Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 7 กระบวนทัศน์หลักทางการพยาบาล - Coggle Diagram
บทที่ 7 กระบวนทัศน์หลักทางการพยาบาล
มโนมติของคน (Man)
1.คน
กายหรือร่างกาย ประกอบด้วยส่วนของโครงสร้างและ
หน้าที่การทำงานของร่างกายของบุคคล
จิตหรือจิตใจ จิตใจของคนประกอบด้วย 3 ส่วนย่อย คือ
-อารมณ์และความรู้สึก
-จิตวิญญาณ (Spirit)
-สติปัญญา หรือความคิด
สังคม คือ ส่วนของคนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นๆ รอบตัว
คนเป็นระบบเปิด
คนเป็นหน่วยมีชีวิตที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา
มีการรับจากสิ่งแวดล้อม และมีการให้ ตอบสนองแก่สิ่งแวดล้อม
การรับและการให้เกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม
โดยมีความสัมพันธ์กัน
บางครั้งการให้หรือการรับ อาจไม่ได้เกิด ต่อเนื่องกันโดยทันที
บางครั้งอาจมีเฉพาะการให้โดยไม่มีการรับในลักษณะเดียวกันก็เป็นได้
คนมีความต้องการพื้นฐาน
ในแต่ละบุคคลจะมีความต้องการทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคม
ความต้องการของคนแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ตามทฤษฎีความต้องการ ของมาสโลว์ มีดังนี้
-ความต้องการทางด้านร่างกายหรือสรีระ (Physical needs)
-ความต้องการความปลอดภัย (Safety and security) ความต้องการความรัก -ความผูกพัน (Affliation)
-ความต้องการความภาคภูมิใจและความมีศักดิ์ศรี (Self-esteem)
-ความต้องการความพอใจตนเอง (Self-actualization)
คนมีพัฒนาการ
การพัฒนาการเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพหรือคุณลักษณะของบุคคลแต่ละคนในด้านต่างๆ
การพัฒนาการจะเป็นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดจนถึงวัยชรา
การพัฒนาการของคนอาจแบ่งออกได้เป็น ด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ สังคม ด้านคุณธรรม
การพัฒนาการในแต่ละด้านจะมีความต่อเนื่องกันและเป็นลำดับขั้น การพัฒนาการในและด้าน แต่ละขั้นตอนจะมีลักษณะเฉพาะ
การพัฒนาการด้านต่างๆ ของคนในแต่ละวัย จะมีความผสมผสาน และอาจมีผลกระทบซึ่งกันและกัน
คนมีความต้องการภาวะสมดุล หรือภาวะปกติ
คนจะต้องการอยู่ในภาวะสมดุลอยู่ตลอดเวลา โดยในภาวะที่สมดุลแล้วก็จะพยายามดำรงภาวะนั้นไว้
เมื่อเกิดภาวะเสียสมดุลก็จะพยายามปรับสู่สมดุล
กระบวนการที่ดำรงภาวะสมดุลหรือปรับสมดุล เรียกว่า กระบวนการปรับตัว หรือกลไกการต่อสู้เพื่อสมดุล ประกอบด้วย กระบวนการหรือกลไกทางด้านร่างกาย และจิตสังคม
คนมีลักษณะพื้นฐานร่วมกันแต่มีความเป็นปัจเจกบุคคล
คนแต่ละคนมีลักษณะพื้นฐานร่วมกันทุกคน
คนแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง เรียกว่า ความเป็นปัจเจกบุคคล
ปัจจัยที่ทำให้แต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคล คือ พันธุกรรม ระดับการพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย จิตสังคม และประสบการณ์ในชีวิต
คนมีสิทธิของตน
แต่ละบุคคล ไม่ว่าในภาวะที่เป็นเด็ก/ ผู้ใหญ่ในบทบาท/ตำแหน่งใดก็ตามจะมีสิทธิแห่งตนตามภาวะที่ดำรงอยู่
