ชายไทย อายุ74 ปี

CC.รับrefer จากรพ.สฎ.ให้มาฉีดยาฆ่าเชื้อต่อ ปวดท้องเล็กน้อย ปวดทวารเล็กน้อย

PI.1เดือนท้องผูกสวนอุจจาระบ่อยครั้ง
7 วันสังเกตมีก้อนออกมาทางทวาร 4 วันก่อนมารู้สึกปวด บวมบริเวณก้น

DX.Urinary tract infection (UTI) ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

PH.HT,DM,DLP

DLP

Diabetes Melitus

ผลิตและหลั่ง Insuiin ได้ลดลง

มีการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ได้น้อยลง

ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
(hyperglycemai)

Astherosclerosis

Hypertension

หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตมีผนังหนา

เกิดการแข็งและตีบ

เลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ

การกรองของไตเสีย

ไตเสียหน้าที่

Urinary tract infection

มีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

แบคทีเรีย E.coli

เคลื่อนที่จากลำไส้มาปนเปื้อนบริเวณส่วนนอกของรูทวาร

เข้าสู่บริเวณช่องเปิดท่อปัสสาวะทำให้เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะและท่อไต

ไตทำงานได้ลดลง

ทำให้ปัสสาวะเป็นกรด ปัสสาวะเข้มข้น ทำให้ขับสาร urin ได้น้อยลง

เกิดการติดเชื้อ

เซลล์ไขมันมีปริมาณมาก

ปลดปล่อยกรดไขมันออกมามาก

เซลล์ตับผลิต VLDL มากขึ้น

ไขมันมาเกาะอุดตัหลอดเลือด

Hemorrhoid

มีผลให้ความดันในหลอดเลือดดำบริเวณปากทวาร

ไหลกลับเข้าสู่หลอดเลือดดำในช่องท้องช้าลง

โดยปกติหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเพื่อให้เลือดดำไหลกลับได้ทางเดียว

เมื่อการไหลของเลือดดำช้าลงประกอบกับความดันในช่องท้องสูง

เกิดการคั่งของหลอดเลือดดำบริเวณปากทวาร

หลอดเลือดดำโป่งพอง

ปวด บวม คัน บริเวณปากทวารหนัก

มีเลือดสดปนมากับอุจจาระ

อ่อนเพลีย ซีด

มีก้อน หรือ ติ่งเนื่อยื่นออกมาจากทวารหนักขณะขับถ่าย

ข้อที่1
มีภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเนื่องจากคาสายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน

  1. ประเมินสัญญาณชีพ อาการและอาการแสดงทุก4 ชั่วโมงโดยเฉพาะอุณหภูมิกายเพราะหากมีอุณหภูมิสูงอาจเกิดการติดเชื้อในร่างกาย
  2. ดูแลให้สายสวนปัสสาวะอยู่ในระบบปิดจัดตรึงสายไม่ให้พับงอเพื่อให้น้ำปัสสาวะไหลสะดวก
  3. ทำความสะอาดสายสวนปัสสาวะเช้า-เย็นและทุกครั้งหลังการขบัถ่าย
  4. ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะคือ Ceftriazone 2 gm Ⓥdripวันละ1ครั้ง เพื่อรักษาอาการติดเชื้อ
    ผลข้างเคียง ปวดแสบผิวหนังบริเวณที่ฉีด ปวดศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน
    5.ให้การพยาบาลด้วยเทคนิคปลอดเชื้อเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
  5. ติดตามผลการตรวจปัสสาวะ เพื่อประเมินการติดเชื้อหลังได้รับยาปฏิชีวนะ

ข้อที่2
ผู้ป่วยไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลHemorrhoid

1 ตรวจวัด v/s และระดับความปวด Pain score ทุก 4 ชม.
เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย

  1. ทำความสะอาดแผลวันละ 1 ครั้ง เพื่อส่งเสริมการหายของแผลและลดการติดเชื้อ
  2. ดูแลให้ยา Paracetamol 500 mg 2 tab o prn q 4 hr
    มีมีฤทธิ์ในการลดไข้ แก้ปวด ผลข้างเคียง คลื่นไส้ อาเจียน
    4.ให้ยาระบายชนิดอ่อนเพื่อให้ถ่ายอุจจาระง่ายสะดวกไม่ต้องเบ่ง
    5.แนะนำผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกากมากๆ เซ่น ผัก สด ผลไม้ ดื่มนํ้าไม่ตํ่ากว่าวันละ 3,000 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ถ้าไม่มีข้อห้าม ออกกำลังกายเพื่อช่วยการเคลื่อนไหวของลำไส้
    6.สร้างสัมพันธภาพและให้การดูแลช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น
    ช่วยพยุงในการเดิน การพลิ้กตัว เพื่อให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมต่างๆ
    นอกจากเป็นการกระตุ้นผู้ป่วยเคลื่อนที่ไปมาและยังเป็นการช่วย Support
    ผู้ป่วยทางจิตใจด้วย

ข้อที่3
มีภาวะ Hyperglycemai เนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูง

1.ตรวจวัด V/S และ DTX ทุก 4 ชั่วโมง
เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยและระดับน้ำตาลในเลือด
2.สังเกตอาการและบันทึกอาการเกี่ยวกับระดับความรู้สึกตัวและภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่
ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
คลื่นไส้อาเจียน หอบ ความรู้สึกตัวลดลง หมดสติ
3.ดูแลให้ Regular Insulin 8 u sc. start
เพื่อลดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
4.ติดตามผลระดับน้ำตาลในเลือด
เพื่อประเมินภาวะน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ
5.แนะนำผู้ป่วยให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล เช่น
น้ำอัดลม ขนมหวาน
และรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น
ผักใบเขียว เพื่อควบคุมระดับน้ำตาล
ให้ได้รับสารอาหารเพึ่ยงพอ
แต่ไม่เกินความต้องการของร่างกาย

ผู้ป่วยเป็นอัมพฤกช่วงล่าง

ข้อที่4
เกิดแผลกดทับเนื่องจาก
เคลื่อนไหวร่างกายได้ลดลง

1.ดูแลพลิกตะแคงตัว และเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมง ในรายที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้โดยจัดให้ตะแคงซ้าย ตะแคงขวา นอนหงาย นอนคว่า กึ่งตะแคงสลับกัน ไปตามความเหมาะสม ควรใช้หมอนรองหรือผา้นุ่มๆรองบริเวณที่กดทับหรือปุ่มกระดูกเพื่อป้องกันการเสียดสีและลดแรงกดทบ
2.ทำความสะอาดแผล ใช้สำลีชุบน้ำเกลือปราศจากเชื้อ เช็ดทำความสะอาดแผลอย่างเบามือ โ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างการหายของแผล
3.ดูแลทำความสะอาดผิวหนังใช้น้ำอุณหภูมิปกติหลีกเลี่ยงการใชน้ำอุ่น ในผู้สูงอายุที่มีผิวหนังบางฉีกขาดง่ายไม่ควรเช็ดตัวแรง และทำความสะอาดผวิหนังด้วยความนุ่มนวล
4.ดูแลใช้โลชั่นหรือสารให้ความชุ่มชื้นผิวหนังสารที่มีคุณสมบัติเคลือบผิวหนังเพื่อป้องกันการสัมผัสกับความเปียกชื้น
5.ดูแลที่นอน ผ้าปูที่นอนให้สะอาด แห้ง เรียบตึงอยู่สมอ
6.ใช้ผ้ารองยกในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเสียดสี
7.ดูแลผิวหนังผู้ป่วยให้สะอาดและแหง้ไม่อับชื้น เพราะถ้าผิวหนังเปียกชื้นหรือร้อนจะทำให้เกิด แผลเปื่อยผิวหนังถลอกง่าย

