Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
:star: ระบบภูมิคุ้มกัน Immune system, ∞ ครั้ง, ∞ ครั้ง - Coggle Diagram
:star: ระบบภูมิคุ้มกัน
Immune system
หน้าที่หลัก
มีเซลล์ เม็ดเลือดขาว เป็นตัวทำหน้าที่ หน้าที่หลักของระบบภูมิคุ้มกัน
-ป้องกันและทำลายสิ่งแปกปลอม
-กำจัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพ
-ดูแลเซลล์ที่เปลี่ยนสภาพผิดไปจากปกติ
แบ่งเป็น 2 ประเภท
ระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาแต่กำเนิด
Innate Immunity
สร้างขึ้นเองและติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
ถ่ายทอดทางพันธุกรรมทำให้ทารกเกิดมีภูมิคุ้มกันต่อบางโรค
ระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับภายหลัง
Acquired Immunity
ทำงานต่อเนื่องมาจากภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด
เกิดขึ้นหลังจากร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอม
จดจำลักษณะจำเพาะของสิ่งที่กระตุ้น สามารถตอบสนองได้เร็วเมื่อได้รับสิ่งแปลกปลอมชนิดเดิม
ได้รับมาจากภายนอก ร่างกายได้ได้สร้างเอง
วัคซีนป้องกันไวรัส
2.B-lymphocyte นักผลิตอาวุธ
ต่อสู้กับไวรัส โดยผลิต Antibody cell มาใช้กำจัด
3.T-lymphocyte เซลล์นักสื่อสารและนักฆ่า
-Helper T cell บอกให้ plasma สร้าง Antibody
โดยกระบวนการ T cell-dependent antibody production
-Killer T cell กำจัดไวรัสและเซลล์ร่างกายทีี่ติดเชื้อ
1.Antigen-presenting cell (APC) ทหารด่านหน้า
อยู่ด้านหน้า เป็นตัวบอกว่ามีไวรัสเข้ามาในร้างกาย
มีเซลล์เม็ดเลือดขาวต่อสู้ Virus
การติดเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2
ติดโดยการที่ spike ของไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์
โดยจับกับ Angiotensin-converting enzyme 2
ที่อยู่บนเซลล์ปอด ทำให้ไวรัสเข้าไปทำลายปอด ส่งผลต่อการหายใจ
เมื่อติดเชื้อ APC จะเริ่มทำหน้าที่ตามลำดับ
จน spike ถูกจับกินโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว
หลังจากกำจัดไวรัสบางส่วนจะเปลี่ยนเป็น Memory cell
เมื่อไปเจอไวรัส ก็จะเพิ่มจำนวนเพื่อกำจัด
Anti-S protein จะอยู่ได้นาน 4-8 เดือน
การฉีดวัคซีน
การฉีดองค์ประกอบบางส่วนของไวรัสที่ตายแล้วหรือไวรัสอ่อนที่ไม่ก่อโรคได้เข้าสู่ร่างกาย
APC นำชิ้นส่วนของแอนติเจนไปบอก B-cell ให้สร้าง antibody มาจับไวรัส
**การทำให้ร่างกายเรามี memmory cell เพื่อจดจำว่าเคยเจอเชื้อนี้มาก่อน
ระบบภูมิคุ้มกันทางร่างกาย
1.Primary response
-ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้าง Antibody เมื่อร่างกายได้รับแอนติเจน หรือ วัคซีนเป็นครั้งแรก
2.Secondary respnes
-ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้าง Antibody ได้รวดเร็วและมีปริมาณมากเมื่อได้รับแอนติเจนเดิม
กลไกการป้องกันการรุกล้ำทำลายสิ่งแปลกปลอม Immune system
1.Nonspecific defense mechanisms
1.1 First line of defense
อยู่ภายนอกร่างกาย ผิวหนังและมิวคัส เมมเบรน ที่ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ
ป้องกันการรุกล้ำโดย mucous membrane เช่น การหลั่งจากต่อมเหงื่อและต่อมไขมัน
1.2 Second line of defense
เป็นกลไกการป้องกันที่อยู่ภายในร่างกาย เมื่อมีไวรัสจะเกิดการ phagocytosis โดยเม็ดเลือดขาว การผลิต antimicrobial protein
Phagocytosis by white blood cell
-Neutrophils (60-70%)
