Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Atrial Septal Defect (ASD) - Coggle Diagram

- - - - ครอบครัวมารดามีประวัติเป็นโรคหัวใจ
        
        แรกคลอดอายุครรภ์ครบกำหนด น้ำหนักแรกคลอด 2,300 กรัม มีประวัติเข้าตู้อบ 15 วันหลังคลอด
        
        แรกคลอดตรวจไม่พบโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
        
        อายุ 5เดือน มีอาการหายใจเหนื่อย ดื่มนมไม่ได้ ญาติจึงนำมาส่งโรงพยาบาลแพทย์วินิจฉัยเป็นโรค Atrial Septal Defect (ASD) ไม่ได้ทำการรักษาใดๆ
        
        อายุ 1ปี 2เดือน แพทย์แนะนำให้ทำการสวนหัวใจ
        
        อายุ 7 ขวบ เล่นกับเพื่อน มีอาการหายใจไม่ทัน ญาติจึงนำมาส่งโรงพยาบาลเชียงคำ Referโรงพยาบาลพะเยา Refer โรงพยาบาลมหาราช แพทย์แนะนำให้ทำการผ่าตัดปิดผนังหัวใจรั่ว แพทย์จึงนัดมาผ่าตัดวันที่ 3 พฤษภาคม 2565
        
        1 more item...
- - - - ภาวะเลือดเป็นกรด(preexisting metabolic acidosis)
      - ภาวะโปแทสเซียมในเลือดสูง(Hyperkalemia)
      - ภาวะหลังจากการทำ CPR แล้วยังไม่ดีขึ้น -ระบบการไหลเวียนล้มเหลว เกิดภาวะเลือดเป็นกรด
    - - Belching (เรอ)
        
        ท้องอืด
        
        Edema
        
        Cerebral hemorrhage
        
        Pulmonary edema
    - - pH
      - serum Na : 135-147 mEq/L (Overdose : Hypernatremia > 150 mEq/L
  - - - สำหรับควบคุมอาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดจากการใช้ยาเคมีบําบัด
      - สำหรับป้องกันและรักษาอาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัด
    - - ระบบประสาทส่วนกลาง : ปวดศีรษะ ไม่สบายกาย ง่วงซึม มึนงง นอนไม่หลับ
      - ระบบทางเดินอาหาร : ท้องเสีย ท้องผูก อาหารไม่ย่อย แสบยอดอก
      - ระบบผิวหนัง : ผื่นคัน มีอาการคัน ปวด บวมแดง แสบร้อนบริเวณฉีด
      - ระบบหัวใจและหลอดเลือด : ความดันโลหิตต่ำ ความดันโลหิตสูง
  - - - ตัวยาเป็นหมู่เกลือแร่ที่มีประจุไฟฟ้า พบในของเหลวที่อยู่ในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ และมีหน้าที่ดังนี้
      - นำกระแสประสาทในหัวใจ สมอง กล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อเรียบ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อต่างๆมี การหดตัว
      - ช่วยให้ไตทำงานได้ตามปกติ
      - เป็นเกลือแร่ที่ทำให้เกิดความสมดุลของภาวะความเป็นกรด – ด่างของร่างกาย
      - เป็นปัจจัยในกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต
      - เป็นตัวกำหนดควบคุมการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จากหน้าที่ของเกลือแร่โพแทสเซียมที่กล่าวมาทั้งหมด เมื่อร่างกายได้รับปริมาณเกลือแร่โพแทสเซียมที่ พอดีและเหมาะสม จะทำให้กลไกระบบการทำงานของอวัยวะและ ของกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
    - - อาการทางคลินิกที่สำคัญของผู้ป่วยที่มีภาวะโพแตสเซี่ยมในร่างกายต่ำได้แก่ อ่อนเพลีย เป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ (EKG แสดง sagging ST segments, depression ของ T wavesและ Elevated U waves)
    - - ระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal ) มีอาการ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ยาในรูปแบบกินมักเกิดอาการอาเจียน
      - ระบบหลอดเลือดและหัวใจ พบอาการ Bradycardia
      - Endocrine & Metabolic system : Hyperkalemia
      - ตำแหน่งที่ฉีดยา อาจมีอาการเน่าของเนื้อเยื่อบริเวณที่ฉีดหากเกิดการรั่วของยาและปวดบริเวณที่ฉีดยา
      - ระบบ Neuromuscular & skeletal : มีอาการอ่อนเพลีย/อ่อนแรง (Weakness)
      - ระบบทางเดินหายใจ : หายใจลำบาก (Dyspnea)
    - - ระดับ serum potassium ให้อยู่ในระดับปกติคือ 3.5 - 5.0 mEq/L
      - EKG เมื่อให้อัตราเร็วมากกว่า 10 mEq/hr หากพบ Tall peaked T waves, depression ST segment, wide QRS complex, absent of P wave, Venticular tachycardia หรือภาวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้องตามแพทย์
      - Glucose
      - อาการแสดงว่ามีโปแตสเซียมในเลือดสูง ได้แก่ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด หัวใจเต้น ช้า
      - ค่า pH ของเลือด
      - Intake and output
      - หากเกิดภาวะไตบกพร่องขึ้นระหว่างการบริหารยาซึ่งทราบได้จาก ระดับ BUN และ Creatinine ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จะต้องหยุดการบริหารยาฉีด โปแตสเซียม คลอไรด์ทันที
  - - - การทานยาพาราเซตามอลนานๆ อาจจะส่งผลต่อตับและไต ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาด เช่น
        
