Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 7 กระบวนทัศน์หลักทางการพยาบาล - Coggle Diagram
บทที่ 7 กระบวนทัศน์หลักทางการพยาบาล
มโนมติของคน (Man)
คน ประกอบด้วย
1.1 กายหรือร่างกาย ประกอบด้วยส่วนของโครงสร้างและ หน้าที่การทำงานของร่างกายของบุคคล
1.2 จิตหรือจิตใจ จิตใจของคนประกอบด้วย 3 ส่วนย่อย คือ
1.2.1 อารมณ์และความรู้สึก
1.2.2 จิตวิญญาณ (Spirit)
1.2.3 สติปัญญา หรือความคิด
1.3 สังคม คือ ส่วนของคนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นๆ รอบตัว
ㆍ คนจะเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นด้วย บทบาท หน้าที่ ของตนที่มี
สัมพันธภาพแต่ละบุคคล
บทบาทและสัมพันธภาพมีส่วนสัมพันธ์กัน
คนเป้นระบบเปิด
มีการรับจากสิ่งแวดล้อม และมีการให้ ตอบสนองแก่สิ่งแวดล้อม
การรับและการให้เกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยมีความสัมพันธ์กัน
คนเป็นหน่วยมีชีวิตที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา
บางครั้งการให้หรือการรับ อาจไม่ได้เกิด ต่อเนื่องกันโดยทันที
บางครั้งอาจมีเฉพาะการให้โดยไม่มีการรับ ในลักษณะเดียวกันก็เป็นได้
คนมีความต้องการพื้นฐาน
3.3 ความต้องการความรัก ความผูกพัน (Affliation)
3.4 ความต้องการความภาคภูมิใจและความมีศักดิ์ศรี (Self-esteem)
3.2 ความต้องการความปลอดภัย (Safety and security)
3.5 ความต้องการความพอใจตนเอง (Self-actualization)
3.1 ความต้องการทางด้านร่างกายหรือสรีระ (Physical needs)
คนมีพัฒนาการ
ㆍ การพัฒนาการเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ
. การพัฒนาการจะเป็นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ เกิดจนถึงวัยชรา
เกิดจนถึงวัยชรา ด้านร่างกาย , ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ ,สังคม, ด้านคุณธรรม,
ㆍ การพัฒนาการในแต่ละด้านจะมีความต่อเนื่องกัน และเป็นลำดับขั้น
ㆍการพัฒนาการด้านต่างๆ ของคน ในแต่ละวัย
คนมีความต้องการภาวะสมดุล หรือภาวะปกติ
5.1 ความต้องการดำรงภาวะสมดุล (Homeostasis) ประกอบด้วยความ ต้องการในระดับที่ไม่รู้ตัวเป็นไปโดยอัตโนมัติ และในระดับที่ รู้ตัว
5.2 ความต้องการปรับสู่ภาวะสมดุล เมื่อคนอยู่ในภาวะที่เสียสมดุลหรือต่าง จากปกติ
คนมีลักษณะพื้นฐานร่วมกันแต่มีความเป็นปัจเจกบุคคล
ㆍ คนแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง เรียกว่า ความเป็นปัจเจกบุคคล
. ปัจจัยที่ทำให้แต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคล คือ พันธุกรรม ระดับการพัฒนาการทั้งทางด้าน ร่างกาย จิตสังคม และประสบการณ์ในชีวิต
ㆍ คนแต่ละคนมีลักษณะพื้นฐานร่วมกันทุกคน
คนมีสิทธิของตน
ㆍ แต่ละบุคคล ไม่ว่าในภาวะที่เป็นเด็ก/ ผู้ใหญ่ใน บทบาท/ตำแหน่งใดก็ตามจะมีสิทธิแห่งตนตาม ภาวะที่ดำรงอยู่ เช่น สิทธิในการได้รับการคุ้มครองตาม กฎหมาย
คนมีศักยภาพในการช่วยเหลือ ตนเอง
คนทุกคนมีความสามารถที่จะช่วย เหลือตนเองในด้านต่างๆ เช่น
-การช่วยตนเองในกิจวัตรประจำวัน
-การแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
มโนมติของสิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
ㆍ หมายถึง สิ่งแวดล้อมภายนอกที่ไม่มีชีวิต เช่น
ความร้อน แสง เสียง รังสี อากาศ ดิน น้ำ ลม ที่พักอาศัย สิ่งก่อสร้างต่างๆ
