Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Extremities - Muscle - Pelvic injury นศพต.ธัญญารัตน์ บุญโห้ นศพต.ปวริศา…
Extremities - Muscle - Pelvic injury
นศพต.ธัญญารัตน์ บุญโห้
นศพต.ปวริศา ช่วยชุมชาติ
นศพต.สมสิริ ขวัญส่ง
Pelvic injury
สาเหตุของ Pelvic Fracture
Low-energy trauma
เช่น ล้มสะโพก/ก้นกระแทก จำแนกให้เป็นการหักชนิดมั่นคง
High-energy trauma
เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ตกจากที่สูง และมีอันตรายต่อระบบอื่นๆ
การรักษา
ภาวะเลือดออก
ประเมินการไหลเวียนโลหิต/การแข็งตัวของเลือด และเตรียมเลือดให้ผู้ป่วยเพื่อพร้อมสำหรับการให้เลือด
การยึดตรึง
อุปกรณ์พยุงกระดูกเขิงกราน (Circumferential wrapping หรือ pelvic binders)
การใส่เครื่องดึงถ่วงอุ้งเชิงกราน (Pelvic traction)
ใส่โครงยึดตรึงภายนอกและใส่เหล็กยึดตรึงภายใน
โครงยึดตรึงภายนอก (C-clamp) ใช้ในกรณีที่เชิงกรานแบะออกหรือกระดูกหักแบบไม่มั่นคงในแนวหมุน
โครงยึดตรึงภายใน ใช้ในกรณีที่เชิงกรานหักในแนวดิ่งหรือวงแหวนด้านหน้าหัก
การฉีดสารอุดหลอดเลือด (Angiography embolization)
มักพบในผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บของวงแหวนกระดูกเชิงกรานหักแบบไม่มั่นคง และทำในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันเลือดไม่คงที่
ใส่ผ้าซับเลือดเข้าไปในเชิงกราน (Pelvic packing)
ทำในกรณีที่ไม่สามารถฉีดสารอุดหลอดเลือดได้ ทำในห้องผ่าตัดและเปลี่ยนผ้าซับทุก 48 ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อน
ระยะแรก
เสียชีวิตจากการเสียเลือด
ติดเชื้อ มักเกิดบริเวณ pin tracts
การบาดเจ็บของเส้นประสาท จากการวางตำแหน่งของสกรู ทำให้ cauda equina หรือรากประสาทเสียหาย
ลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำอุดตัน (venous thromboembolism) เนื่องจากนอนเตียงเป็นเวลานานทำให้เลือดดำไหลช้า จึงเกิดการรวมตัวของลิ่มเลือดเฉพาะที่
ระยะหลัง
กระดูกเชื่อมติดผิดรูป
ความยาวของแขนขาไม่เท่ากัน ท่าทางการเดินผิดปกติ
กระดูกไม่ติด
พบบ่อยในกระดูกเชิงกรานหักแนวดิ่ง ทำให้เกิดการทำลายของโครงสร้างเนื้อเยื่อหลายส่วน
ปวดเรื้อรัง
ภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินปัสสาวะและความบกพร่องสมรรถนะทางเพศ
การพยาบาลก่อนถึงโรงพยาบาล
การประเมิน
ตรวจร่างกาย
ตรวจการมีเลือดออกทางทวารหนัก ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
บาดแผลฟกช้ำบริเวณกระดูกเชิงกราน
ความยาวขาสองข้างไม่เท่ากัน (limb length discrepancy)
หากผู้ป่วยรู้สึกตัวดีควรถามอาการปวด เพื่อประเมินข้อต่อกระดูกสันหลังกับเชิงกราน
ประเมินกลไกการบาดเจ็บที่ทำให้กระดูกเขิงกรานหัก
ประเมิน ABCDEs
control bleeding