  1. ดูแลและแนะนำญาติให้สังเกตการ ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระของผู้ป่วย หากขับถ่าย ให้ดูแลเช็ดทำความสะอาดผิวหนังและเปลี่ยนแผ่นรองซับทันทีหลังการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะหรืออย่างช้าไม่เกิน 30 นาท
    9.อธิบายให้คำแนะนำรวมทั้งให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยและญาติให้ตระหนักถึงความสำคัญของการพลิกตะแคงตัวและการทำแผล
    1. ประเมินรอยแดงตามร่างกายและลงบันทึกทุกวันในแบบบนั ทึกทางการพยาบาล
    2. เขียนลงในแบบบันทึกทางการพยาบาลทุกครั้งที่พบแผลใหม่และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของ
      แผล ให้บันทึกวัน เดือนปีตำแหน่งที่เกิดแผล ระดับ ขนาดของแผลกดทับ ลักษณะและปริมาณสาร
      คัดหลั่งจากแผลลงในแบบบันทึกทางการพยาบาลรายงานแพทย์ทันทีหากพบการเปลี่ยนแปลง

ข้อที่5
เสี่ยงต่อภาวะซีด

1.ประเมินภาวะทั่วไปที่แสดงถึงอาการซีด เช่น เยื่อบุตาซีด ลิ้น ฝ่ามือ capillary refill > 2 วินาที เพื่อประเมินระดับความซีด
2.แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ ตับ เลือด เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง
3.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Hb,Hct,RBC ตามแผนการรักษาและติดจามภาวะทั้วไปที่แสดงถึงภาวะซีดของผู้ป่วยเพื่อให้การพยาบาลที่เหมาะสม

ข้อที่6
มีภาวะท้องผูกเนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายลดลง

1.ประเมินการถ่ายอุจจาระทุกวันเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของภาวะท้องผูก
2.ขออนุญาตผู้ป่วย/ให้เหตุผลก่อนให้การพยาบาล

  1. กระตุ้นให้ดื่มน้ำมากๆ 2000 -3000 cc/day แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ฯลฯเพื่อเสริมสร้างการขับถ่าย
    4.กระตุ้นให้มีการทำกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้น
  2. สังเกต บันทึกลักษณะ และระยะเวลาในการขับถ่าย
    6.ให้คำแนะนำ และการปฎิบัติเพื่อแก้ไขป้องกันภาวะท้องผูก
  3. แนะนำขจัดความเครียดเพื่อให้ร่างกายปรับสมดุล
  4. รายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาให้ยาระบายหรือสวนอุจจาระหากให้การพยาบาลแล้วยังไม่ดีขึ้น
  5. ประเมิน พร้อมบันทึกข้อมูลหลังให้การพยาบาลทุกเวร
    10.ประเมินการเสี่ยงต่อ/ภาวะท้องผูก หลังให้การพยาบาลพร้อมบันทึกทุกเวร พบว่า ดีขึ้น/คงเดิม/ ไม่ดีขึ้น

ข้อที่8
นอนไม่หลับเนื่องจากมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย

1.ประเมินระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยโดยใช้แบบประเมินความวิตกกังวล
2.ขออนุญาตผู้ป่วย/ให้เหตุผลก่อนให้การพยาบาล

  1. ให้คำปรึกษากับผู้ป่วยและครอบครัวให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการรักษาและพร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับโรค
  2. แนะนำการเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกหายใจ การทำจิตใจให้สงบ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ไหว้พระ สวดมนต์
    5.ใช้เทคนิคการพยาบาลช่วยปรับเปลี่ยนความคิด และการรับรู้ที่มีต่อปัญหาให้เป็นเชิงบวก
    6.ให้ผู้ป่วยได้พูดคุย ระบายความรู้สึกเกี่ยวกับประสบการณ์การปรับตัวของผู้ป่วยในอดีต
    7.กระตุ้นให้ญาติมีส่วนร่วมในการให้กำลังใจ/กิจกรรมต่างๆของผู้ป่วย พร้อมทั้งส่งเสริม ช่วยเหลือผู้ป่วยในการปฏิบัติตัว
    8.ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วยพักผ่อน ลดสิ่งรบกวนต่างๆ
    9.รายงานแพทย์ในกรณีผู้ป่วยวิตกกังวลเพิ่มขึ้นหรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเพิ่มเติม
    10 ประเมินความวิตกกังวล หลังให้การพยาบาลพร้อมบันทึกทุกเวรพบว่า ดีขึ้น/คงเดิม/ไม่ดีขึ้น