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะมีผลเบื้องต้น ต่อร่างกายคน
สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้แก่
สิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืช และสัตว์ ที่มี ขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จนถึงพืชและสัตว์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าจน
ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต ต้นพืชชนิดต่างๆ วัว ควาย สุนัข
สิ่งแวดล้อมทางเคมี ได้แก่
สารเคมีทุกชนิด รวมทั้งอาหาร ยา
ซึ่งอาจมาจากสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต
สิ่งแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ
ประกอบด้วย สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่เป็นรูปธรรมที่สำคัญ คือ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีบทบาท หน้าที่ต่อกัน
หน่วยของสังคมที่สำคัญที่สุด คือ ครอบครัว
บุคคลในครอบครัวต่างก็เป็นสิ่งแวดล้อมซึ่งกัน และกัน อาจก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียต่อกันก็ได้
สังคมที่ใหญ่กว่าครอบครัว ได้แก่ ชุมชนระดับต่างๆ ที่อาศัยอยู่ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ
คนในชุมชนก็เป็นสิ่งแวดล้อม คนในชุมชนก็เป็นสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ป็นนามธรรม ไม่สามารถ จะสัมผัสได้ แต่มีผลต่อพฤติกรรมของบุคคลที่อยู่ใน สิ่งแวดล้อมนั้นๆ เช่น ความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี กฎหมาย ศาสนา
มโนมติของสุขภาพ (Health)
สุขภาพ (Health)
ไนติงเกล (Nightingale, 1860) หมายถึง สภาวะที่ปราศจากโรค และสามารถใช้พละกำลังของ และสามารถใช้พละกำลังของ
องค์การอนามัยโลก (WHO, 1947)
หมายถึง สภาวะที่มีความสมบูรณ์ของร่างกาย จิตใจ และ สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขมิใช่เพียงแต่ปราศจากโรค และความพิการเท่านั้น
องค์การอนามัยโลก (WHO, 1947)
สุขภาพดี หมายถึง สภาวะที่ร่างกายมีความสมบูรณ์ทั้ง ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ปราศจากโรคและความ พิการใดๆ
ความเจ็บป่วย (illness)
ซึ่งอาจจะเปลี่ยนด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายๆ ด้านรวมกัน
ทำให้บุคคลทำหน้าที่ บกพร่องหรือทำหน้าที่ได้ น้อยลงกว่าปกติ
หมายถึง สภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ปกติทางด้าน ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ
ในโลกนี้น้อยคนนักที่จะมีสุขภาพดีมาก คือ ครบทั้งกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ตลอดเวลา
คนส่วนมากมักจะมีความบกพร่องทางสุขภาพบ้างไม่ มากก็น้อย
สุขภาพมีลักษณะเป็นพลวัตรและต่อเนื่อง
สุขภาพมีลักษณะเป็นพลวัตรและต่อเนื่อง เล็กน้อย
ภาวะสุขภาพของคนจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หรือมีความ เป็นพลวัตร
ในขณะหนึ่งคนอาจอยู่ในภาวะที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่ก็อาจอยู่ใน ภาวะเจ็บป่วยได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
มโนมติของการพยาบาล (Nursing)
การพยาบาลเป้นการช่วยเหลือคน
ในทุกภาวะสุขภาพตั้งแต่สุขภาพดี จนถึงป่วยหนัก/วิกฤต
เพื่อให้คนสามารถดำรงภาวะสุขภาพไว้/ช่วยให้ คนกลับสูภาวะสุขภาพดีเมื่อเจ็บป่วย
ในทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ
การช่วยเหลือของพยาบาล อาจเป็นการช่วยเหลือเป็นรายบุคคล หรือ คร อบครัว หรือชุมชน
คำว่ารักษาทางการพยาบาล คือ กิจกรรมที่ พยาบาลปฏิบัติในขอบเขตหน้าที่ของตน ในการ ช่วยเหลือด้านพฤติกรรมของบุคคลที่เปลี่ยนไป จากเดิม
การพยาบาลที่จะช่วยเหลือให้คนมีภาวะสุขภาพดี หรือปรับสู่ภาา สุขภาพดี
ประกอบด้วย การช่วยเหลือในด้าน
การส่งเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค
การดูแลรักษา
การฟื้นฟูสภาพ
2.1 การส่งเสริมสุขภาพ
การช่วยเหลือที่ช่วยให้คนมีสุขภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ เช่น การให้ คำแนะนำเพื่อให้คนรับประท านอาหารให้เหมาะสมกับตนเอง การสอน ให้คนออกกำลังกายให้ถูกวิธี
ส่วนใหญ่เป็นการช่วยในการสร้างพฤติกรรมสุขภาพหรือปรับเปลี่ยน พฤติกรรม
2.2 การป้องกันโรค
เพื่อให้คนดำรงความมีสุขภาพดีไว้ได้
การป้องกันโรคแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ซึ่งครอบคลุมการป้องกันทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม
การช่วยเหลือให้คนไม่เจ็บป่วยด้วยโรคหรือความเจ็บป่วยที่ ป้องกันได้
2.2.1 การป้องกันระดับที่ 1 (primary prevention)
การกระทำที่เป็นการป้องกันโรคบางโรคเป็น การเฉพาะ
เพื่อป้องกันความไม่สุขสบาย ป้องกันการ เสียเงินทองจากค่าใช้จ่ายในการรักษาให้ ตนเอง
บุคคลที่อยู่ในกลุ่มสุขภาพดี-สุขภาพปกติ จะเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมการ ป้องกันในระดับที่ 1
คนกลุ่มนี้อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ซึ่งอาจ เป็นสาเหตุให้ป่วยในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า จึงจำเป็นต้องพิจารณา พฤติกรรมการป้องกันโรคของตนเองโดยเลิกประพฤติปฏิบัติในเรื่องที่ เสี่ยงนั้นเสีย
2.3 การป้องกันระดับที่ 3 (tertiary prevention)
พยาบาลให้การดูแลและเฝ้าระวังการเกิด ภาวะแทรกซ้อน
สอนให้รู้จักการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก
เริ่มเมื่อบุคคลป่วยเข้ามารับการรักษาที่รพ.
การที่บุคคลคนหนึ่งต้องเปลี่ยนสถานภาพจากที่สุขภาพดีหรือสุขภาพ ปกติมาสู่การเป็นผู้ป่วย ตัดสินใจอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และ พยาบาล
ผู้ป่วยจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ ดำเนินชีวิตใหม่ ต้องพึ่งพาผู้อื่น มากขึ้น ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีความกลัว วิตกกังวล
การปฏิบัติของพยาบาลในด้านการดูแลรักษา จะเป็นไปตามแผนการรักษาของแพทย์ เป็นกิจกรรม ที่ทำโดยมุ่งเน้นการบำบัด
พยาบาลจะต้องรู้จักใช้ศิลปะในการติดต่อสื่อสาร การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง การผ่อนปรน การ สัมผัสที่อ่อนโยน
การอธิบายให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ผู้ป่วยรวมทั้ง ญาติให้เข้าใจกระจ่างจะช่วยให้ได้รับความ ร่วมมือที่ดีและเป็นผลดีต่อการรักษา
เพราะประเด็นสำคัญ คือ การช่วยให้ผู้ป่วยและ ผู้เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบจากการเจ็บป่วย น้อยที่สุด
2.4 การฟื้นฟูสภาพร่างกาย
เป็นระยะที่บุคคลออกจากภาวะของการเป็น ผู้ป่วยกำลังกลับไปอยู่ในบทบาทของคนปกติ ทัวไป
เป็นระยะที่จะกลับบ้านเพื่อไปดูแลตนเองต่อที่ บ้าน มีการฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังการ เจ็บปวยให้ดีขึ้น