กระดูกเชิงกรานหักควรมีการหมุนขาเข้าด้านในเพื่อลดปริมาตรเลือดในกระดูกเชิงกรานและใช้อุปกรณ์พยุงที่มีการบีบรัดจากภายนอก
การให้สารน้ำทดแทน
เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำจากการเสียเลือด
การส่งต่อผู้ป่วย
ใช้ spinal board พลิกตัวไม่เกิน 15 องศา
อาการและอาการแสดง
ปวดกระดูกเชิงกรานอย่างรุนแรง จนไม่สามารถขยับสะโพกได้
สะโพก/เชิงกราน มีอาการบวม มีรอยแผล หรือรอยฟกช้ำชัดเจน
กระดูกเชิงกรานขยับเคลื่อนที่ได้
บริเวณสะโพกและเชิงกรานมีอาการผิดรูปหรือ
เชิงกรานมีการเคลื่อนชัดเจนทำให้ขาสั้นหรือบิดตามเชิงกราน
การวินิจฉัย
ซักประวัติ
SAMPLE
ส่งตรวจภาพทางรังสีวินิจฉัย (Diagnostic radiography)
Anteroposterior view
สามารถประเมินลักษณะการหักของกระดูกเชิงกรานได้เบื้องต้น
Caudad inlet view (เอียงแนวรังสีลง 40 องศา)
สามารถประเมินการเคลื่อนของกระดูกเชิงกรานชนิดหมุนและการเลื่อนในแนวหน้าหลังได้
Cephalad outlet view (เอียงแนวรังสีขึ้น 40 องศา)
สามารถประเมินการเคลื่อนของกระดูกเชิงกรานในแนวขึ้นลง (Vertical displacement) ได้
ประเมินการบาดเจ็บ
สัญญาณชีพ : หากเสียเลือดมาก BP ต่ำ, PR เร็ว, oxygen saturation ต่ำ
ตรวจช่องท้อง อุ้งเชิงกราน ฝีเย็บ แผลถลอก/ฉีกขาด การบวมหรือจ้ำเลือด ฟังและเคาะหาเสียงที่ท้อง เป็นการบ่งชี้การคั่งของเลือดในเยื่อบุช่องท้อง
การแบ่งประเภทของกระดูกเชิงกรานหัก
1.กลไกการบาดเจ็บ (Young and Burgess classification)
Anterior-posterior compression (APC) type
กระดูกเชิงกรานหักที่เกิดจากแรงกระแทกในแนวหน้า/หลัง
Lateral compression (LC) type
กระดูกเชิงกรานหักที่เกิดจากแรงกระแทกด้านข้าง
Vertical shear (VS) type
กระดูกเชิงกรานหักที่เกิดจากแรงเฉือนในแนวดิ่ง
2.การหักของวงแหวนเชิงกราน (Tile’s classification)
กระดูกหักแบบมั่นคง (Stable)
วงแหวนเชิงกรานปกติ
กระดูกหักแบบไม่มั่นคงในแนวหมุน (Rotation unstable)
กระดูกหักแบบไม่มั่นคงทั้งในแนวหมุน/ดิ่ง (Rotation and vertical unstable)
Anatomy
Extremities injury
พยาธิสภาพ
Fracture คือ ภาวะที่มีการแตกหรือหักของกระดูก บริเวณที่เกิดการหักอาจแตกเป็นรอย เคลื่อนหลุดออกจากกันหรือไม่ก็ได้ อาจมีการแตกเป็นหลายชิ้น ขึ้นอยู่กับลักษณะการบาดเจ็บและความรุนแรงของอุบัติเหตุ อาจส่งผลให้เกิดความพิการหรือการเสียชีวิตในบางราย
เมื่อมีแรงมากระทำที่กระดูก ทำให้เกิดการฉีกขาดของ Periosteum ทำให้มีเลือดออก รวมถึงไขกระดูกไหลออกมา ทำให้เกิดการบวม และเห็นรอยช้ำ นอกจากนี้การที่เนื้อเยื่อรอบๆกระดูกหักได้รับบาดเจ็บ จะทำให้เกิดการอักเสบมีอาการบวมแดง ร้อนบริเวณที่หัก ถ้ามีการบวมอยู่นานอาจทำให้เกิด Fibrosisโดยเฉพาะบริเวณกระดูกที่หักใกล้ข้อ จะทำให้เกิดข้อยึดติดได้ นอกจากนี้กระดูกที่เคลื่อนจากตำแหน่งเดิม อาจทำอวัยวะใกล้เคียง