        • คลื่นไส้ อาเจียน
        
        • มีอาการเหงื่อออก
        
        • เบื่ออาหาร
        
        • ทำให้เกิดการบาดเจ็บในตับ
        
        • เกิดอาการสมองเสื่อมจากโรคตับได้
  - - - -โรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ
        
        -โรคติดเชื้อของ ผิวหนังเนื่อเยื่ออ่อน
        
        -โรคติดเชื้อของทางเดินอาหารเช่น ท่อน้ำดีและถุงน้า ดีโรค ติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์
        
        -โรคติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด
        
        -โรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น โลหิตเป็นพิษ เยื่อบุหัวใจอักเสบ ไขกระดูกอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบและการติดเชื้อหลังคลอด
  - - - serum magnesium , urine output > 100 ml/ 4 hr
      - check RR, HR, BP ทุก 4 ชั่วโมง (กรณีให้ขนาดยาสูงกว่า 1 gm/hr ให้ติดตามทุก 15 นาที 2 ครั้ง ต่อไปทุก 1 ชั่วโมง)
      - ตรวจ Deep tendon reflex โดยดู knee jerks reflex ทุก 4 ชั่วโมง
      - เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพ รวมทั้ง Antidote(Calcium gluconate)
    - - -RR<14 ครั้ง/นาที, HR<60 bpm
      - -urine output น้อยกว่า 100 ml/4 hr
      - -BP < 90/60
      - -ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
      - deep tendon reflex เสียไป
      - มีอาการแสดงบ่งว่าระดับแมกนีเซียมสูงเกินไปหรือ serum Mg > 2.5 mg/dl
- - - - เพื่อคงไว้ซึ่งสารน้ำและอิเลคโตไลต์ในร่างกาย
    - - ปริมาณสารน้ำที่เข้าร่างกายเท่ากับหรือน้อยกว่าที่ออกจากร่างกาย
      - ไม่มีอาการบวมของผิวหนังบริเวณเปลือกตา แขน ขา ไม่ตึง
      - ไม่มีอาการของเสียสมดุลอิเลคโตรไลต์ในร่างกาย ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องอืด ซึมลง ชัก
    - - เฝ้าระวังสังเกตและบันทึกอาการบวมบริเวณเปลือกตา แขน ขา ทุก 4 ชั่วโมง
      - ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ ครบถ้วนตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ (ปริมาณสารน้ำ 100 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน )
      - จดบันทึกจำนวนสารน้ำที่ได้รับและจำนวนปัสสาวะ อย่างครบถ้วนทุก 8 ชั่วโมง (I/O)
      - เฝ้าสังเกตภาวะเสียสมดุลของอิเลคโตรไลต์ได้แก่กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องอืด จากภาวะโปตัสเซียมต่ำลง หรือ ซึมลง ชัก จากภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ
      - ชั่งน้ำหนักทุกวันในเวลาเดียวกัน
  - - - เนื้อเยื่อของร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอ
    - - ไม่เหนื่อยหอบ ไม่ต้องใช้กล้ามเนื้อพิเศษช่วยในการหายใจ ไม่มีเสียง Stridor ขณะหายใจเข้าออก สัญญาณชีพมีค่าปกติตามวัย
      - ค่าอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง มากกว่าเท่ากับ 95%
    - - 1.ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง ระดับความรู้สติ จังหวะการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 1-4 ชั่วโมง ถ้าพบความผิดปกติควรรีบ รายงานแพทย์
      - จัดให้นอนในท่าศีรษะสูง เพื่อลดปริมาณเลือดดําที่ไหลกลับเข้าสู่หัวใจมากเกินไป และ ช่วยทําให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น เป็นการเพิ่มออกซิเจน
      - ทําทางเดินหายใจให้โล่ง โดยดูดน้ํามูก น้ําลาย เสมหะออกเพื่อให้หายใจได้สะดวก
      - ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษาในรายที่เหนื่อยหอบ เพื่อเพิ่มออกซิเจนในเลือด และลดการทํางานของหัวใจ
      - บันทึกสารน้ําเข้า ออก โดยการชั่งน้ําหนักทุกวัน ตวงและบันทึกจํานวนน้ําดื่มใน 24 ชั่วโมง และประเมินภาวะน้ําเกิน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดหัวใจวาย หรือปอดบวมน้ํา ซึ่งเด็กจะมีน้ําหนัก เพิ่มมาก บวม หายใจหอบเหนื่อย หรือมีเสมหะเป็นฟองสีชมพู
      - จัดให้เด็กได้รับการพักผ่อน วางแผนการพยาบาลเพื่อจะได้ไม่ต้องรบกวนเด็กบ่อยเพื่อ ลดการเผาผลาญ และใช้ออกซิเจนลดลง
      - จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบสงบ เพื่อให้เด็กได้พักผ่อน
  - - - สามารถปฏิบัติกิจกรรมได้ตามปกติ
    - - ไม่มีภาวะหายใจลำบาก
      - สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ
    - - 1.ลดกิจกรรมของร่างกาย
      - ส่งเสริมให้เด็กมีความอดทนต่อการปฏิบัติกิจกรรมมากขึ้น เมื่อสภาพร่างกายของเด็กพร้อม
      - ประเมินความทนต่อการปฏิบัติกิจกรรมของเด็กภายหลังจากเริ่มฟื้นฟูสมรถภาพโดยประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะๆ ภายหลังมีกิจกรรม
- - - - ไม่เกิดหลอดเลือดแดงอุดตัน
    - - ไม่เกิดหลอดเลือดแดงอุดตัน
      - capillary refill, สีผิว และอุณหภูมิที่ปลายขาทั้งสองข้างเท่ากัน
      - ปลายมือปลายเท้าอุ่น
    - - ตรวจสอบและประเมินการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะส่วนปลาย ความแรงของชีพจรส่วนปลาย ประเมินสภาพไหลเวียนเลือด หากพบว่าชีพจรช้า เบา หรือคลำไม่ได้ ปลายมือปลายเท้าซีด เย็นและสีผิวเปลี่ยนไป ให้รายงานแพทย์ทันที
      - ประเมิน capillary refill สีผิว และอุณหภูมิที่ปลายขาทั้งสองข้างเปรียบเทียบกัน
  - - - มีความสุขสบาย อาการปวดแผลลดลง
    - - ผู้ป่วยไม่แสดงอาการหรือพฤติกรรมเจ็บปวดมาก เช่น หน้านิ่ว คิ้วขมวด
      - Pain score น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3
    - - ประเมินระดับความรู้สึกปวดของผู้ป่วยโดยใช้มาตรวัดของจอห์นสัน (Johnson s two component scale)
      - อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบเกี่ยวกับสาเหตุของการปวดแผลผ่าตัด
      - ให้นอนศีรษะสูง ใช้หมอนรองบริเวณคอ ใช้มือรองรับบริเวณท้ายทอยระหว่างการเปลี่ยนท่าขยับพลิกตะแคงตัว และประคองบริเวณศีรษะขณะลุกนั่ง เพื่อผ่อนคลายและบรรเทาอาการปวด
      - ให้การพยาบาลและทำหัตถการต่าง ๆ อย่างเบามือ และนุ่มนวล
      - ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วยโดยใช้สิ่งต่าง ๆ ได้แก่ การฟังเพลง การอ่านหนังสือและการนอนหลับ เป็นต้น
      - ดูแลให้ได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Morphine 2 mg vein p.r.n. q 6 hr.
  - - - ญาติคลายความวิตกกังวลลง
    - - ญาติคลายความวิตกกังวล มีสีหน้าที่ดีขึ้น และเข้าใจการปฏิบัติตัว หลังการทําหัตถการ
    - - 1.เปิดโอกาสให้ญาติได้ระบายความรู้สึกที่ไม่สบายใจ และซักถามข้อสงสัยต่างๆ
      - 2.. อธิบายข้อสงสัยและให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับผลการรักษาพอสังเขปโดยให้ สอดคล้องกับคําอธิบายของแพทย์เพื่อให้ผู้ป่วยและสามีคลายความวิตกกังวล
      - 3.แนะนําการปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด ให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลการ ปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด เพื่อคลายความวิตกกังวล
  - - - ไม่มีภาวะติดเชื้อจากแผล
    - - แผลผ่าตัดสะอาด ไม่มีอาการ บวม แดง กดเจ็บ ไม่มสิ่งคัดหลั่งที่เป็นหนอง
      - สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        ระบุค่าปกติ
    - - 1.ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่
        
        อุณหภูมิ 36.4 – 37.4 องศาเซลเซียส
        
        ประเมินอัตราการหายใจปกติ 20 ครั้ง/นาที
        
        ชีพจรไม่เกิน 100 ครั้ง/นาที
        
        ความดันโลหิต 90/60-140/90 mmhg
        
        -O2sat>=95%
      - 2.ทําแผล Dressing sterile โดยการทําแผลใช้เทคนิคปราศจากเชื้ออย่างถูกต้องทุกขั้นตอนของการทําแผล โดยใช้ NSS 0.9% และ แอลกอฮอล์ 70% - ใช้น้ําเกลือน NSS 0.9% เช็ดแผลโดยวนจากในแผลหรือจากบนลงล่าง
      - 3.แนะนําให้รับประทานอาหารที่ส่งเสริมการหายของแผล
        
        ระบุอาหาร
      - 4.ดูแลให้จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบดูแลกิจวัตรประจําวันของผู้ป่วยและสะอาดอยู่เสมอ
      - 5.ติดตามประเมินผลทางห้องปฏิบัติการ
  - - - ติดเชื้อในกระแสเลือด ยา ความสะอาดช่องปาก