Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ANC, Hx (ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดในปัจจุบัน, GA 36+6 by LMP, LMP : 2…

- - - - High of fundus: 3⁄4> o, 36 cms.
      - ส่วนนำและระดับของส่วนนา: vertex / HF
      - หลังของทารก: อยู่ด้านซ้าย ท่า LOA
      - การเข้าช่องเชิงกรานของส่วนนำ: HP
      - เสียงหัวใจทารก: 152 ครั้ง/นาที
      - การดิ้นของทารก: ดิ้น 2 ครั้ง ขณะทำการตรวจ
  - - - เริ่มมีประจำเดือน (Menarche) : เมื่ออายุ 12 ปี
        
        ระยะห่างของรอบประจำเดือน (Interval) : 30 วัน ระยะเวลา 5 วัน
        
        วิธีการคุมกำเนิดก่อนตั้งครรภ์ : ไม่เคยคุมกำเนิด
- - - - -
    - - สตรีตั้งครรภ์ G3P2-0-0-2 GA 36+6 wk by LMP
      - Hct ครั้งที่ 1 = 36.2%
      - สตรีตั้งครรภ์เป็นพาหะธาลัสซีเมีย DCIP :positive
      - Hct ครั้งที่ 2 = 34.1%
    - - การให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับ การรับประทานอาหาร ดังต่อไปนี้
        3.1 ปริมาณธาตุเหล็กที่ควรได้รับในแต่ ละวัน สาธิตและฝึกทักษะการคานวณสัดส่วน อาหาร และปริมาณธาตุเหล็กในอาหารท่ี รับประทาน
        3.2 การเลือกรับประทานอาหารที่มี ธาตุเหล็กสูง ดังตัวอย่างชนิดของอาหารที่มีธาตุ เหล็กสูง ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม อาหารท่ีมีสารไปขัดขวางการดูดซึมเหล็ก ได้แก่ สารประกอบฟอสเฟตในรูปของไวเทลลิน และเคซีนในไข่แดง นม และผักรสฝาดต่าง ๆ เช่น กระถิน ใบเมี่ยง สารประกอบแทนนินในน้าชา กาแฟ และสารไฟเตด พบมากใน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพด งา ซึ่งสารเหล่าน้ีสามารถจับกับเหล็กได้ดี และไม่สลายได้ง่าย ธาตุเหล็กจึงดูดซึมได้น้อยลง ดังนั้น จึงไม่ควรดื่มนม ชา กาแฟ พร้อมอาหารหรือ ยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก
        3.3 อาหารที่ส่งเสริมการดูดซึมธาตุ เหล็ก ได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น เน้ือวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ส่วนโปรตีนจากพืช ผักสีเขียว จะ ดูดซึมได้ต่ากว่า นอกจากนี้อาหารที่มีไขมันสูงทั้ง ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว และวิตามินซหรืออาหารที่มีวิตามินซีสูงจะทำให้ดูดซึมเหล็กได้มากขึ้น
      - 4.การติดตามเยี่ยมทางโทรศัพท์หรือ เยี่ยมบ้าน เพื่อติดตามและกระตุ้นเตือนการรับประทาน อาหารที่มีธาตุเหล็ก การรับประทานยาบารุงธาตุ เหล็กอย่างต่อเนื่อง สอบถามปัญหาและอุปสรรคที่ เกิดจากการปฏิบัติตัว รวมทั้งให้คำปรึกษาและ คำแนะนาตามสภาพปัญหาและความต้องการของ สตรีต้ังครรภ์ จะช่วยให้สตรีตั้งครรภ์เกิดแรงจูงใจ และมีความมั่นใจในการปฏิบัติตัวมากยิ่งขึ้น
      - 2.การให้ความรู้แก่สตรีต้ังครรภ์เป็น รายบุคคลหรือรายกลุ่ม เกี่ยวกับโรคโลหิตจางจาก การขาดธาตุเหล็ก สาเหตุ การประเมินภาวะโลหิต จาง ความรุนแรงของโรค ผลกระทบต่อมารดาและ ทารก การป้องกัน และการรักษา
      - 5. สนับสนุนให้ครอบครัวหรือสามีมี ส่วนร่วมในการดูแลช่วยเหลือสตรีตั้งครรภ์ใน การปฏิบัติตัวท่ีเหมาะสม เช่น จัดหาอาหารที่มี ธาตุเหล็กสูงมาให้รับประทาน กระตุ้นเตือน การรับประทานยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก เป็นต้น เนื่องจากครอบครัวหรือสามีเป็นบุคคลท่ีมีความ ใกล้ชิดกับหญิงตั้งครรภ์ มีความรักความผูกพัน การมีส่วนร่วมของครอบครัวหรือสามีจะทาให้เกิด ความเป็นเจ้าของ และทำให้ทราบข้อเท็จจริง สามารถนำมาวางแผนดูแลสุขภาพสตรีต้ังครรภ์ได้ อย่างเหมาะสม และยังช่วยให้สตรีตั้งครรภ์รู้สึก อบอุ่น มีกาลังใจที่จะปฏิบัติตัวอย่างต่อเนื่อง
      - ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะโลหิตจางได้แก่ ซีดโดยดูที่เยื่อบุตา ตาขาว ตรวจ capillary refill time <2 second เพื่อดูความผิดปกติ
      - 6. การให้ยาบำรุงธาตุเหล็ก ได้แก่ คือ เฟอร์รัสซัลเฟต (Ferrous sulfate ) 300 มิลลิกรัม วันละ 1-3 เม็ด รับประทานก่อนอาหาร ควร รับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง จะช่วย ให้การดูดซึมเหล็กดีขึ้น อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้อง กรณีมีอาการ ดังกล่าว ควรเลื่อนการรับประทานยาออกไปก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น โดยอาจเริ่มรับประทาน วันละ 1 เม็ด แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นไป
      - 7. วันละ 3 เม็ด ระหว่างการรับประทานยาเม็ดเสริม ธาตุเหล็ก อาจทาให้สตรีตั้งครรภ์บางคนมีอาการ ท้องผูก จึงควรดื่มน้ามาก ๆ ออกกาลังกายอย่าง สม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์
      - 8. การเสริมแรงทางบวกหรือการให้รางวัล เมื่อสตรีต้ังครรภ์สามารถดูแลตนเองให้ได้รับธาตุ เหล็กอย่างเพียงพอในแต่ละวัน โดยให้กาลังใจและ กล่าวชมเชยจะทาให้เกิดความรู้สึกที่ดี มีแรงจูงใจ ในการปฏิบัติตัวอย่างต่อเนื่อง
    - - เพื่อป้องกันการเกิดภาวะซีดในสตรีตั้งครรภ์
        
        เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์
  - - - หญิงตั้งครรภ์ G3P2 GA 36+6 wks by LMP
      - EDC : 9 เมษายน 2565 High of fundus : ¾ > ๏ , 36 cms
      - ส่วนนำของทารกและระดับของส่วนนำ : vertex , HF ท่า LOA
    - - 2.แนะนำการปฏิบัติตัวโนขณะตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3
        
        การมีเพศสัมพันธ์ โดยทั่วไปไม่มีข้อห้าม ยกเว้น มีเลือดออกทางช่องคลอด ครรภ์แฝด (ที่มีอายุ
        ครรภ์ มากกว่า 28 สัปดาห์ขึ้นไป) หรือกรณีติดเชื้อ เริม ซิฟิลิส
        
        การดูแลด้านโภชนาการ
        
        ตรมาสที่ 2 น้ำหนักควรเพิ่มประมาณ
        4-5 กิโลกรัม
        
        ไตรมาสที่ 3 น้ำหนักควรเพิ่มประมาณ 5-6 กิโลกรัม หรือครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์
        
        ไตรมาสแรกน้ำหนักควร เพิ่มขึ้น 1-1.5 กิโลกรัม บางรายอาจไม่เพิ่มเลย
        
        การแต่งกายควรสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายๆ หลวมๆ ไม่รัดรูป สวมรองเท้าสันเตี้ยฐานกว้างพอสมควรสวมใส่ สบาย
        
        แนะนำการนับลูกดิ้นเบื้องตัน
        
        นับหลังการ
        รับประทานอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ครั้งละ 1 ชั่วโมง แต่ละครั้งควรมากกว่า ๔ ครั้ง
        
        รวมทั้งวันทารกควรตื้น
        มากกว่า 10 ครั้ง/วัน หาก ทารกตื้นน้อยลง หรือน้อยกว่า 10 ครั้ง/วัน ควรมาพบแพทย์
        
        การสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ทันที
        
        มีอาการบวมร่วมกับปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกเสียดยอดอก
        
        มีเลือดหรือมีน้ำคร่ำออกทางช่องคลอด
        
        อาการอื่น เช่น ตกขาวและตัน ปัสสาวะแสบขัด คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น
        
        การทรงตัวและการบริหารร่างกาย
        
        ท่านั่ง
        
        ท่านอน
        
        ท่ายืน
        
        การเตรียมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆให้แข็งแรงพร้อมสำหรับการคลอด
        
        การบริหารกล้ามเนื้อสีข้าง
        
        การบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด อุ้งเชิงกรานและฝีเย็บ
        
        การบริหารกล้ามเนื้อต้นขา
        
        การบริหารกล้ามเนื้อหลัง หน้าท้อง สะโพกและต้นขาด้านหลัง
        
        การบริหารกล้ามเนื้อขา สะโพก และข้อเท้า
        
        การบริหารกล้ามเนื้อส่วนล่าง หน้าท้อง และอุ้งเชิงกราน
      - 1.ประเมินความรู้ความเข้าใจของหญิงตั้งครรภ์ในการปฏิบัติตนโดยการพูดคุย ชักถาม เพื่อนำความรู้
    - - หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 ได้ถูกต้อง
      - หญิงตั้งครรภ์สามารถบอกอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ได้ถูกต้อง
  - - - -
    - - หญิงตั้งครรภ์ G3P2 GA 36+6wks by LMP EDC: 9 เมษายน 2565 High of fundus: 3⁄4> o, 36 cms.
        ส่วนนำและระดับของส่วนนำ: vertex / HF หลังของทารกอยู่ด้านซ้าย ท่า LOA การเข้าช่องเชิงกรานของส่วนนำ: HP
    - - ประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ในไตรมาสที่3 เพื่อวางแผนการให้ความรู้แก่ผู้รับบริการได้อย่างเหมาะสม
      - แนะนําวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ ด้านการได้ยินด้านการได้ยิน (Auditory stimulation) เริ่มเมื่ออายุ 20 สัปดาห์ขึ้นไป การใช้เสียงเพื่อกระตุ้นระบบประสาทการได้ยิน แบ่งได้ 2 ชนิด ดังนี้
        
        การใช้เสียงของมารดาซึ่งเป็นอีกเสียงที่เป็นสิ่งแวดล้อมที่โดดเด่นสําหรับทารกในครรภ์ โดยให้มารดาพูดคุยกับทารกในครรภ์ และเล่านิทานให้ทารกในครรภ์ฟัง จะทําให้ทารกในครรภ์เคยชินกับเสียงของมารดาและเกิดความผูกพันกับมารดา และส่งเสริมให้ทารกในครรภ์สามารถพัฒนาสมองส่วนการได้ยินเป็นลําดับขั้นเพื่อเตรียมความพร้อมและความสามารถนําไปใช้งานได้เมื่อออกมาเผชิญกับสิ่งแวดล้อมภายนอก
        
        การใช้เสียงดนตรีแก่ทารกในครรภ์ในช่วงตั้งครรภ์24 สัปดาห์ขึ้นไป พบว่า เสียงดนตรีจะทําให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา เสริมสร้างอารมณ์ที่แจ่มใส และเลี้ยงง่ายหลังคลอด ร่าเริงไม่ร้องกวนเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับเสียงดนตรี และทารกมีพฤติกรรมสนใจต่อสิ่งรอบข้าง มีพัฒนาการด้านการได้ยิน และมีการพัฒนาทางด้านภาษาและการออกเสียงเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาหลังมื้ออาหารของมารดาเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการเสริมการได้ยิน เพราะเป็นช่วงที่ทารกรับรู้ได้ดีที่สุด
      - แนะนําวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ด้านการมองเห็น (Visualizing stimulation) เริ่มเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 24 สัปดาห์ขึ้นไป ด้วยการสร้างความสนใจ สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับทารกในครรภ์
        