บาดเจ็บ เกิดอันตรายต่อเส้นประสาท กล้ามเนื้อและเอ็นเกิดการเกร็งและหดรัดตัว
กลไกกการเกิด
Direct mechanism : กลไกทางตรง
เกิดจากการกระทำในตำแหน่งที่เกิดกระดูกหักโดยตรง เช่น การตี การกระแทก แรงอัดหรือจากการถูกยิง
Indirect mechanism : กลไกทางอ้อม
มีการส่งผ่านของแรงกระทำจากจุดอื่นไปยังตำแหน่งที่เกิดกระดูกหัก เช่น หกล้มก้นกระแทกพื้นกระดูกต้นขาหัก
การตกจากที่สูงแล้วกระดูกสันหลังหัก
Pathological fracture : กระดูกหักทีมีพยาธิสภาพ
ซึ่งกระดูกที่เป็นโรคจะมีการทำลายของกระดูกบริเวณนั้นๆ เช่น
โรคกระดูกอัดเสบติดเชื้อ(Osteomyelitis),
โรคกระดูกพรุน(Osteoporosis),
โรคมะเร็งกระดูก(Osteosarcoma)
การแบ่งชนิดของกระดูกหัก
(Classification of fractures)
2.แบ่งตามลักษณะของบาดแผล
Closed fracture / Simple fracture : ไม่มีแผลเปิด
คือ กระดูกแตกหักโดยที่ผิวหนังไม่ฉีกขาดหรือไม่มีบาดแผล มีโอกาศกดเนื้อเยื่อและหลอดเลือด อาจเกิด
Compartment syndrome
Open fracture / Compound fracture : แบบมีแผลเปิด
Types I
ทิ่มผิวหนังออกมา มีความยาวไม่เกิน 1 cm. แผลสะอาด
Types II
แผลบริเวณกระดูกหัก มีความยาว 1-10 cm.
การปนเปื้อนปานกลาง
กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง
Types III
บาดแผลใหญ่มากกว่า 10 cm
มีกระดูกแตกหลายชิ้น
กล้ามเนื้อถูกทำลายมากร่วมกับหลอดเลือดและเส้นประสาท
III A
เกิดจากการใช้ความเร็วสูงโดยไม่คำนึงขนาดแผล ปนเปื้อนสูง เนื้อเยื่อหุ้มกระดูกฉีกขาด แต่สามารถเย็บคลุมกระดูกได้
III B
มีการปนเปื้อนสูง แผลสกปรก มีการทำลายของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อมาก ไม่มีสิ่งปกคลุมกระดูก ต้องผ่าตัดแก้ไข
III C
กระดูกหักแบบมีแผลเปิด ร่วมกับการบาดเจ็บของหลอดเลือดที่ต้องมีการผ่าตัดซ่อมแซม
1.แบ่งตามขอบเขตของการหัก
กระดูกหักจากกันโดยตลอด (Complete fracture)
กระดูกหักไม่ตลอด (Incomplete fracture)
รูปแบบของกระดูกหัก
(Patterns of fractures)
Transverse fracture : หักตามแนวขวาง
Oblique fracture : หักเฉียง เกิดจากแตกเป็นแนวโค้งหรือลดหลั่นลงมา
Spiral fracture : หักเป็นเกรียวจากการถูกบิด
Comminuted fracture : แตกย่อย ออกเป็น 3 ชิ้นขึ้นไป
Compression fracture : กระดูกยุบตัวจากแงกระแทกรุนแรง
Greenstick fracture : กระดูกเดาะ โดยมีการแตกเพียงด้านเดียว
ส่วนอีกด้านโก่งไปตามแรงที่ปะทะเข้ามา
Stress fracture : กระดูกหักล้า จากการใช้งานซ้ำๆ หรือแรงกระแทกน้อยๆแต่ที่เดิมซ้ำๆ
Impacted fracture : กระดูกยุบเข้าหากัน จากกระดูกได้รับแรงกดทั้งสองด้าน เด็กเล็กมักเกิดที่แขน
Avulsion fracture : ปุ่มกระดูกแตก มักพบที่หัวไหล่และหัวเข่า
อาการและอาการแสดง
Swelling
เกิดจากการสะสมของเลือดบริเวณที่หัก และพบ Ecchymosis