คนมีศักยภาพในการช่วยเหลือตนเอง
คนทุกคนมีความสามารถที่จะช่วยเหลือตนเองในด้านต่างๆ เช่น
-การช่วยตนเองในกิจวัตรประจำวัน
-การแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
มโนมติของสุขภาพ (Health)
ความเจ็บป่วย (illness)
ในโลกนี้น้อยคนนักที่จะมีสุขภาพดีมาก คือ ครบทั้งกาย
จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ตลอดเวลา
คนส่วนมากมักจะมีความบกพร่องทางสุขภาพบ้างไม่มากก็น้อย
แต่ถ้าหากบุคคลนั้นพอใจในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่และ
สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขก็ถือได้ว่ามีสุขภาพดีอยู่
สุขภาพมีลักษณะเป็นพลวัตรและต่อเนื่อง
ในขณะหนึ่งคนอาจอยู่ในภาวะที่สมบูรณ์แข็งแรง
แต่ก็อาจอยู่ในภาวะเจ็บป่วยได้ในเวล่าไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
บางคนอาจป่วยหนักตั้งแต่แรกเกิดและเสียชีวิต
สุขภาพ (Health)
องค์การอนามัยโลก (WHO, 1947)
หมายถึง สภาวะที่มีความสมบูรณ์ของร่างกาย จิตใจ และ
สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขมิใช่เพียงแต่ปราศจากโรค และความพิการเท่านั้น
องค์การอนามัยโลก (WHO, 1947)
สุขภาพดี หมายถึง สภาวะที่ร่างกายมีความสมบูรณ์ทั้ง ร่างกาย
จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ปราศจากโรคและความ พิการใดๆ
มโนมติของสิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ
สิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืช และสัตว์ ที่มีขนาดเล็กจนม่องด้วยตาเปล่าไม่เห็น จนถึงพืชและสัตว์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่า คน
ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้ แก่ แบคทีเรีย ไวรัส
ปรสิต ต้นพืชชนิดต่างๆ วัว ควาย สุนัข
สิ่งแวดล้อมทางเคมี
สารเคมีทุกชนิด รวมทั้งอาหาร ยา ซึ่งอาจมาจากสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
สิ่งแวดล้อมภายนอกูที่ไม่มีชีวิต เช่น ความร้อน แสง เสียง
รังสี อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ที่พักอาศัย
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะมีผลเบื้องต้นต่อร่างกายคน
สิ่งแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ
ประกอบด้วย สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่เป็นรูปธรรมที่สำคัญ
หน่วยของสังคมที่สำคัญที่สุด คือ ครอบครัว
บุคคลในครอบครัวต่างก็เป็นสิ่งแวดล้อมชื่งกันและกัน
สังคมที่ใหญ่กว่าครอบครัว ได้แก่ ชุมชนระดับต่างๆ
คนในชุมชนก็เป็นสิ่งแวดล้อมของบุคคลอื่นในชุมชนนั้นๆ
สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถสัมผัสได้
สิ่งแวดล้อมแต่ละชนิดสามารถที่จะให้ประโยชน์และโทษแก่บุคคล
มโนมติของการพยาบาล (Nursing)
การพยาบาลโดยใช้กระบวนการ พยาบาลในการช่วยเหลือผู้รับบริการ
กระบวนการพยาบาลเป็นกระบวนการที่เป็นพลวัตรต่อเนื่องสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา
กระบวนการพยาบาลจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อความต้องการของผู้รับบริการได้รับกา รตอบสนองหรือปัญหาได้รับการแก้ไข/ปัจจัยเสี่ยงได้รับการจัดการให้หมดสิ้นไป
การพยาบาลเป็นบริการที่จำเป็นต่อสังคม
จากบทบาทและวิธีการปฏิบัติของพยาบาลที่มีลักษณะเฉพาะ
ในการช่วยเหลือผู้รับบริการทั้งที่เป็นรายบุคคล ครอบครัวและชุมชน ทำให้การพยาบาลเป็นบริการที่จำเป็นต่อสังคม
ถ้าขาดการพยาบาลที่มีคุณภาพอาจส่งผลให้คนไม่สามารถดำรงภาวะสุขภาพดีไว้ได้ หรือการปรับตัวสู่ความมีสุขภาพดีอาจจะทำด้วยความยากลำบาก
การพยาบาลที่จะช่วยเหลือให้คนมีภาวะสุขภาพดีหรือปรับสูภาจสุขภาพดี
การป้องกันโรค
การช่วยเหลือให้คนไม่เจ็บป่วยด้วยโรคหรือความเจ็บป่วยที่ป้องกันได้
การส่งเสริมสุขภาพ
การช่วยเหลือที่ช่วยให้คนมีสุขภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ เช่น การให้คำแนะนำ
การดูแลรักษา
การที่บุคคลคนหนึ่งต้องเปลี่ยนสถานภาพจากที่สุขภาพดีหรือสุขภาพปกติมาสู่การเป็นผู้ป่วยตัดสินใจอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และพยาบาล
การฟื้นฟูสภาพ
เป็นระยะที่บุคคลออกจากภาวะของการเป็นผู้ป่วยกำลังกลับไปอยู่ในบทบาทของคนปกติ ทั่วไป
การพยาบาลเป็นการช่วยเหลือคน
ในทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ
ในทุกภาวะสุขภาพตั้งแต่สุขภาพดี จนถึงป่วยหนักวิกฤต
เพื่อให้คนสามารถดำรงภาวะสุขภาพไว้/ช่วยให้คนกลับสภาวะสุขภาพดีเมื่อเจ็บป่วย
กระบวนทัศน์หลักทางการพยาบาล
มโนมติพื้นฐานของคน สิ่งแวดล้อม สุขภาพและการพยาบาลจะมีความสัมพันธ์กัน
คนจะอยู่ในสิ่งแวดล้อม โดยคนจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา
กลไกการปรับสมดุลคนอาจอยู่ในภาวะที่ปรับตัวได้สามารถที่จะดำรงความสมดุลไว้ได้
บางครั้งจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนและสิ่งแวดล้อมคนก็อา
จไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ในภาวะสมดุลไต้
การพยาบาลมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของคน
-มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือคนให้สามารถดำรงภาวะสมดุล และช่วยเหลือคนที่เจ็บปวยให้ปรับดีวกลับสู่ภวะสมดุลหรือภาวะสุขภาพดีได้
การพยาบาลมีความครอบคลุมในทุกภาวะสุขภาพของคน
ในการช่วยเหลือคนนั้นจะช่วยโดยใช้บทบาทในการ
ส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การดูแลรักษาและการฟื้นฟูสภาพ
มโนทัศน์และทฤษฎีทางการพยาบาล
ความหมาย
METAPARADIGM
หมายถึง กรอบ ขอบเขตหรือโครงสร้างทางความคิดหรือมโนมติในภาพรวมกว้างๆของศาสตร์สาขาต่างๆ ซึ่งจะประกอบด้วยมโนทัศน์ของศาสตร์สาขานั้นๆรวมทั้งมีการกำหนดลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์เหล่านั้นด้วย
กรอบแนวคิด
(CONCEPTUAL FRAMEWORK / MODEL)
หมายถึง กลุ่มของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์กันเป็นภาพรวมของปรากฎการณ์หรือความจริงที่ช่วยให้เห็นจุดเน้นของความคิดเปรียบเสมือนร่มโดยภายใต้ร่มประกอบด้วยทฤษฎีต่าง ๆ และครอบคลุมกับปรากฏการณ์อย่างกว้างขวาง และมีความเป็นนามธรรมสูง