พยาบาลจะต้องเข้าถึงจิตใจและรู้สภาพ ปัญหาของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างถ่องแท้ มี ความอดทน
เป็นผู้ให้กำลังใจ ให้ความหวัง ชื่นชมและยกย่องผู้ป่วย
บทบาทของพยาบาลในการฟื้นฟูสภาพแก่ผู้ป่วย จะต้องใช้กระบวนการใดๆ ก็ตามที่จะสามารถ ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ด้วยโรคกลับมามีชีวิตในสังคมตามสภาพปกติทั้ง ทางร่างกายและจิตใจ
รวมถึงการช่วยให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังสามารถช่วย ตนเองให้ได้มากที่สุดด้วย
การพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาลในการช่วยเหลือผู้รับบริการ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ คือ
การวางแผนการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
การวินิจฉัยการพยาบาล
การประเมินผลการพยาบาล
การประเมินสภาพ
กระบวนการพยาบาลเป็น กระบวนการที่เป็นพลวัตร ต่อเนื่องสัมพันธ์กันอยู่ ตลอดเวลา
กระบวนการพยาบาลจะสิ้นสุด ก็ต่อเมื่อความต้องการของ ผู้รับบริการได้รับการ ผู้รับบริการได้รับการ ผู้รับบริการได้รับการ จัดการให้หมดสิ้นไป
การพยาบาลเป็นบริการที่จำเป็นต่อสังคม
ในการช่วยเหลือผู้รับบริการทั้งที่เป็น รายบุคคล ครอบครัวและชุมชน ทำให้การ พยาบาลเป็นบริการที่จำเป็นต่อสังคม
ถ้าขาดการพยาบาลที่มีคุณภาพ อาจส่งผล ให้คนไม่สามารถดำรงภาวะสุขภาพดีไว้ได้ หรือการปรับตัวสู่ความมีสุขภาพดี อาจจะทำ ด้วยความยากลำบาก
จากบทบาทและวิธีการปฏิบัติของพยาบาลที่ มีลักษณะเฉพาะ
กระบวนทัศน์หลักทางการพยาบาล
มโนมติพื้นฐานของคน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการพยาบาล จะมีความสัมพันธ์กัน คือ
คน จะอยู่ในสิ่งแวดล้อม โดยคนจะมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา และพยายามดำรงตนให้อยู่ในภาวะ สมดุล โดยใช้กลไกการปรับสมดุล
กลไกการปรับสมดุลคนอาจอยู่ในภาวะที่ปรับตัวได้ สามารถที่จะดำรง ความสมดุลไว้ได้ ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่าสุขภาพดี หรือสมบูรณ์ ซึ่งมีระดับ ต่างๆ กัน
บางครั้งจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนและสิ่งแวดล้อมคนก็อาจไม่สามารถ ปรับตัวให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ จึงเกิดภาวะเจ็บปวยขึ้น ภาวะเจ็บป่วยที่ เกิดขึ้นอาจเป็นการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย จนถึงภาวะวิกฤตหรือป่วย หนักซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้
การพยาบาลมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของคน
การพยาบาลมีความครอบคลุมในทุกภาวะสุขภาพของคน จะใช้ กระบวนการพยาบาลเป็นกลวิธีในการช่วยเหลือ
มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือคนให้สามารถดำรงภาวะสมดุลหรือภาวะ สุขภาพดีได้ และช่วยเหลือคนที่เจ็บปวยให้ปรับตัวกลับสูภาวะสมดุล
ในการช่วยเหลือคนนั้นจะช่วยโดยใช้บทบาทในการ ส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโร ค การดูแลรักษาและการ ฟื้นฟูสภาพ
ความสำคัญของมโนมติพื้นฐานทางการพยาบาล
เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติการพยาบาล
เป็นพื้นฐานของการจัดการศึกษาพยาบาล
เป็นพื้นฐานของการวิจัยทางการพยาบาล