Pain and Tenderness
เมื่อมีการเคลื่อนไหวบริเวณที่หัก
Abnormal movement
ไม่สามารถขยับ หรือควบคุมทิศทางไม่ได้
Deformity
ได้แก่ แขนขาบิด หมุนผิดปกติ กระดูกโก่งงอ ซ้อนเกยกัน
หากกระดูกขาท่อนบนหักหรือกระดูกต้นขาจะสั้นลง หมุนออกด้านนอก
มีเสียงกรอบแกรบเกิดจากปลายกระดูกเสียดสีกัน (Crepitation)
กระดูกหักแบบเปิด จะมีแผลบริเวณผิวหนัง เสี่ยงต่อการเกิด Osteomyelitis
มีอาการชาหรืออ่อนแรงของกล้ามเนื้อหรืออวัยวะ
ถ้ามีอันตรายต่อเส้นประสาทรอบๆกระดูกทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้
อาการอื่นๆ เช่น ภาวะช็อก จากการเสียเลือด
การประเมินผู้บาดเจ็บ
และการตรวจวินิจฉัย
Primary survey
Airway maintenance and cervical spine protection : การประเมินทางเดินหายใจ
Breathing and ventilation : การประเมินการหายใจและการแลกเปลี่ยนก๊าซ
Circulation and hemorrhage control : การประเมินการไหลเวียนโลหิต
Disability : การประเมินระดับความรู้สึกตัวและระบบประสาท
Exposure/Environmental control : แพทย์ควรถอดเสื้อผ้าของผู้ป่วย การประเมินร่างกายโดยละเอียด และป้องกันการเกิดภาวะ hypothermia
During the Primary survey : The 3 S's
Stop the bleeding (pressure/tourniquet)
Splint the extremity
Stabilize the pelvis
Secondary survey
การซักประวัติ : เวลาที่เกิดการบาดเจ็บ ระยะเวลาและวิธีการนำส่งผู้ป่วยมาโรงพยาบาล ตำแหน่งของอวัยวะที่ถูกแรงกระทำ สาเหตุของกระดูกที่หัก และความรุนแรงหรือกระดูกเป็นโรค รวมถึงอาการที่เกิดภายหลังกระดูกหัก เช่น ปวด บวม ฟกช้ำ หรืออวัยวะผิดรูป
การตรวจร่างกาย
-การดู (Inspection) : ถอดเสื้อผ้าคลุมส่วนที่กระดูกหักออก สังเกตบริเวณที่กระดูกหัก บาดแผล รอยฟกช้ำ การเคลื่อนไหวและการผิดรูปของอวัยวะ
-การคลำ (Palpation) : เพื่อค้นหาความผิดปกติ ได้แก่ การโก่ง นูน ความโค้ง การบวม หรือคลำปุ่มกระดูก
-การเคลื่อนไหว (Movement) : ตรวจการเคลื่อนไหวของข้อในทุกทิศทาง
-การวัด (Measurement) : การวัดเส้นรอบวง (Circumferences) เพื่อดูการบวม การเแลี่ยนแปลงขนาดของอวัยวะภายหลังกระดูกหัก และการวัดความยาว (Length) การวัดเพื่อเปรียบ ช่วยให้ทราบถึงความแตกต่าง
-การตรวจสอบอื่นๆ : การทดสอบความมั่นคงของข้อ (Stability), การตรวจกำลังของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหว (Motor power), การตรวจตำแหน่งที่ตั้งปกติของกระดูก (Skeletal landmark) และการฟัง (Auscultation)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐาน : CBC, Electrolyte, UA
การตรวจโดยภาพถ่ายรังสี X-ray : Plain film, Stress flim และ Angiography ดูการบาดเจ็บของหลอดเลือด
การพยาบาล
การพยาบาลในระยะแรก : ภาวะฉุกเฉินก่อนมาถึงโรงพยาบาล
Safe life : การรักษาชีวิตผู้ป่วยเป็นอันดับแรก
