Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Case study shock, image, image, image, image, image, image, image, image,…

- - - - 3.ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
      - 4.ดูแลให้ยา warfarin ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - 2.แนะนำและช่วยเหลือให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบายที่สุด
      - 5.บันทึกลักษณะอาการปวด ความรุนแรงและความถี่ของการปวดเพื่อให้การพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
      - 1.ประเมินอาการไม่สุขสบายจากอาการปวดท้องน้อยโดยใช้ pain score
  - - - 1.ประเมิน pain score และสัญญาณชีพทุก4.ชั่วโมงเพื่อประเมินอาการปวด
      - 2.ประเมินอาการ บวม ก่อน-หลังให้การพยาบาลพร้อมบันทึกว่าดีขึ้นหรือคงเดิมหรือไม่ดีขึ้นเพื่อให้การพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
      - 3.ลดการเคลื่อนไหว การเดิน
      - 4.แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงในการนั่งหย่อนขาไม่ควรนั่งไขว้ขา หรือนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานานให้ยืดเหยียดขาอยู่เสมอ จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น
  - - - 4.ติดตามผลการตรวจ Lab ต่างๆ
      - 3.ล้างมือทุกครั้ง ก่อน-หลังให้การพยาบาลหรือการสัมผัสกับ สารคัดหลั่งผู้ป่วย และให้การพยาบาลโดยใช้หลัก Aseptic Technique
      - 2.แนะนำให้ผู้ป่วย/ญาติรู้จักการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติด เชื้อในร่างกายด้วยตนเอง
      - 5.จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด เหมาะสมกับความเจ็บปวด กรณีมี ผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรง หรือ ภูมิคุ้มกันให้แยกไปอยู่ห้อง พื้นที่ เฉพาะ
      - 1.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
  - - - 2.ถ้า T > 38 ◦C ทำ Tepid Sponge
      - 3.ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ 8-10 ชั่วโมง
      - 1.ตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง หากผิดปกติรายงานแพทย์
      - 4.ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ 8-10 แก้วหรือ 2500-3000 ต่อวันเพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป
  - - - 3.ดูแลให้ออกซิเจนให้เพียงพอ O2 mask 8L ตามแผนการรักษา
      - 4.ตรวจดูบริเวณข้อต่อหรือรอยต่างๆ ทั้งที่เครื่องช่วยหายใจ ไม่ให้มีการหลุดรั่วหรือหลุดจากกัน
      - 2.ประเมินความรู้สึกตัว สังเกตุอาการกระสับกระส่าย สับสนของผู้ป่วย
      - 5.ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหายใจ
      - 1.สัญญานชีพ สังเกตุลักษณะหายใจและเสียงหายใจที่ผิดปกติ วัดอัตราการหายใจและวัดค่าความเข้มข้นออกซิเจนไม่ต่ำกว่า 92%
      - 6.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับเลือดตามแผนการรักษา ไม่มีอาการแพ้เลือดหรืออาการข้างเคียง
      - 7.ดูแลผู้ป่วยให้ได้รับยา Vitamin K
  - - - 1.ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวลเบามือ ระมัดระวังทารพยาบาลที่อาจเกิดอันตรายและเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก ได้แก่ การโกนขน การเจาะเลือด การฉีดยาเข้ากล้าม
      - 2.จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย หลีกเลี่ยงสาเหตุที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ได้แก่ การตกเตียง การกระทบกระแทก การถูกของมีคมซึ่งจะทำให้เกิดบาดแผลได้
      - 3.แนะนำการดูแลตนเอง ในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ได้แก่ การทำความสะอาดร่างกาย การแปรงฟันควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงนิ่มๆ ตลอดจนหลีกเลี่ยงไหมขัดฟัน
      - 4.เฝ้าระวังและแนะนำผู้ป่วยให้สังเกตอาการมีเลือดตามบริเวณต่างๆ ได้แก่ จ้ำเลือดใต้ผิวหนัง ตามตัว เลือดออกตามไร ฟัน เยื่อจมูก อาการเลือดออกที่อาจจะออกมากับอาเจียนปัสสาวะและอุจจาระ
  - - - สังเกตและซักถามอาการผู้ป่วย เช่น หอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเย็น เพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะซีด
      - ดูแลให้รับประทานยาบำรุงเลือด เพื่อช่วยให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดง
      - แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว เพราะธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบของโมโกบินในการสร้างเม็ดเลือดแดง
      - ประเมิน vital sing และระดับออกซิเจนในเลือดทุก 4 ชั่วโมง
      - ดูแลให้สารน้ำ NSS 3000 ml และ Fresh frozen plasma ตามแผนการรักษาของแพทย์
      - เจาะ HCT หลังให้เลือดหมด และติดตามผลเพื่อประเมินภาวะซีด
  - - - 1.จำกัดกิจกรรมให้พักผ่อนเต็มที่
      - 2.ให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว
      - 3.ให้ยาตามแผนการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหัวใจและสังเกตุและบันทึกอาการข้างเคียงของยา หากพบความผิดปกติให้รายงานแพทย์
      - 5.ให้ออกซิเจน 8 L ตามแผนการรักษา
      - 6.วัดสัญญานะชีพและNeuro sing ทุก15นาที4ครั้งทุก30นาที2ครั้ง
      - 7.ติดตามภาวะเลือดออกผิดปกติขณะให้ยา เช่น ตำแหน่งที่ทำหัตถการว่ามีรอยช้ำ หรือมีอาการแน่นหน้าอก
- - - - ความดันต่ำจากการทานยา Warfarin มีการทานยาและหยุดยาเป็นช่วง ๆ จึงทำให้มีลิ่มเลือดอุดตันหรือมีเส้นเลือดบางส่วนแตก จึงทำให้ผู้ป่วยมีความดันต่ำ
    - - เกิดจากการที่ระบบไหลเวียนโลหิตภายในร่างกายไม่สามารถนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของ่รางกายได้อย่างเพียงพอจึงทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
    - - เนื่องจากปริมาณการไหลเวียนในร่างกายลดลงทำให้ Hemoglobin ลำเลียง O2 ได้น้อยลง จึงทำให้การหายใจลดลง
  - - - จากการเสียเลือดของผู้ป่วย เลือดออกจากหัวใจลดลง ทำให้ค่า CVP ต่ำลง
    - - ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกที่หัวใจลดลง ร่างกายจึงเพิ่มความแรงในการบีบตัวของหัวใจและเพิ่มความเร็วในการเต้นของหัวใจเพื่อเพิ่มอัตราของโลหิตไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างเพียงพอ
    - - จากการรักษาที่ผ่านมาของผู้ป่วยจึงทำให้ผู้ป่วยมีภาวะเสียเลือดมาก จึงทำให้ Hemoglobin ของผู้ป่วยต่ำ
    - - ช็อคจากเกล็ดเลือดต่ำและผู้ป่วยได้รับยา FFP ในยา FFP มี Fribin ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
  - - - เส้นเลือดหดตัวจาก hypovolemic shock เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ส่วนปลายไม่ได้จึงมีอาการมือเท้าเย็น
    - - มีความดันต่ำ จากการถูกกระตุ้นของระบบประสาท sympathetic ทำให้มีการหดตัวของหลอดเลือดและต่อมเหงื่อ เมื่อผู้ป่วยมีอาการช็อกไปนานๆ ระบบประสาท sympathetic มากขึ้นทำให้ผิวหนังมีลักษณะเย็นและชื้น
    - - เป็นภาวะที่มีปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้ผลิตออกซิเจนได้น้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีอาการผิดปกติ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
    - - จากผล CT Scan ของผู้ป่วย พบว่ามีเลือดและของเหลวคั่งในไตและบริเวณรอบ ๆ เลือดไหลเวียนไม่สะดวกจึงทำให้ผู้ป่วยปวดท้อง
- - - - CT Abdomen:Hematoma surrounding at it.Kidney and fluid in the upper abdomen around pancrease
      - Vital signs
        
        MAP=56 mmHg
        
        RR:26 bpm
        
        O2 sat 40 %
      - ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ WBC 13.36 x 10 Hb 8.9 gm/dl, Hct 30.1%
    - - เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากการเสียเลือดหรือน้ำออกจากร่างกาย ทำให้สารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล และการไหลเวียนเลือดไม่เพียงพอซึ่งการเสียเลือดมีทั้งเสียเลือดภายนอกและภายใน
    - - Enoxaparin
      - Warfarin 10 mg/D
      - CT abdomen
      - On central venous catheter
      - NSS 3000 ml.
      - FFP 3 unit
      - Vit K 10 mg
- - - - ปริมาณเลือดที่หัวใจบีบตัวแต่ละครั้ง(stroke volume)ลดลง
        
        cardiac output ลดลง
        
        การไหลเวียนของเลือด และการกำซาบของเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ
        
        เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน