Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แบบแผนสุขภาพ (Functional health patterns) - Coggle Diagram
แบบแผนสุขภาพ (Functional health patterns)
แบบแผน หมายถึง พฤตกิรรมของบคุคลที่ต่อเนื่องกันในช่วงเวลาหนึ่ง
แบบแผนสุขภาพ หมายถึง พฤติกรรมด้านสขุภาพของบุคคลซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลา
หนึ่ง และมีผลต่อสุขภาพ
กรอบแนวคิดแบบแผนสุขภาพ
พัฒนาโดยมาร์จอรีย์กอรด์อน(MajoryGordon)ศาสตราจารย์ ทางการพยาบาลท่ีวทิยาลัยบอสตัน(BostonCollegeofNursing) ประเทศสหรฐัอเมรกิา
แบบแผนสขุภาพใช้เป็นแนวคิดในการประเมินภาวะสุขภาพของบคุคล ครอบครัวหรือชุมชนทั้งในภาวะปกติและภาวะเจ็บป่วย
ประเมินจากพฤตกิรรมทั้งภายนอกและภายใน
มนุษยจ์ะมีภาวะสุขภาพที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความปกติ(function)
หรือผิดปกติ (dysfunction) ของแบบแผนสุขภาพ
มี 11 แบบแผน
การรวบรวมข้อมูล
ข้อมูลอัตนัย (Subjectivedata)คือการซักประวัติจากผู้บอการหรือญาติ(ในกรณที่
ผู้รับบริการไม่สามารถให้ข้อมูลได้หรือให้ข้อมูลได้ไม่ครอบคลุม)
ข้อมูลปรนัย(Objectivedata)คือข้อมูลที่ได้จากการสังเกต/การตรวจร่างกาย การตรวจทางหอ้งปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
1.แบบแผนการรับรู้สุขภาพและการดูแลสุขภาพ
(Health Perception-Health Management Patterns)
เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินความคิด ความเข้าใจของบุคคลต่อภาวะสุขภาพ โดยทั่วไปของตนเองและของผู้ที่ตนรับผิดชอบ ว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ และมีความ คาดหวังต่อภาวะสุขภาพหรือการรักษาอย่างไร
การซักประวัติ
การรับรู้สุขภาพของตนเองหรือบุคคลท่ีรับผิดชอบทั้งอดีตและปัจจุบันเป็นอย่างไรถูกต้องหรือไม่
ประวัติความถี่ในการเกิดอาการเจ็บป่วยบ่อยเพียงใด
การตรวจร่างกายประจำปี
การได้รับภูมิคุ้มกัน
การดูแลความสะอาดของร่างกายตนเอง เช่น การอาบน้ำการแปรงฟันขณะอยู่ที่บ้าน เป็นต้น
การตรวจร่างกาย
ลักษณะทั่วไปและความพิการเช่น ท่าทางการเดินการลุกนั่ง
การเคลื่อนไหวแขนขาการพดูคุยการแสดงสีหน้า
ความสะอาดของร่างงกาย เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยหรือครอบครัว
แบบแผนด้านโภชนาการและการเผาผลาญอาหาร (Nutritional-Metabolism Patterns)
ประเมินพฤติกรรมการรับประทานอาหารโดยพิจารณาความสอดคล้อง กับอาหารที่ควรได้รับและน้ำหนักตัว
ประเมินการทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับภาวะโภชนาการ ได้แก่การเคี้ยวการกลืน การย่อย การดูดซึมและการเผาผลาญ
การซักประวัติ
แบบแผนเกี่ยวกับบริโภคนิสัยและแบบแผนการดำเนเนชีวิต (lifestyle)
อุปนิสัยในการรับประทานอาหารกินอาหารเป็นเวลาหรือไม่รับประทานเก่งหรือชอบกินจุบกินจิบหรือไม่
การรับประทานยาที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญสารอาหารเช่นยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ยาฉีดอินซูลิน ยาลดไขมันในเส้นเลือด ยารักษาโรคไทรอยด์ เป็นต้น
การตรวจร่างกาย
สังเกตพฤตกิรรมการรับประทานอาหารปริมาณ และลักษณะอาหารที่รับประทาน
ตรวจสภาพของผิวหนังและเยื่อบุว่าซีดหรือไม่ โดยสังเกตสีของผิวหนัง ริมฝีปาก เยื่อบุตา (Conjunctiva) ตาขาว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
ตรวจลักษณะท้อง ตับ ม้าม ก้อนในท้องฟังเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Bowelsound)
3.แบบแผนการขับถ่ายของเสีย(EliminationPatterns)
เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินกระบวนการขับถ่าย ลักษณะ ปริมาณ จำนวนครั้งของของเสียทุกประเภทที่ออก จากร่างกายทั้งอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำและอิเลคโตรไลท์ ปัจจัยส่งเสริม ปัจจัยเสี่ยงและอุปสรรคต่อการขับถ่าย ตลอดจนการ เปลี่ยนแปลงกระบวนการขับถ่ายอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วย และการปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหา
การซักประวัติ
แบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะ เช่นปัสสาวะวันละกี่ครั้งจำนวนมากนอ้ยเท่าใด ชอบกลั้นปัสสาวะหรือไม่ ปัสสาวะตอนกลางคืนหรือไม่จำนวนกี่ครั้ง
ปัจจัยส่งเสริม และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อแบบแผนการขับถ่ายปัสสาวะปกติ เช่นความสะดวก หรือลำบากในการไปห้องน้ำ ห้อบน้ำสะอาดหรือสกปรก อุปกรณ์ในการช่วยเหลือการขับถ่าย ปัสสาวะต่างๆ
การตวรจร่างกาย
สังเกตการมีกระเพาะปัสสาวะเต็ม(FullBladder)
สังเกตสีปริมาณลักษณะปัสสาวะที่ขับออกมาจากผู้ป่วยและปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะว่ามีความผิดปกติหรือไม่ สอดคล้องกับการซักประวัติหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจปัสสาวะเพื่อประเมินความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ
ตรวจเลือดเพื่อดูระดับของยูเรียไนโตรเจนและครคเอตินินในเลือดบ่งบอกการทำงานของไต
4.แบบแผรกิจกรรมและการออกกำลังกาย (Activity and Exercise )
เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินระดับความสามารถในการประกอบกจิกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันการทำกิจวัตรประจำวัน การดูแลบ้าน การประกอบอาชีพ การใช้เวลาว่าง และนันทนาการ การออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออก
การซักประวัติ
ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง
แข็งแรงดีสามารถปฏิบัติงิานและกิจวัตรต่างๆได้ตามปกติ
กิจกรรมในงานอาชพีหนักเบาอย่างไร เช่นอาชีพครู ค้าขายชาวนา จะมีกิจกรรมที่แตกต่างกัน
ประวัติเป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพากนิสัน โรคหัวใจ ภาวะโลหิตจางเป็นต้น
การตรวจร่างกาย
ตรวจวัดสัญญาณชีพ ประเมินอาการของความดัน
โลหิตสูง เช่นปวดศรีษะ ตาพร่ามัว แขนขาอ่อนแรง
สังเกตความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
การตรวจเลือดและตรวจเอกซเรย์ปอดเพื่อประเมินภาวะผิดปกตที่เป็นอปุสรรคต่อการปฏิบัตกิจิกรรมต่างๆหรือไม่
5.แบบแผนการพักผ่อนนอนหลับ (Sleep and Rest)
เป็นแบบแผนเกี่ยวกับการนอนหลับการพักผ่อนปัญหาเกี่ยวกับการนอน ปัจจัยส่งเสริมปัจจัยเสี่ยงและอุปสรรคต่อแบบแผนการนอน กิจกรรมที่บุคคลปฏิบัติ เพื่อให้ผ่อนคลายรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของแบบแผนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วย
การซักประวัติ
พฤตกิรรมการนอนประวัติเกี่ยวกับอุปนิสัยการนอน
เป็นคนนอนดึกหรือนอนแต่หัวค่ำ ชอบหลับเวลากลางวัน ตื่นเวลากลางคืน ระยะเวลาท่ีนอนหลับ นอนวันละกี่ชั่วโมง กลางวันนอนกี่ชั่วโมง กลางคืนนอนกี่ชั่วโมงโมง เพียงพอหรือไม่
พฤติกรรมหรือส่ิงที่ช่วยทำให้นอนหลับได้ง่าย
ก่อนนอนต้องฟังเพลง ฟังธรรมะ ดื่มนม หรือเครื่องดื่มอื่นๆหรือบรรยากาศเงียบสงบและไม่มีแสงไฟ หรือต้องเปิดไฟสว่างเปิดเครื่องปรับอากาศจึงทำให้ นอนหลับสบาย เป็นต้น
การตรวจร่างกาย
สังเกตหน้าว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ เช่น ความสดชื่นแจ่มใส ซึม ง่วงนอน หาวนอนบ่อย ใต้ตาเป็นรอยเขียวคล้ำ นอนหลับเวลากลางวันตื่นเวลากลางคืน
6.แบบแผนสติปัญญาและการรับรู้ (Cognition and Perception)
1.การรับรู้ความรู้สึกและการตอบสนอง
ความสามารถของบุคคลในการรับรู้สิ่งเร้าและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ด้านการรับรู้ความรู้สึก (sensation) ทั้ง 5 ทาง ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรสการรับรู้สึกทางผิวหนัง และการการรับรู้เกี่ยวกับความเจ็บปวด
ความสามารถทางสติปัญญา
แบบแผนเกี่ยวกับความสามารถและพัฒนาการทางสติปัญญาเกี่ยวกับความคิด ความจำ ความสามารถในการตัดสินใจ การแก้ปัญหาและการสื่อภาษาต่างๆ
การซักประวัติ
ความรู้สึกทั่วไปสุขสบายหรือไม่สุขสบาย
ปัญหาเกี่ยวกับความรู้สึกตัว เช่นมีอาการสับสน ซึม ไม่รู้สึกตัว และระยะเวลาท่ีมีอาการ
พัฒนาการด้านสติปัญญาโดยการซักถามเกี่ยวกับความสามารถในการเรียนความสามารถในการ ทำงาน การคิด การจำ การตัดสินใจ แก้ปัญหาและการสื่อสาร
ประวัติการได้รับยาบางชนิดซึ่งมีผลต่อความคิด ความจำหรือทำ ให้มีอาการสับสน
การตรวจร่างกาย
ประเมินระดับความรู้สึกตัว เช่นการลืมตา การสื่อภาษา การเคลื่อนไหวของร่างกายและ
ตรวจดูความผิดปกติของจมูก ตา หู ลิ้น ตรวจประสาทสัมผัสทางผิวหนัง
ประเมินระดับสติปัญญา(IQ)โดยใชี้แบบทดสอบ
7.แบบแผนการรับรู้ตนเองและอัตมโนทัศน์(Selfperception–SelfconceptPattern)
แบบแผนที่เกี่ยวกับความคิดความรู้สึกของบคุคลที่มีต่อตนเอง(อัตมโนทัศน์)การมองตนเอง เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาความพิการ(ภาพลักษณ์)ความสามารถคุณค่าเอกลักษณ์ และความภูมิใจในตนเองตลอดจนปัจจัยส่งเสริม ปัจจัยเสี่ยง
การซักประวัติ
ความรู้สึกต่อตนเองเกี่ยวกับภาพลักษณ์โดยทั่วไปรู้สึกว่าอ้วน ผอม สูง หรือเตี้ยเกินไป
ความรู้สึกต่อตนเองเกี่ยวกับความสามารถในด้านต่างๆได้แก่ความสามารถในการปฏิบุติงาน การเรียน การทำกิจกรรมต่างๆ
การตรวจร่างกาย
สังเกตความสนใจตนเองของผู้ป่วย
การแต่งกาย บุคลิกภาพ
การกล่าวถึงตนเอง
8.แบบแผนบทบาทและสัมพันธภาพ(Role-relationshipPattern)
แบบแผนเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบการติดต่อสื่อสารและการมีสัมพันธภาพกับบุคคลทั้งภายในครอบครัวและสังคมรวมทั้งปัจจัยส่งเสริมปัจจัยเสี่ยงหรือปัจจัยอุปสรรคต่อ การปฏิบุติตามบทบาทหน้าที่และการสร้างสัมพันธภาพรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงบทบาทอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วย
การซักประวัติ
โครงสร้างครอบครัว เช่นจำนวนสมาชิกในครอบครัวมีใครบ้างหรืออยู่คนเดียว
หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ป่วยและสมาชิกคนอื่นๆต่อครอบครัว
สัมพันธภาพของผู้ป่วยกับครอบครัวเพื่อนร่วมงานเพื่อนบ้านการเปลี่ยนแปลงของสัมพันธภาพ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือช่วยตนเองไม่ได้
ตาแหน่งความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานอาชีพ
การตรวจร่างกาย
สังเกตพฤติกรรมต่างๆหรือท่าทางที่แสดงออกต่อ ครอบครัวและบุคคลในครอบครัวแสดงต่อผู้ป่วย ลักษณะการโต้ตอบระหว่างผู้ป่วยกับบุคคลในครอบครัวรวมท้ัง เพื่อนผู้ร่วมงานการมาเยี่ยมของคนในครอบครัวด้วย
9.แบบแผนเพศสัมพันธ์ุและการเจริญพันธุ์(Sexuality-reproductivePattern)
เป็นแบบแผนเกี่ยวกับพัฒนาการตามเพศซึ่งมีอิทธิพลมาจากพัฒนาการด้านร่างกาย และอิทธิพลของสังคมสิ่งแวดล้อมการเลี้ยงดูลักษณะการเจริญพันธุ์พฤติกรรม ทางเพศและเพศสัมพันธุ์ ปัจจัยส่งเสริม ปัจจัยเสี่ยง หรือปัจจัยอุปสรรคต่อพัฒนาการตามเพศและการเจริญพันธุ์รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของแบบแผนอันเนื่องมาจาก ความเจ็บป่วย