กระบวนทัศน์
( Paradigm )
หมายถึง กรอบการมองหรือกรอบเค้าโครงแนวคิดหรือแบบอุดมคติหรือปรัชญาที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งจะให้ช้อตกลงเพื่อเป็น แนวทางปฏิบัติ วิจัยและสร้างความเข้าใจ ในศาสตร์นั้นเป็นแนวเดียวกัน
ทฤษฎีทางการพยาบาล (Nursing Theory)
หมายถึง แก่นสาระความรู้ของวิชาชีพพยาบาลซึ่งมุ่งอธิบายธรรมชาติของคน สิ่งแวคล้อมที่มีอิทธิพล ต่อบุคคล ภาวะสุขภาพความเจ็บป่วยของบุคคลดยมีเป้าหมายของการพยาบาลและกิจกรรมการพยาบาล
โครงสร้างความสัมพันธ์
ลักษณะพื้นฐานของทฤษฎี
สามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เฉพาะได้
จะต้องแสดงลำคับของเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา
ควรจะง่ายแก่การสรุปอ้างอิงได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุม
ให้สมมติฐานที่สามารถทคสอบได้
สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติได้
ทฤษฎีที่น่เชื่อถือจะต้องสอดคล้องกับทฤษฎีอื่นที่ได้รับการพี่สูจน์แล้ว
การจำแนกทฤษฎีตามลักษณะการนำไปใช้
ทฤษฎีเชิงนิรนัย (Deductive nursing theories) เป็นการพัฒนาทฤษฎีจากการนำศาสตร์ต่างๆมาสังเคราะห์จัดระบบหรือขยายมโนมติเติมให้เกิดเป็นมโนมติใหม่
ทฤษฎีเชิงอุปนัย (Inductive nursing theories) เป็นการพัฒนาทฤษฎีที่เกิดจากการปฏิบัติการพยาบาลมาประมวลเพื่อสรุปเป็นทฤษฎี
การจำแนกทฤษฎีตามระดับความเป็นนามธรรม
ทฤษฎีอภิทฤษฎี (Meta - theary)
มีเป้าหมายที่กระบวนการสร้างทฤษฎีจะมีจุดเน้นที่การตั้งคำถามเชิง
ปรัชญาวิธีการสร้างและกระบวนการวิเคราะห์
ทฤษฎีระดับกลาง (Middle Rang theory
มีขอบเขตเนื้อหาสาระแคบลงและมีจำนวนมโนทัศน์น้อยกว่าทฤษฎีระดับกว้าง เกิดจากการศึกษาวิจัยสามารถนำไปใช้อ้างอิงและขยายต่อได้
ทฤษฎีระดับปฏิบัติ (Practice theory
มีความชับช้อนน้อยที่สุดเป็นชุดข้อความเชิงทฤษฎีที่เกิดจากการทคสอบสุ่มมติฐานในปรากฏการณ์ใดปรากฎการณ์หนึ่ง
ทฤษฎีระดับกว้าง (Grand theory)
กำหนดกรอบแนวคิดหรือแบบจำลองมโนมติที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระที่กว้าง นำไปทดสอบโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ยาก
ประโยชน์ของทฤษฎีต่อการปฏิบัติการพยาบาล
อธิบายเป้าหมายและเหตุผลของการปฏิบัติการพยาบาลต่อผู้รับบริการ
เป็นแนวทางในการนำกระบวนการพยาบาลมาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล
เป็นหลักเกณฑ์ในการวัดคุณภาพทางการพยาบาล
อธิบายคำศัพท์ทางการพยาบาลให้เข้าใจตรงกันในทีมสุขภาพ
แสดงถึงความเป็นเอกสิทธิ์ในวิชาชีพการพยาบาล(Autonomy)
แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย/ ผู้รับบริการกับพยาบาลและมองเห็นบทบาทของพยาบาลชัดเจนขึ้น
พัฒนาการของทฤษฎีทางการพยาบาล
ระยะก่อนปี ค.ศ. 1960
เป็นยุดที่พัฒนาต่อเนื่องจากงานเขียนและการทำงานของไนติงเกล
พัฒนาพื้นฐานของทฤษฎีจากแนวคิดจิตวิทยา สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ
มนุษยศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์
ค.ศ. 1952 มีการทำวิจัยทางการพยาบาล และมีวารสารวิจัยการพยาบาล เกิดขึ้น
ค.ศ.1950 Environmental Theory : Nightingale
ค.ศ.1952 Interper sonal Relations in Nursing : Hildegard Peplau
ค.ศ.1955 Principles and Practice of Nursing : Virginia Hender son
ระยะปี ค.ศ. 1960-1970
ค.ศ. 1960 Faye Abdellah พัฒนากลุ่มปัญหาทางการพยาบาล 21 ปัญหา(กายภาพ + ชีวภาพ + จิตสังคม)
ค.ศ. 1961 Jean Orlando สร้างทฤษฎีชื่อ Nursing P rocess Theory (เน้นการปฏิบัติการพยาบาล)
ค.ศ. 1964 Lindia Hall สร้างทฤษฎีชื่อ Core Care and Cure Theory (เน้นปฏิกิริยาระหว่างร่างกาย และโรค)
ค.ศ.1968 Dickoff & James ทฤษฎีการพยาบาลต้องเป็นทฤษฎีในระดับสูงสุดคือ เป็นทฤษฎีในระดับสร้างสถานการณ์ (Situation - producing theory)
ค.ศ. 1970 Martha E. Rogers สร้างทฤษฎี Science of Unitary Human Being
ระยะปีค.ศ. 1971-1980
ค.ศ.1971 Dorothea E. Orem สร้างทฤษฎีชื่อ Self- care Theory
ค.ศ.1974 Sister Callista Roy สร้างทฤษฎีชื่อ Roy's Adaptation model
ค.ศ.1978 Madeleine Leininger สร้างทฤษฎีชื่อ Transcultural nursing Theory
ค.ศ.1978 Jean Watson สร้างทฤษฎี Transpersonal Caring
ค.ศ.1980 Betty Neuman สร้างทฤษฎีชื่อ System Model
ระยะปีค.ศ. 1981 - ปัจจุบัน - ระยะแรก
เน้นที่การนำเอาทฤษฎีต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเล้วมาทคลองปฏิบัติ /พิสูจน์ ข้อเท็จจริงตามข้อสมมุติฐาน
ระยะหลัง เน้นพัฒนาทฤษฎีขึ้นมาใหม่ พัฒนาระบบสารสนเทศทางการพยาบาล เพื่อเผยแพร่ความรู้
ความเจ็บป่วย (illness)
สภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ปกติทางค้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณซึ่งอาจจะเปลี่ยนด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายๆ ด้านรวมกัน ทำให้บุคคลทำหน้าที่บกพร่องหรือทำหน้าที่ได้น้อยลงกว่าปกติ เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกว่ามีสุขภาพ ไม่ดี บกพร่องหรือทำหน้าที่ได้น้อยลงกว่าปกติ เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกว่ามีสุขภาพไม่ดี
ความเจ็บป่วยอาจ ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคก็ได้
อาจมีสาเหตุเริ่มแรกจากความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ใน
ร่างกาย หรือความผิดปกติของจิตใจ
การบ่งชี้ถึงสภาวะความเจ็บป่วยและการมีสุขภาพดีนั้นบางครั้ง
ไม่เด่นชัด ยกเว้นในรายที่เจ็บป้วยมากๆ มีอาการรุนแรง
บุคคลที่มีความเจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นทางด้านใดด้านหนึ่งจะมีผลกระทบด้านอื่นๆตามมา
ในโลกนี้น้อยคนนักที่จะมีสุขภาพดีมาก
คนส่วนมากมักจะมีความบกพร่องทางสุขภาพบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหากบุคคลนั้นพอใจ ในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่และสามารถคำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขก็ถือได้ว่ามีสุขภาพดี