        กระตุ้นพัฒนาการการมองเห็นโดยการการเคลื่อนไฟฉายจากซ้ายไปขวา หรือ การเปิด-ปิดไฟฉายเป็นจังหวะ โดยใช้แสงส่องที่หน้าท้องของมารดาเป็นเวลา 8 วินาที และปิดให้อยู่ในความมืด 16 วินาที และส่องไฟฉายห่างจากหน้าท้องประมาณ 1ฟุต การทํากิจกรรมควรกระทําตอนเมื่อทารกในครรภ์ดิ้น เพราะทําให้ทารกในครรภ์เกิดการเรียนรู้ได้ดี และพร้อมที่จะเล่นกับมารดา ขณะปฏิบัติกิจกรรมนี้ อาจจะพูดคุยกับทารกไปด้วยก็ได้ เช่น แม่จะส่องไฟที่ลูกนะ ลูกเห็นไหม ฯลฯ ขณะปฏิบัติควรอยู่ในห้องที่มืด โดยให้มีแต่แสงไฟฉาย ซึ่งจะทําให้ทารกเห็นแสงได้ดียิ่งขึ้น ควรปฏิบัติกิจกรรมเคลื่อนไฟฉายนี้โดยสม่ำเสมอเป็นประจำจนกระทั่งคลอด
      - แนะนําวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ด้านการรับความรู้สึก (Tactile stimulation) เริ่มตั้งแต่ อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไปด้วยแบ่งเป็น 5 วิธีดังนี้
        
        การลูบสัมผัส เพื่อให้ทารกเคยชินกับการสัมผัส และสงบ อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย และมีพัฒนาการด้านต่างๆสูงกว่าเกณฑ์ ด้วยการพูดคุย หรือร้องเพลงร่วมกับการลูบสัมผัสก็ได้ ถ้าอยู่ในบ้านให้เปิดหน้าท้องและเอามือลูบสัมผัสวนไปรอบๆ โดยเริ่มจากหัว–หลัง ก้น -ขาแขน หัวแล้ววนไปตามลําตัวช้าๆ กระทําจนกว่ามารดาจะพอใจ ถ้าอยู่นอกบ้านมีเวลาก็สามารถลูบสัมผัสทารกได้ตามที่ กล่าวแล้ว โดยสัมผัสนอกผ่านผ้า วิธีนี้มารดาจะต้องทราบว่าศีรษะของทารกในครรภ์อยู่ด้านใด ซึ่งสามารถทราบได้ด้วยการถามจากแพทย์ หรือพยาบาลที่ตรวจครรภ์
        
        สัมผัสกับทารกในครรภ์เป็นจังหวะ โดยการใช้มือมือตบลงเบาๆบนหน้าท้องมารดา ซึ่งเป็นบริเวณก้นของทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ทารกเกิดความอบอุ่นมั่นคง เคยชินกับพฤติกรรม สัมผัสเป็นจังหวะ เมื่อหลังคลอดได้รับการสัมผัสเช่นนี้อีก จะทําให้ทารกหยุดร้องกวนและสงบเร็วขึ้น
        
        สัมผัสน้ำอุ่นน้ำเย็น เพื่อพัฒนาเซลล์ประสาทส่วนรับความรู้ร้อนหนาว และปรับสภาพให้ทารกในครรภ์ชินกับความเย็นทีละน้อย เมื่อแรกคลอดทารกจะชินกับอุณหภูมิภายนอกที่เย็นกว่าในมดลูก ทําให้ไม่หนาวสั่น ด้วยการเรียกทารกก่อน เพื่อให้ทราบว่ามารดากําลังจะทําอะไร เช่น ลูกๆๆ นี่ แม่นะ เดี๋ยวลูกจะรู้สึกเย็น หน่อยนะจ๊ะ จากนั้นใช้ขวดพลาสติกมีฝาปิด ขนาด 240 ซีซีใส่น้ำ โดยเริ่มจากน้ำในก๊อกธรรมดา โดยใช้ส่วนของก้นขวดที่เป็นส่วนแคบวางก่อน โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที เริ่มเมื่อตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์ และถ้า 8 สัปดาห์ สุดท้ายใกล้คลอดให้ค่อยๆ เพิ่มความเย็น พร้อมกับเพิ่มเวลาการวางเป็น 3 – 5 นาที และยกขวดลง ความเย็นสูงสุดแค่มารดาทนได้เท่านั้น การวางต้องวางบริเวณส่วนหลังของทารก โดยให้คุณแม่สังเกตว่าทารกดิ้นทางไหนมาก หรือเตะทางไหนมาก ทางด้านตรงข้ามจะเป็นหลังของทารก
        
        ตบหน้าท้องเบา ๆ ขณะทารกในครรภ์ดิ้น เพื่อช่วยฝึกไหวพริบ สร้างการเรียนรู้และปรับตัว ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก ด้วยการเอามือตบเบาๆ เป็นจังหวะ 2 ครั้งลงบนก้นทารกขณะรู้สึกว่า
        ทารกดิ้น เพื่อเป็นการแสดงให้ทารกในครรภ์รู้ว่ามารดารับรู้การกระทําของทารกและให้ความสนใจ เป็นการฝึกให้มีการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไข และฝึกไหวพริบกับทารก วิธีนี้สามารถปฏิบัติได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ 28 สัปดาห์ เมื่อตั้งครรภ์32 สัปดาห์ก็เปลี่ยนวิธีการใหม่เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อีกลักษณะหนึ่งโดยให้เอา มือตบลงบริเวณก้นเบาๆ เป็นจังหวะ 2 ครั้ง แล้ว ให้ทารกเตะตอบดูบ้างเพื่อฝึกการปรับตัวในการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ที่อยู่รอบๆตัว ประสาทรับความรู้สึกของทารกก็จะพัฒนาได้ดียิ่งขึ้น
        
        ฉีดน้ำบริเวณหน้าท้อง เพื่อพัฒนาเซลล์ประสาทรับความรู้สึกร่วมกับการพัฒนาเซลล์ประสาทส่วนการเคลื่อนไหว การฉีดน้ำนี้จะปฏิบัติเมื่อเวลาอาบน้ำโดยใช้ฝักบัวเปิดน้ำแล้วฉีดลงบนบริเวณหน้าท้อง ทารกในครรภ์ก็จะคุ้นเคยกับสายน้ำที่ไปกระทบหน้าท้องของมารดาและเสียงของน้ำที่ดังซ่าตลอดเวลาที่ มารดาอาบน้ำ เมื่อขณะมารดาเบ่งคลอดถุงน้ำแตกหรือมีเสียงดัง ลักษณะนี้ทารกสามารถจะสงบ ไม่ตกใจและไม่ ร้องกวน สามารถปฏิบัติได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์28 สัปดาห์
      - แนะนําวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ด้านการเคลื่อนไหว เริ่มเมื่อตั้งครรภ์20 สัปดาห์เป็นการพัฒนาเซลล์ประสาทการทรงตัว ทําให้ทารกเกิดการเรียนรู้มีไหวพริบและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเองได้
        
        แนะนําผู้รับบริการกระตุ้นการเคลื่อนไหวด้วยการใช้วิธีนั่งเก้าอี้หมุนซ้าย – ขวาอาจจะมี เสียงเพลงเพราะๆ ขับกล่อมไปด้วย และพร้อมกับลูบสัมผัสหน้าท้องไปพร้อมๆ กันหรืออาจจะใช้การพูดคุยแทนเสียงเพลงพร้อมการลูบสัมผัสก็ได้แล้วแต่มารดาจะชอบเพื่อสร้างความเพลิดเพลินทําอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการพัฒนาการทรงตัวและการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของทารกให้มากยิ่งขึ้น
      - กระตุ้นให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ร่วมกับผู้รับบริการได้ และยังเป็น การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว
      - เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการสอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการกระตุ้นพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพื่อให้ ผู้รับบริการมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
    - - เพื่อให้ผู้รับบริการมีความรู้และปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการกระตุ้นพัฒนาการของทารกอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งคลอด
- - - - Negative
  - - - O+
    - - Non-Reactive
        
        Non-Reactive
    - - 78.2
        
        ผิดปกติ พบภาวะเสี่ยงต่อการเป็นธาลัสซีเมียและภาวะโลหิตจาง
    - - 36.2
        
        34.1
    - - 25.5
        
        ผิดปกติ พบภาวะเสี่ยงต่อการเป็นธาลัสซีเมียและภาวะโลหิตจาง
    - - Positive
        
        ผิดปกติ พบภาวะเสี่ยงต่อการเป็นธาลัสซีเมีย
    - - Negative
    - - Negative