การซักประวัติ
การมีเพศสัมพันธ์ปัญหาเพศสัมพันธ์ุความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ และการป้องกันโรคติดต่อกันได้ทางเพศสัมพันธุ์
การมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่ติดต่อกันได้ทางเพศสัมพันธ์ุการมีพฤตกิรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม เช่นรักร่วมเพศ
เพศหญิงควรซักประวัติเกี่ยวกับการตั้งครรภ์การแท้งการมีบุตรการคุมกำเนิด การติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ประวัติเก่ียวกับการตกขาว อาการคันอวยัวะสืบพันธ์ุ ปัสสาวะแสบขัด วิธีการรักษาความสะอาด
การตรวจร่างการ
สังเกตพฤตกิรรมทางเพศจากลักษณะท่าทางที่แสดงออกปฏิสัมพันธุ์กับบุคคลอื่น การใช้ภาษา
และคำพูดรวมทั้งการแต่งกายว่าเหมาะสมกับเพศหรือไม่
เพศหญิง ตรวจเต้านม ต่อมน้ำเหลือง อวัยวะเพศหญิง เพศชาย ตรวจอวัยวะเพศชาย ตรวจอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์ เช่นโรคเอดส์จะพบลักษณะผอมมาก มีเชื้อราในปากมีรอยโรคตามผิวหนังท้องเสียเรื้อรัง
10.แบบแผนการเผชิญความเครียดและความทนต่อความเครียด
(Coping –stress tolerance Pattern)
เป็นแบบแผนเกี่ยวกับการรับรู้ลักษณะอารมณ์พื้นฐานการรับรู้เกี่ยวกับความเครียด ปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อเกิดความเครียดวิธีการแก้ไขและการจัดการกับความเครียดปัจจัยเสี่ยงที่ทำใหเ้กิดความเครียดปัจจัยส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอปุสรรคต่อการปรับตัวกับความเครียด
การซักประวัติ
สัมภาษณ์เกี่ยวกับลักษณะอุปนิสัยหรืออารมณ์พื้นฐานของผู้ป่วย
ซักถามส่ิงท่ีทให้เกิดความเครียด ไม่สบายใจ วิตกกังวลกลัวเครียด คับข้องใจ
วิธีการจัดการความเครีวด เช่นการระบายความเครียดกับบุคคลใกล้ชิด การเก็บตัวเงียบไม่สังสรรค์กับใคร การใช้ยา
การตรวจร่างกาย
ตรวจสอบพฤติกรรมที่บ่งชี้ความเครียด ความเศร้า ความวิตกกังวล เช่น สีหน้าหมกมุ่น ขมวดคิ้ว ซึม เงียบเฉย ร้องไห้ นอนไม่หลับ มือสั่น หายใจเร็ว เป็นต้น
11.แบบแผนค่านิยมและความเชื่อ(Value–beliefPattern)
เป็นแบบแผนเกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา ความมั่นคงเข้มแข็ง ทางด้านจิตใจ สิ่งที่มีคุณค่า มีความหมายต่อชีวิต สิ่งยึดเหนี่ยว ทางด้านจิตใจ เป้าหมายในการดำเนินชีวิต ความเชื่อทางด้านสุขภาพและการปฏิบัติตนตามความเชื่อ
การซักประวัติ
ความเช่ือความผูกพัน ความศรัทธาที่มีต่อส่ิงต่างๆเช่นความดีงาม ความถูกต้อง ศาสนา พระเจ้าส่ิงศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ
สิ่งสำคัญใชีวิตหรือสิ่งยึดเนี่ยวทางจิตใจอาจเป็นบุคคลวัตถุ ส่ิงของ ศาสนา คุณงามความดี
ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม
การปฏิบัติกิจกรรมต่างๆความเชื่อทางศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม เช่นการปฏิบัติธรรมตามศาสนาที่นับถือ การทำบุญใส่บาตร การไปวัดการไปโบสถ์ เป็นต้น รวมทั้งการเจ็บป่วยมีผลกระทบต่อการปฏิบัติกรรมต่างๆตามความเชื่อทางศาสนา หรือไม่
การตรวจร่างกาย
สังเกตพฤตกิรรมท่ีแสดงออกทางสีหน้ากริยาท่าทางรวมท้ังการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น
ซึมเศร้า แยกตัว ว้าเหว่ โกรธ หงุดหงิด
สังเกตคำพูดของผู้ป่วยและญาติที่แสดงถึงการให้คุณค่าและการมีความเชื่อในด้านต่างๆ
สังเกตการแสดงออกที่แสดงถึงความเชื่อต่างๆ เช่นการมีพระพุทธรูป สร้อยพระ หรือมีวัตถุ มงคลบูชา การใช้เครืออบรางของขลัง การสวดมนต์ การทำสมาธิ ภาวนา การทำละหมาด การอ่านหนังสือ