Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ม.3เรื่อง1วิธีการประวัติศาสตร์ - Coggle Diagram
ม.3เรื่อง1วิธีการประวัติศาสตร์
1.ประเภทของหลักฐาน
แบ่งตามความสำคัญ
2.หลักฐานชั้นรอง/ทุติยภูมิ
หลักฐานที่ผู้เขียนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นเช่น
หนังสือประวัติศาสตร์ สารานุกรม
1.หลักฐานชั้นต้น/ ปฐมภูมิ
จดหมายเหตุ
พงศาวดาร
โบราณสถาน
ภาพถ่าย
โบราณวัตถุ
เอกสารราชการ
แบ่งตามลักษณะของหลักฐาน
1.เป็นลายลักษณ์อักษร
(หลักฐานที่มีการบันทึกเป็นตัวหนังสือลงบนวัสดุที่คงทน)
1.จารึก
เกิดจากการเขียนรอยลึกเป็นตัวอักษรลงบนแผ่นศิลา
2.ตำนาน
เช่นตำนานมุลศาสนา ชินกาลมณีปกร์ ตำนาน
3.พระราชพงศาวดาร
บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์และอาณาจักร
4.จดหมายเหตุ
เป็นบันทึกเรื่องราวร่วมสมัยคือผู้บันทึกจดเรื่องราวนั้นในวันที่เกิดเหตุหรือวันที่ใกล้เคียง
5.เอกสารปกครอง
สารตราคือ
ศุภอักษร
ใบบอกคือ
6.งานเขียนทางประวัติศาสตร์
2.
**หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
(สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร)
4.คำบอกเล่า
เ่ช่น นิทาน สุภาษิต ปริศนาคำทาย ขนบธรรมเนียม ชีวประวัติบุคคลสำคัญ ประวัติสถานที่
5.โสตทัศน์
เช่นภาพถ่าย ฟิล์มสไลด์ แถบบันทึกเสียง
3.ดนตรี เพลงพื้นบ้าน นาฎศิลป์
2.ศิลปกรรม
สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม
1.โบราณวัตถุ
สิ่งของที่ผู้คนในสมัยก่อนสร้างขึ้นหรือเกิดขึ้นเองสามารถเคลื่อนย้ายได้
สมัยประวัติศาสตร์
1 more item...
ก่อนประวัติศาสตร์
1 more item...
โบราณสถาน
สิ่งก่อสร้างที่เป็นของเก่ามีอายุนานนับร้อยปีก่อสร้างโดยผู้คนในสมัยก่อนอยู่ติดกับพื้นดินไม่อาจเคลื่อนที่ไปได้เช่น วัดโบสถ์ เจดีย์ พระธาตุ พระปรางค์ ปราสาท อนุสาวรีย์ พระราชวัง
2.วิธีการทางประวัติศาสตร์ มี 5 ขั้นตอน
4.5การสังเคราะห์
4.1.กำหนดปัญหาที่จะศึกษา
ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไม อย่างไร
4.2การรวบรวมหลักฐาน
4.4การตีความ
ตีความด้วยใจเป็นกลาง ไม่ตีความเกินจริง ตีความตามยุคสมัยของหลักฐาน
คือ
การทำความเข้าใจ
ว่าหลักฐานนั้นให้
ข้อมูลอะไร และอธิบายข้อเท็จจริงว่าหมายความว่าอะไร
ลักษณะข้อมูลที่ได้จากการตีความ
3.
ความคิดเห็น
คือส่ิงที่เกิดจากประสบการณ์ ทัศนคติ ค่านิยม อารมณ์ มีหรือไม่มีหลักฐานก็ได้
2.
ข้อเท็จจริง
คือข้อมูลที่ได้จากหลักฐานที่
ยังไม่ได้ตรวจสอบว่
าเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จ ความคิด ความเชื่อ ต้องการหลักฐานมาพิสูจน์
1.
ความจริง
คือ สิ่งที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นที่ยอมรับ มีหลักฐานยืนยันแน่นอน
1.ข้ั้นต้น
ความรู้ที่ผู้ตีความควรมี
1.มีความรู้ทางภาษา
2.มีความเข้าใจสภาพแวดล้อม
3.มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องครบถ้วน
คือตีความตามตัวอักษร
ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น ใคร ทำอะไร ที่ไหน กับใคร เมื่อไหร่ อย่างไร
2.ขั้นลึก
เพื่อหาข้อมูลที่ผู้บันทึกไม่ได้บอกไว้ตรงๆ แอบแฝงไว้
4.3การตรวจสอบและประเมินหลักฐาน**
ภายใน
เพื่อ
พิจารณาสาระที่อยู่ในหลักฐาน
ว่าบอกเรื่องราวอะไร แตกต่างหรือเหมือนกับหลักฐานอื่นๆหรือไม่
ภายนอก
(จริง/ปลอม)
2.ผู้สร้างหรือเขียนหลักฐาน
ว่าใครเป็นผู้สร้าง ทำให้ตรวจสอบภุูมิหลังว่ามีความเกี่ยวข้อง มีใกล้ชิดกับเหตุการณ์ มีอคติหรือไม่
4.รูปเดิมของหลักฐาน
ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ใช่หลักฐานดั้งเดิมแต่มีการเปลี่ยนแปลง คัดลอกทำให้คลาดเคลื่อนได้ เช่นพระราชพงศาวดารที่มีการชำระ
1.อายุหลักฐาน
เพื่อให้ทราบว่าหลักฐานถูกสร้างเมื่อไร่ ทำให้ตีความสำนวนและเข้าใจสิ่งที่หลักฐานกล่าวถึงโดยอาศัยสภาพแวดล้อมในยุคนั้นมาประกอบ
3.จุดมุ่งหมายของหลักฐาน
เพื่อช่วยประเมินความน่าเชื่อถือ
3.ตย.การใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
ตยการวิเคราะห์เหตุการณ์ในสมัยรัตนโกสินทร์