Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 12 กระบวนการพูดความจริงด้วยใจรัก - Coggle Diagram
บทที่ 12 กระบวนการพูดความจริงด้วยใจรัก
บทนำ
เราเผชิญหน้าโดยฐานะทูตของพระเจ้า โดยใช้พระวจนะพระเจ้านำสู่การกลับใจ
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเจ้าของทุกๆความสัมพันธ์ของเรา ทรงวางเราไว้ในแต่ละความสัมพันธ์ เพื่อขยายแผ่นดินของพระองค์ และเพื่อพระสิริของพระองค์
สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้นั้นยิ่งใหญ่และดีกว่าของเรามากมาย ด้วยพระคุณ ทรงนำคนทุกประเภท มาปั้นให้เป็นเหมือนพระเยซู และทรงสำแดงพระสิริโดยการ เปลี่ยนแปลงความคิดและความตั้งใจที่มีอยู่ในหัวใจของเรา
ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลย การสำแดงพระสิริเกิดขึ้นในทุกๆ สถานการณ์ ชีวิต การทำงาน และอื่นๆ เป็นของพระเจ้าทั้งหมด
คนที่พร้อมรับใช้เป็นอุปกรณ์ของพระเจ้า คือ 1 เขาต้องมองไกลเกินกว่าความต้องการตัวเอง 2 ต้องมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่คุ้มค่าไปกว่านี้แล้ว เขาจะพูดความจริงต่อผู้อื่น จากใจว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ และขอบคุณพระเจ้าที่ทรงสัตย์ซื่อประทานให้
1 เข้าใจขั้นตอนของกระบวนการเผชิญหน้า (เราต้องการผู้คนให้เข้าใจว่า มีอะไรที่ผิดพลาดไปและนำเขาสู่การกลับใจ) มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน
1 พิจารณา
คนคนนี้จำเป็นต้องเห็นอะไร ที่เกี่ยวกับตัวเอง พระเจ้า ผู้อื่น ชีวิต ความจริง การเปลี่ยนแปลงที่เขา มองไม่เห็น แล้วเราจะช่วยให้เขาเห็นได้อย่างไร?
เป้าหมาย คือ เพื่อให้เขามองเห็นตัวเอง (เพราะบ่อยครั้งเวลาคนเล่าเรื่องของตัวเอง เขาจะไม่ได้อยู่ในนั้น จะไม่ใส่ความคิด ความปรารถนา ตัวเลือกหรือการกระทำตัวเองเข้าไป) ต้องหนุนใจให้เขามองไปที่พฤติกรรมของตัวเอง และสำรวจใจตัวเองด้วยมุมมองของพระคัมภีร์
5 คำถาม
1 มีอะไรเกิดขึ้น? ทำให้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้บีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ทำลงไป และเราต้องรู้รายละเอียดในโลกของเขาเพื่อจะนำความจริงเข้าไป
2 คุณกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรในขณะที่เกิดขึ้น? ให้เขามาสำรวจใจตัวเอง เรามีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่เคยเป็นแค่เหยื่อ แต่เราเป็นผู้แปลความอย่างต่อเนื่อง
3 คุณทำสิ่งใดเพื่อตอบสนอง? พฤติกรรมของเราเป็นไปตามการตอบสนองของหัวใจของเราต่อสถานการณ์นั้น เป้าหมายคือช่วยให้เขาเห็นการเชื่อมโยงระหว่างการแปลความ สถานการณ์ การตอบสนองของพวกเขา
4 ทำไมคุณทำเช่นนั้น?คุณคิดจะให้มีสิ่งใดเกิดขึ้น? คำถามนี้ช่วยมงหาแรงจูงใจ เพราะหัวใจจะปรนนิบัติบางสิ่งเสมอ พฤติกรรมเปิดเผยแรงจูงใจและรูปเคารพ การเปลี่ยนแปลงจะเเกิดขึ้นได้ เมื่อเราตระหนักถึงสิ่งที่มาแทนที่พระเจ้าที่ครอบครองใจเรา ดังนั้นต้องสารภาพและกลับใจ ซึ่งต้องหยั่งลึกไปในใจ
5 อะไรคือผลที่เกิดขึ้น? มองหาผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากความคิดและแรงจูงใจ เราต้องช่วยเขาสำรวจผลผลิตในชีวิตของพวกเขา
2 สารภาพ
เราควรเรียกให้ผู้คนสารภาพ เพื่อเป็นการเตือนว่าหัวใจและชีวิตของพวกเขา เป็นของพระเจ้า
ในฐานะทูตของพระเยซู ต้องนำผู้คนให้สารภาพด้วยความถ่อมใจ สนับสนุนให้เขาไปพบคนที่รับผลกระทบจากความบาปของเขาและขอรับการอภัย นำอธิษฐาน ยอมรับความบาป แสวงหาการอภัยและการช่วยเหลือจากพระเจ้า
ใดๆล้วนเราต้องยอมรับด้วยว่าเราเองก็เป็นคนบาป การตอบสนองของเราบางทีก็ไม่ได้สะท้อนพระลักษณะของพระเจ้า ถ้าเราเองยังไม่สัตย์ซื่อและไม่สารภาพบาป เราก็ไม่อาจเรียกบางคนให้เดินออกมาจากบาปได้ แต่เรานี่แหละจะหลุดไปในวงจรนั้น สรุปคือ ในขณะที่เราเรียกผู้อื่นให้มาสำนึกผิดกลับใจ เราเองก็ต้องสารภาพบาปที่มีอยู่ในใจเราด้วยเหมือนกัน
3 ให้คำมั่นสัญญา
พระเจ้าทรงเจาะจงเรียกคนคนนี้ไปสู่วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป และความคิดแบบใหม่ที่ตรงไหน?
การให้คำมั่นสัญญาของผู้คนต้องมุงตรงไปที่พระเจ้า พระเจ้าทรงสมควรแก่การนมัสการแม้สถานการณ์ของพวกเขายังเหมือนเดิม ถ้าสารภาพบาปที่เราทำต่อพระเจ้า การให้คำมั่นสัญญาก็ต้องทำต่อพระองค์ด้วย
4 การเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริง
เราต้องช่วยคนให้นำความเข้าใจที่ลึกซึ้งและคำมั่นสัญญาไปใช้ในชีวิต
การเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับการนำคำมั่นสัญญาไปในสถานการณ์และความสัมพันธ์ในกิจวัตรประจำวัน
สรุปการเข้าใจขั้นตอนของกระบวนการเผชิญหน้า
พิจารณา = พระเจ้าต้องการคนคนนี้เห็นอะไร?
สารภาพ = พระเจ้าต้องการให้คนคนนี้ยอมรับและสารภาพอะไร?
ให้คำมั่นสัญญา = การดำเนินชีวิตใหม่แบบใดที่พระเจ้าทรงเรียกให้คนนี้มาทำ
เปลี่ยนแปลง = การให้คำมั่นสัญญาใหม่นี้ จะนำไปใช้ในกิจวัตรประจำวันได้อย่างไร?
2 จะเผชิญหน้าตามแบบพระคัมภีร์ได้อย่างไร
ตัวอย่างจาก 2 ซามูเอล 12:1-17 เป้าหมายของนาธันคือช่วยให้ดาวิดเห็นสิ่งที่ทำลงไป และนำท่านสู่การกลับใจ
การเผชิญหน้าเป็นฏิสัมพันธ์ของ 2 ฝ่าย พระเยซูเล่าเรื่อง ถามและตอบคำถาม นำความคิดของผู้คน นำเข้าสู่การสนทนา ใช้เรื่องอุปมาและรอการตอบสนองต่อการเผชิญหน้าตนเอง เป้าหมายเพื่อให้เขามองลึกเข้าไปในตนเองและนำไปสู่การกลับใจของหัวใจ
ในเหตุการณ์แต่ละวัน พระเจ้าทรงใช้เพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ และคนอื่นๆ มาทำงานในแผ่นดินพระองค์ ทรงเรียกเราไม่ว่าอยู่ที่ไหน เพื่อช่วยกันให้เห็นและดำเนินชีวิตในความเชื่อ เพื่อรักษาความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ ให้เรามองเห็น และตระหนักรู้ในความผิดพลาดของตนเอง
พันธกิจของการพูดความจริงด้วยความรัก ด้วยความถ่อมใจตามพระคัมภีร์ จะเริ่มต้นด้วยการสำรวจใจตนเองก่อนเสมอ