-Monocyte (5%)
-Esoiniphil (1.5%)
-Natural killer cell จับไวรัสแล้วทำให้แตก
2.Antimicrobial protein
-มีโปรตีนหลายชนิดที่ป้องกันและทำลายสิ่งแปลกปลอม
-complement system ย่อย microbes
-interferone ยับยั้งการติดเชื้อไปยังเซลล์ใกล้เคียง
The Inflammatory Response
บริเวณที่เป็นแผลมีการขยายของเส้นเลือด
-มีการหลั่ง Histamine จากเนื้อเยื่อ ทำให้ permeability ของ หลอดเลือด เพิ่ม
2.Specific defense mechanisms
third line of defense
กลไกการทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ
lymphocyte เป็นตัวสำคัญในการทำลายสิ่งแปลกปลอม
2.2 Cell-mediated immune response
-ใช้ T-lymphocyte
2.1 Humoral immune response
-ใช้ B-lymphocyte
บทบาทของ Helper T cell และ CD4
Avtivated tH จับ MHC-antigan complex โดยมี CD4 มาช่วย
Avtivated tH แบ่งตัวเพิ่มจำนวน และหลั่ง cytokine
1.APC กินแบคทีเรียและขนส่งชิ้นส่วนของแบคทีเรียมาที่ผิวเซลล์ผ่าน ll MHC
cytokine กระตุุ้น TH b cell Tc cell
บทบาทของ Cytotoxic T cell และ CD8
2.Active Tc หลั่ง perforin ทำให้เกิดรูที่เยื่อเซลล์ของ infected cell
น้ำและอิออนเคลื่อนเข้าเซลล์ เซลล์บวม และแตก
1.cancer cell ขนชิ้นส่วนของ Ag มาที่ผิวผ่าเซลล์ Tc จับกับ MHC antigen complex โดยมี CD8 มาช่วย
โครงสร้างและหน้าที่ของ Ab
Epitopes เป็นส่วนของ Ag ของ Ab เข้าไปจับ
Ab จะใช้ส่วน Antigen binding site ในการจับ
แบคทีเรียตัวหนึ่ง อาจมี Epitopes จับได้ถึง 4 โมเลกุล
โครงสร้าง : Ab เป็น globular serum protein เรียกว่า immunoglonuline ประกอบด้วย polypeptide 4 สาย:2 สาย เป็น heavy chain และอีก2 สายเป็น light chain
หมู่เลือด blood Group ระบบ ABO
Group A
Antibodies B
A antigen
Group B
Antibodies A
B antigen
Group AB
None
A - B antigen
Group O
Antibodies A - Antibodies B
None
หมู่เลือดกับการให้เลือด ระบบ ABO
หลักการ Antigen ของผู้ให้ต้องไม่ตรงกับ Antibody ของผู้รับ
O
AB
B
A
หมู่ O = ผู้ให้สากล
หมู่ AB = ผู้รับสากล
ระบบหมู่ RH (Rhesus)
Dd -เด่น ด้อย หมู่ Rh+
dd -ด้อย ด้อย หมู่ Rh-
คนที่มี Rh- เม็ดเลือดไมมี Antigen D และไม่มี Antibody D ในเลือด
DD -เด่น เด่น หมู่ Rh+
คนที่มี Rh+ เม็ดเลือดมี Antigen D แต่ไม่มี Antibody D ในเลือด
การให้เลือดในระบบหมู่ Rh Group
Rh+
Rh+
Rh-
Rh-
ระบบภูมิคุ้มกันและการเกิดโรค
Acquired immunodeficiency
เกิดจากไวรัส human immunodeficicy virus HIV เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
blood group and blood transfusion
เกิดการตอบสนองระบบภูมิคุ้มกัน แบบ T-indepent response
ภูมิแพ้ Allergy
B-cell เปลี่ยนเป็น plasma cell หลัง IgE
2.บางส่วนของ IgE เข้าจับกับ mast cell
(โดยใช้ส่วนหางจับ)
เมื่อร่างกายได้รับ Allergy จะไปจับกับ IgE กระตุ้นให้ Mast cell หลัง histamin ทำให้เกิดอาการภูิมแพ้
CD4 cell
T-cell/T Helper cell
เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ระดับปกติของ CD4 อยู่ระหว่าง 400-1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
CD4 ต่ำกว่า 350 = ติดเชื้อ HIV
Autoimmune Disease
เป็นการทำลายเนื้อเยื่อ รบกวนการทำงานปกติของร่างกาย
สามารถตรวจหรือระบุ แอนติเจนของตนเองได้
เป็นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อ แอนติเจน ของร่างกายเอง
∞ ครั้ง
∞ ครั้ง