การที่พยาบาลจะใช้บทบาทใดมากนั้นจะมีความแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นกับภาวะสุขภาพของคนในฐานะของผู้รับบริการ
เป็นพื้นฐานของการพัฒนาศาสตร์ทางการพยาบาล
แนวคิดภาวะสุขภาพ การเจ็บป่วยและการพยาบาล
ภาวะสุขภาพจึงเป็นความต้องการสูงสุดของบุคคล สุขภาพดีจะช่วยให้ กระบวนการเจริญเติบโต พัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมเป็นไปได้ ด้วยดี
บุคคลจึงต้องมีการเรียนรู้และดูแลตนเองเพื่อให้เกิดสุขภาพดีอยู่ตลอดเวลาโดย การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและสร้างศักยภาพของบุคคลในการดูแลตนเอง
ภาวะสุขภาพของบุคคลขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคลที่มีปฏิสัมพันธ์อย่าง เหมาะสมต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนความเจ็บปวยเป็นสภาวะที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ปกติทางด้าน ร่างกาย จิตใจ และสังคมเป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกว่ามีสุขภาพไม่ดี
ความเจ็บป่วย (illness)
ㆍ การบ่งชี้ถึงสภาวะความเจ็บป่วยและการมีสุขภาพดีนั้นบางครั้ง ไม่เด่นชัด ยกเว้นในรายที่เจ็บป้วยมากๆ มีอาการรุนแรง
ㆍบุคคลที่มีความเจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นทางด้านใค ด้านหนึ่งจะมีผลกระทบด้านอื่นๆตามมา
ㆍ อาจมีสาเหตุเริ่มแรกจากความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ใน ร่างกาย หรือความผิดปกติของจิตใจ
ใน โลกนี้น้อยคนนักที่จะมีสุขภาพดีมาก
ㆍ ความเจ็บป่วยอาจ ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคก็ได้
ㆍ คนส่วนมากมักจะมีความบกพร่องทางสุขภาพบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหาก บุคคลนั้นพอใจ ในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่และสามารถคำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมี ความสุข ก็ถือได้ว่ามีสุขภาพดี
สภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ปกติทางค้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายๆ ค้านรวมกัน ทำให้บุคคลทำหน้าที่ บกพร่องหรือทำหน้าที่ได้น้อยลงกว่าปกติ เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกว่ามีสุขภาพ ไม่ดี
ความหมาย
ทฤษฎีทางการพยาบาล ( Mursing Theory)
หมายถึง แก่นสาระความรู้ของวิชาชีพพยาบาล ซึ่ง มุ่งอธิบายธรรมชาติของคน สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพล ต่อบุคคล ภาวะสุขภาพ
กระบวนทัศน์ ( Paradigm )
หมายถึง กรอบการมองหรือกรอบเค้าโครงแนวคิด หรือแบบอุดมคติ หรือปรัชญาที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มวิชาชีพซึ่งจะให้ช้อตกลงเพื่อเป็น แนวทางปฏิบัติ วิจัย และสร้างความเข้าใจ ในศาสตร์นั้นเป็นแนว เดียวกัน
กรอบแนวคิด CONCEPTUAL FRAMEWORK / MODEL)
หมายถึง กลุ่มของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์กันเป็นภาพรวมของปรากฏการณ์ หรือความจริงที่ช่วยให้เห็นจุดเน้นของความคิด เปรียบเสมือนร่มโดย ภายใต้ร่มประกอบด้วยทฤษฎีต่าง ๆ
ลักษณะพื้นฐานของทฤษฎี
ควรจะง่ายแก่การสรุปอ้างอิงได้อย่างกว้างขวาง และครอบคลุม
ให้สมมติฐานที่สามารถทคสอบได้
จะต้องแสดงลำคับของเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา
สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติได้
สามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างม โนทัศน์ให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เฉพาะได้
ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือจะต้องสอดคล้องกับทฤษฎีอื่นที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
การจำแนกทฤษฎีตามลักษณะการนำไปใช้
ทฤษฎีเชิงนิรนัย (Deductive nursing theories) เป็นการพัฒนาทฤษฎีจากการนำ ศาสตร์ต่างๆมาสังเคราะห์ จัคระบบหรือขยายมโนมติเดิมให้เกิดเป็นมโนมติ ใหม่ ซึ่งทฤษฎีทางการพยาบาลเชิงนิรนัยนี้ มีหลายทฤษฎีเช่น ทฤษฎีการ พยาบาลของคิง ทฤษฎีการพยาบาลของรอย ทฤษฎีการพยาบาลของนิวแมน ทฤษฎีการพยาบาลของไลนิงเจอร์ ทฤษฎีการพยาบาลของวัตสัน
ทฤษฎีเชิงอุปนัย (Inductive nursing theories) เป็นการพัฒนาทฤษฎีที่เกิดจาก การปฏิบัติการพยาบาลมาประมวลเพื่อสรุปเป็นทฤษฎี
การจำแนกทฤษฎีตามระดับความเป็นนามธรรม
ทฤษฎีอภิทฤษฎี (Meta - theory) มีเป้าหมายที่กระบวน การสร้างทฤษฎี จะมี จุดเน้นที่การตั้งคำถามเชิงปรัชญา
ทฤษฎีระดับกว้าง (Gr and theory) กำหนดกรอบแนวคิดหรือแบบ จำลองมโน มติที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระที่กว้าง นำไปทคสอบโดยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ได้ยาก เนื่องจากมีความเป็นนามธรรมสูง
ทฤษฎีระดับกลาง (Middle Rang theory) มีขอบเขตเนื้อหาสาระแคบลงและ มี จำนวนม โนทัศน์น้อยกว่าทฤษฎีระดับกว้าง เกิดจากการศึกษาวิจัยสามารถ นำไปใช้อ้างอิงและขยายต่อได้
ทฤษฎีระดับปฏิบัติ (Practice theory มีความซับซ้อนน้อยที่สุด เป็นชุดข้อความ เชิงทฤษฎีที่เกิดจากการทดสอบสมมติฐานในปรากฏการณ์ใคปรากฏการณ์หนึ่ง มี เนื้อหาสาระและจำนวนม โนมติไม่มาก สามารถทคสอบได้ง่าย และนำไปใช้ใน การปฏิบัติการพยาบาล
ประ โยชน์ของทฤษฎีต่อการปฏิบัติการพยาบาล
อธิบายเป้าหมายและเหตุผลของการปฏิบัติการพยาบาลต่อผู้รับบริการ
เป็นแนวทางในการนำกระบวนการพยาบาล มาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล
เป็นหลักเกณฑ์ในการวัดคุณภาพทางการพยาบาล
อธิบายคำศัพท์ทางการพยาบาลให้เข้าใจตรงกันในทีมสุขภาพ
แสดงถึงความเป็นเอกสิทธิ์ในวิชาชีพการพยาบาล (Autonomy)
แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย / ผู้รับบริการกับพยาบาลและมองเห็น บทบาทของพยาบาลชัดเจนขึ้น
พัฒนาการของทฤษฎีทางการพยาบาล
ระยะก่อนปี ค.ศ. 1960
ค.ศ.1950 Environmental Theory : Nightingale
ค.ศ.1952 Interper sonal Relations in Nursing : Hildegard Peplau
ค.ศ. 1952 มีการทำวิจัยทางการพยาบาล และมีวารสารวิจัยการพยาบาล เกิดขึ้น
ระยะปี ค.ศ. 1960-1970
ค.ศ. 1960 Faye Abdellah พัฒนากลุ่มปัญหาทางการพยาบาล 21 ปัญหา (กายภาพ + ชีวภาพ + จิตสังคม )
ค.ศ. 1970 Martha E. Rogers สร้างทฤษฎี Science of Unitary Human Being
3 ระยะปีค.ศ. 1971-1980
ค.ศ.1971 Dorothea E. Orem สร้างทฤษฎีชื่อ Self- care Theory
ค.ศ.1978 Madeleine Leininger สร้างทฤษฎีชื่อ Transcultural nursing Theory
4ระยะปีค.ศ. 1981 - ปัจจุบัน
ระยะแรก เน้นที่การนำเอาทฤษฎีต่างๆ ที่ ถูกสร้างขึ้นมาเล้วมาทคลองปฏิบัติ /พิสูจน์ ข้อเท็จจริงตามข้อสมมุติฐาน
ระยะหลัง เน้นพัฒนาทฤษฎีขึ้นมาใหม่ พัฒนาระบบสารสนเทศทางการพยาบาล เพื่อ เผยแพร่ความรู้