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
อาจเกิดจากการใส่สายสวนปัสสาวะ การส่องกล้องทางท่อ
ปัสสาวะ ถ่ายปัสสาวะไม่หมด มีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ มีการ
อักเสบของเยื่อบุท่อไต โรคเบาหวาน

งานวิจัย

279392544_3191959851039095_7143213737700443798_n

280017514_984307555779674_1166711724300088975_n

ความรู้ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชุมชนหนองทราย
อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
การวิจัยคร้ังน้ีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชุมชนหนองทราย อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นการวิจัยเชิงสํารวจแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Survey Research) กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้เป็นประชากรผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งหมดของ ชุมชนหนองทราย อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จํานวน 17 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ระดับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และ พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัธยฐาน และพิสัย
ผลการวิจัย พบว่า ระดับความรู้เก่ียวกับโรคเบาหวานของผู้ป่วยโรคเบาหวานชุมชนหนองทราย อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาส่วนใหญ่มีระดับความรู้อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 58.8 (มัธยฐาน =16.0, พิสัย=6.0) และมีระดับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 94.1 (มัธยฐาน=102.0, พิสัย=26.0)
คําสําคัญ: ความรู้, พฤติกรรมการดูแลตนเอง, ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
กรมควบคุมโรค. (2562). เตือนประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว ระวังป่วย
โรคเบาหวาน [online]. สืบค้น 25 ตุลาคม 2563, จาก https://pr.moph.go.th.

Preventing Catheter-Associated Urinary Tract Infections with Incontinence Management Alternatives: PureWick and Condom Catheter
Catheter-associated urinary tract infections (CAUTI) have a high financial and human impact on patients and society at large, making CAUTI prevention strategies essential. A shift has occurred where nurses play an increased role in infection prevention. Nurses promote staff and patient education on CAUTI prevention, identification of appropriate urinary incontinence management, and implementation of bundles and patient care strategies to minimize complications from urinary incontinence management. Because they understand the severity of CAUTI and current recommendations, nurses at the bedside are in the best position to identify appropriate indications of indwelling urinary catheters and external urine collection devices for patients.


Keywords: CAUTI prevention; Condom catheter; PureWick; Use of external urinary collection devices.

oy

ดาวน์โหลด

ข้อที่7
มีภาวะพร่องสุข
วิทยาส่วนบุคคล เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตร
ประจำวันได้

  1. ประเมินการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันโดยใช้เครื่องมือ Bathel ADL Index
  2. แนะนำผู้ป่วยและสอนญาติดูแลในด้านการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยการลุกนั่ง และการเสริมสร้างทักษะและการกระตุ้น
    ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
  3. ดูแลแบบแผนการขับถ่ายของผู้ป่วย
    สอนวิธีการควบคุมการขับถ่ายทั้งถ่ายปัสสาวะและ
    อุจจาระแนะนำญาติให้ดูแลความสะอาด ความสุข
    สบายหลังผู้ป่วยขับถ่าย
  4. ดูแลแบบแผนการพักผ่อนและการ
    นอนหลับของผู้ป่วย แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนอย่าง
    เพียงพอแนะนำให้จัดหาที่นอนที่นิ่มและจัดสถานที่
    ให้ผู้ป่วยนอนในที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก