดแทน
      - 4.ประเมินอาการเเสดงของภาวะ Dumping syndromeได้แก่ ปวดท้อง อาเจียน ตามด้วยเหงื่อแตก เวียนศีรษะ ใจสั่น
    - - ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ดี หมดถาด แบ่งทานหลายๆมื้อ เเละดื่มน้ำในเเต่ละมื้อลดลง เเละไม่เกิด ภาวะ Dumping syndrome ได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ตามด้วยเหงื่อแตก เวียนศีรษะ ใจสั่น
  - - - S:ผู้ป่วยบอกว่าชอบซื้อยาแก้ปวดมารับประทานเอง เมื่อมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
      - S:ผู้ป่วยบอกว่ากลัวดูแลตนเองได้ไม่ถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
    - - มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเองที่ถูกต้อง
    - - สามารถบอกวิธีการดูแลตนเองได้ถูกต้อง 5 ใน 7 ข้อ
    - - 1.ประเมินความรู้ของผู้ป่วย
      - 3.ให้ผู้ป่วยบอกวิธีการดูแลตนเองย้อนกลับเมื่อต้องกลับไปดูแลตนเองที่บ้าน
      - การให้ความรู้ผู้ป่วยตามหลัก D-METHOD
        
        M=ให้คำเเนะนำไม่ให้ไปซื้อยาชุดแก้ปวดมารับประทานเอง และเเนะนำวิธีกินยา เเละผลข้างเคียงของยาที่ได้รับกลับไปรับประทานที่บ้าน ได้แก่ยา Omeprazole (20 mg) รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ2ครั้ง เช้าเย็นก่อนอาหารและเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาได้แก่ ท้องร่วง ปวดท้อง คลื่นไส้
        Amoxicillin (500mg) รับประทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น หลังอาหารและเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาได้แก่ จุกเสียด แน่นท้อง ท้องเสีย
        Clarithromycin รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น หลังอาหาร และเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาได้แก่ ลมพิษ หายใจติดขัด บวมที่ใบหน้า
        Paracetamol (500mg) รับประทานครั้งละ1เม็ดเมื่อมีอาหารปวด หรือมีไข้ และเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาได้แก่ ปัสสาวะเป็นเลือด มีผื่นคันเจ็บคอ
        
        E=แนะนำให้จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้ป่วย ให้อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ให้นอนอยู่ชั้นล่าง จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นบรรได เพื่อลดแรงดันในช่องท้อง
        
        T=ให้ความรู้กับผู้ป่วยเกี่ยวกับการรักษาที่ได้รับคือได้การผ่าตัดโดยนำเอากระเพาะอาหารส่วนล่างออกและนำกระเพาะอาหารส่วนบนไปเย็บต่อกับลำไส้เล็กส่วนกลาง ต้องไปล้างแผลที่โรงพยาบาลใกล้บบ้านทุกวันวันละ 1 ครั้ง
        
        H=แนะนำให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพของตนเอง ให้จัดความกับความเครียด อย่าพึ่งออกกำลังกายหนักๆ หรือใช้เเรงยกของหนักๆ
        
        O=แนะนำให้ไปตัดไหมตามนัดที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน และให้มาตรวจตามนัดที่หมอนัดมาดูแผล และให้สังเกตุอาการที่ควรมาก่อนนัดได้แก่ แผลมีอาการบวมเเดง หรือผู้ป่วยมีไข้
        
        D=แนะนำให้รับประทายอาหารอ่อนๆเช่ยปลานึ่ง ไข่ต้ม เพื่อส่งเสริมการหายของบาดแผล งดรับประทานอาหารรสจัด หรือของหมักของดองแนะนำให้รัลประทานผลไม้ที่มีวิตามินสูง แนะนำให้รับประทานมื้อละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง และหลังรับประทานอาหารให้นอนหัวสูงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะ Dumping syndrome
        
        D=ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระเพาะทะลุว่าจะมีอาการแสดงอย่างไร มีสาเหตุมากจากที่ผู้ป่วยมีพฤติกรรมในการซื้อยาชุดแก้ปวดมารับประทานเอง และสาเหตุที่อาจจะส่งผลให้เกิดกระเพาะอาหารทะลุได้ซ้ำคือความเครียด การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา โดยอาการแสดงก็คือ ปวดหน้าท้อง พบหน้าท้องเเข็งตึง กดเจ็บ อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หากรายที่มีการติดเชื้อร่วมด้วยก็จะมีไข้
    - - ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการดูเเลตนเองได้ถูกต้อง 6 ข้อ
- - - - ผู้ป่วยอยู่ในระยะที่ๅ1 เพราะมาด้วยอาการสำคัญคือรับ refer จากโรงพยาบาลวังม่วงด้วยอาการปวดท้องด้านขวา 1 ชั่วโมง ก่อนมาโรงพยาบาล
- - - - H.B. 12.7 g/dl ค่าปกติ 12-18 ต่ำ
        
        เนื่องมีการสูยเสียโลหิตจากแผลกระเพาะอาหารทะลุ
      - HCT 38.4 % ค่าปกติ 40-54 ต่ำ
      - NEUTROPHILS 86 % ค่าปกติ 55-75 สูง
        
        เนื่องจากมีกระเพาอาหารทะลุอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคที่เรีย