Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยชายไทย อายุ 72 ปี image - Coggle Diagram

- - - - อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
        Streptococcus หรือ Staphylococcus
        
        เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ผิวหนัง
        ชั้น Dermis และ Subcutaneous
        
        เชื้อแบคทีเรียมีการเพิ่มจํานวนมากขึ้น
        
        เกิดการปล่อยเอนไซม์ที่เป็นพิษออกมาทำลายเนื้อเยื่อ
        
        เกิดการอักเสบ
        
        ทําให้เกิดอาการปวด บวม แดง
        
        1 more item...
  - - - จ้ำเลือดขนาดใหญ่มากกว่า 1 เซนติเมตร
        
        เกิดจากเส้นเลือดฝอยจำนวนมากแตก
        
        ทำให้มีเลือดสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง
        
        ภายใน 1-2 ชั่วโมงจะค่อยๆสลายตัว
        แล้วมาคั่งรวมกันบริเวณใดบริเวณหนึ่ง
        
        ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นรอยจ้ำเลือดสีคล้ำ
        
        ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3
        เสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากมีจ้ำเลือดบริเวณขาซ้าย
        
        5 more items...
        
        ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 6
        ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วย
        
        5 more items...
        
        แพทย์สั่ง Refer โรงพยาบาลสุราษฏร์ธานี
        เพื่อ R/O DVT Lt leg
        
        1 more item...
- - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S:
        
        ผู้ป่วยบอกว่า “อ่อนเพลีย”
        
        ผู้ป่วยบอกว่า “รับประทานอาหารมื้อละ 3-4 คำ”
        
        O :
        
        HGB = 8.4 g/dl
        
        HCT = 25.3 %
        
        RBC = 286,000 cell/ml
      - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอาการอ่อนเพลีย และสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการอ่อนเพลีย และสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น
        
        HGB อยู่ในระดับปกติ คือ 13-18 g/dl
        
        HCT อยู่ในระดับปกติ คือ 40-54 %
        
        RBC อยู่ในระดับปกติ คือ 450,000-600,000 cell/ml
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ PRC 2 unit IV in 4 hr.
        
        ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะซีด เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หายใจตื้น หอบ เหนื่อยง่าย หน้ามืด เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ซีดตามปลายมือปลายเท้าและเยื่อบุตา
        
        ดูแลประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจ
        
        แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ เครื่องในสัตว์ หอยนางรม เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา อาหารทะเล ถั่วแดง นม ไข่ ธัญพืช ลูกเกด และผักใบเขียว เป็นต้น
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดการใช้ออกซิเจนภายในเซลล์ของร่างกาย
        
        ติดตามผล HGB , HCT และ RBC ทางห้องปฏิบัติการ
      - ประเมินผล
        
        10/05/65
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการอ่อนเพลียและสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น
        
        Conjunctiva สีชมพูปกติ ไม่ซีด
        
        Capillary refill น้อยกว่า 3 วินาที
        
        HGB = 8.6 g/dl
        
        HCT = 25.6 %
        
        RBC = 292,000 cell/ml
        
        11/05/65
        **บรรลุตามวัตถุประสงค์
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการอ่อนเพลียและสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น
        
        Conjunctiva สีชมพูปกติ ไม่ซีด
        
        Capillary refill น้อยกว่า 3 วินาที
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        O :
        
        Sodium = 128 mmol/l
      - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก จากภาวะ Hyponatremia
        
        เพื่อป้องกันอันตรายจากการเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก
        
        Sodium อยู่ในระดับปกติ คือ 136-145 mmol/l
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Hyponatremia เช่น มีอาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้อกระตุก กล้ามเนื้ออ่อนล้าหมดแรง ซึมลง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
        
        สังเกตผลต่อสมอง เพราะสมองไวต่อภาวะโซเดียมต่ำมาก และถ้าปล่อยไว้อาจถึงแก่ชีวิตได้ เพราะพอโซเดียมในเลือดต่ำ น้ำส่วนเกินจะเข้าสู่เซลล์สมอง ทำให้เซลล์บวม
        ซึ่งอันตรายมาก ต้องรีบรายงานแพทย์โดยเร็วที่สุด
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ 0.9% NaCl 1000 ml. IV rate 60 ml/hr
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยจำกัดปริมาณโซเดียม ควรบริโภคเกลือแกงไม่เกิน 6 กรัมต่อวัน หรือ 1 ช้อนชาต่อวัน (ไม่ควรเกิน 1 ช้อนชา หรือ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน)
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้
        
        แนะนำให้ผู้ป่วยจำกัดปริมาณน้ำดื่ม ถ้าดื่มน้ำเยอะๆอาจทำโซเดียมในกระแสเลือดเจือจาง จนระดับโซเดียมลดลง จากดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ถ้ารู้ตัวว่าเป็น hyponatremia
        แนะนำให้เปลี่ยนเป็นดื่มน้ำ 1-1.5 ลิตรแทน
        
        หากออกแรงเยอะ แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ เพื่อช่วยทดแทนเกลือโซเดียมที่เสียไปจากกระแสเลือด
        
        บันทึกสารน้ำเข้า-ออก (Intake-Output)
        
        ติดตามผล Sodium ทางห้องปฏิบัติการ
      - ประเมินผล
        
        10/05/65
        
        ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก สามารถทรงตัวได้ดี
        
        ไม่มีผลตรวจ Sodium
        
        11/05/65
        **บรรลุตามวัตถุประสงค์
        
        ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก สามารถทรงตัวได้ดี
        
        ไม่มีผลตรวจ Sodium