Safe limb : รักษาไม่ให้เกิดการสูญเสียเสียอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด
safe function : รักษาอวัยวะนั้นๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติ
กรณีกระดูกหักแบบเปิด : ใบ้ผ้าสะอาดหรือผ้าปลอดเชื้อ (sterile gauze) ปิดบาดแผลกันการปนเปื้อนและช่วยในการห้ามเลือด ใช้ผ้าพันยึด (elastic bandage) พันรัดไว้ให้แน่นจนเลือดหลุดไหล และทำการดาม
การดาม : กันไม่ให้กระดูกที่หักเคลื่อนที่ อาจใช้วัสดุใกล้ตัว เช่น ม้วนหนังสือพิมพ์ แผ่นกระดาน ท่อนไม้ แล้วใช้ผ้าพันยึดกับตำแหน่งที่กระดูกหัก โดยการดามต้องยาวครอบคลุมส่วนกระดูกที่หักและข้อต่อที่อยู่ใกล้กันทั้งข้อบนและข้อล่าง ช่วยให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยรวดเร็วขึ้นและป้องกันการเกิดภาวะละอองไขมันอุดตันในเส้นเลือด (Fat embolism)
กรณีแขนขาขาด : ล้างส่วนอวัยวะที่ขาดด้วย 0.9% NSS เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและห่อด้วยก็อซชุบ 0.9% NSS หมาดๆ ใส่ถุงพลาสติกปิดมิดชิด ติดชื่อ-นามสกุลผู้บาดเจ็บ และเวลาข้างถุง จากนั้นใส่ในภาชนะที่มีน้ำแข็งและนำส่งโรงพยาบาลพร้อมผู้บาดเจ็บ
การประเมินผลลัพธ์การบาดเจ็บในระยะก่อนถึงโรงพยาบาลเนื่องจากกระดูกหักโดยทั่วไปมักเกิดจากอุบัติเหตุที่รุนแรงทำให้มีการบาดเจ็บร่วมได้หลายระบบ
การพยาบาลระยะหลัง : เมื่อมาถึงโรงพยาบาล
กรณีแผลเปิดที่มีกระดูกโผล่ชัดเจน : ต้องล้างแผลให้สะอาดก่อนปิดแผลด้วย 0,9% NSS ยกเว้นแผลที่มีการทะลุเหนือตำแหน่งที่กระดูกหักจะไม่ล้างแผล เพราะอาจทำให้เบื้อโรคเข้าไปในแผลมากขึ้น
ให้ส่วนที่บาดเจ็บอยู่นิ่งๆ : การดาม (Splint) ให้เลยตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ และประเมินการเคลื่อนไหว ความรู้สึก ชีพจรทั้งก่อนและหลังการดาม
ลดปวดและลดบวม : โดยการประคบเย็นและยกส่วนที่บาดเจ็บขึ้นสูง แร่ไม่ควรยกสูงเกินไปเพราะอาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ในรายที่ใส่แหวนต้องถอดออก
วัคซีน : ให้วัคซีนป้องกันบาดทะยักและยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
การงดน้ำ งดอาหาร ในกรณีที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยเฉพาะการบาดเจ็บจากการทำงานด้านเกษตรกรรม
หรือการบาดเจ็บในน้ำจะต้องผ่าตัดทันทีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
บันทึกสภาพทางระบบประสาทแบะหลอดเลือด : ก่อนและหลังการจัดกระดูกให้เข้าที่ โดยสิ่งที่ควรบันทึกคือ
การเคลื่อนไหว การรับรู้ความรู้สึก ชีพจรที่ข้อมือ ตาตุ่มและหลังเท้า ประเมินอาการแทรกซ้อนจากเนื้อเยื่อถูกกด
การรักษากระดูกหัก
(Fracture management)
การรักษาทั่วไป : ภาวะช็อคจากการเสียเลือด โดยกระดูกหักอาจเกิดร่วมกับการยาดเจ็บของอวัยวะอื่นๆ ต้องรักษาภาวะคุกคามต่อชีวิตก่อน
Reduction : การจัดกระดูกหักให้เข้าที่
Closed reduction : การดึงด้วยมือ(Manual manipulation) กระดูกหักที่มีความโก่งแต่ชิ้นกระดูกติดกัน, การใช้เครื่องมือหรือการดึงโดยใช้น้ำหนักถ่วง(Traction) อาจดึงจากผิวหนังหรือกระดูกโดยตรง
Open reduction : การผ่าตัดเข้าไปจัดให้กระดูกเข้าที่ เข่น การใส่โลหะยึดกระดูก
Retention / Immobilization : การดามหรือการตรึงกระดูก
External fixation : การเข้าเฝือก(cast), การใส่เฝือกกาบ(slab), การใส่เครื่องดึง(Traction) เป็นต้น
Internal fixation : ด้วยแผ่นโลหะ ตะปูเกลียว แท่งโลหะ และเส้นลวด เรียกว่า Open reduction and internal fixation (ORIF)
Rehabilitation : การฟื้นฟูสมรรถภาพ เข่น การออกกำลังกาย การใช้อุปกรณ์พยุง เป็นต้น
กระดูกหักที่พบบ่อย
Upper extremities
ข้อไหล่เคลื่อน (Shoulder dislocation)
กลไกการบาดเจ็บ : อุบัติเหตุที่รุนแรง และได้รับการกระแทกโดยตรง หรือการกระทำโดยอ้อมซึ่งพบได้บ่อย
อาการ : จะตรวจพบกระดูก acromion นูนกว่าปกติ และตรวจ Dugar's sign positive
การรักษา : ดึงให้เข้าที่ Traction counter traction
Fracture of the humerus
กลไกการบาดเจ็บ : แรงกระแทกที่แขนโดยตรง หรือการบ้มใช้มือยันพื้น พบในผู้สูงอายุมาก รอยหักมักพบระหว่าง middle third ต่อกับ distal
อาการ : ปวดอย่างรุนแรง มีการผิดรูปของแขน
ตรวจ : ถ่ายภาพรังสีของแขน ในท่า AP แบะ lateral
การรักษา : กรณีไม่มีบาดแผล สามารถรักษาด้วยการเข้าเผือกเป็นส่วนใหญ่ โดย coaptation spirt หรือ
U-slab ใช้ระยะเวลา 8-12 สัปดาห์
หรือการผ่าตัดยึดด้วยเหล็ก
Fracture of the clavicle
กลไกการบาดเจ็บ : การกระแทกที่ด้านข้างของข้อไหล่ การหกล้มแขนเหยียดมือยันพื้น การกระแทกโดยตรง หรือการถูกบีบอัดที่ไหล่ทั้งสองข้าง
อาการ : แขนและไหล่หลุดลงและหมุนเข้าด้านใน ผู้ป่วยจะประคองแขนไว้ไม่ให้ดึงรั้งเพราะจะเกิดอาการปวด หากมีแรงกระทำให้กระดูกทิ่มทะลุผิวหลัง อาจเกิดการกดต่อ neurovascular bundle
การตรวจ : ถ่ายภาพรังสีในท่า AP view
การรักษา : การดึงถ่วงน้ำหนักจากภายนอก เช่น figure of eight bandage และ shoulder spica
Fracture of the radius and ulna
กลไกการบาดเจ็บ : เกิดการกระแทกที่แขนส่วนปลายอย่างรุนแรง
อาการ : ผู้ป่วยมักมีอาการปวดและบวมที่แขนส่วนปลายมาก อาจเกิดภาวะ compartment syndrome
การรักษา : การดึงกระดูกทั้งสองอันให้เข้าที่โดยไม่ผ่าตัดนั้นทำได้ยาก เนื่องจากมีกล้ามเนื้ออยู่มาก แบะมี pronator teres และ supinatir เกาะที่กระดูก radius ทำให้เกิดการหมุนของกระดูก การรักษาด้วยวิธีใส่เผือกนิยมในรายที่กระดูกหักแบบไม่เคลื่อนที่ (non displaced) กรณีที่มีการเคลื่อนที่มากหรือไม่สามารถดึงเข้าที่ได้ จะรักษาด้วยการผ่าตัดยึดกระดูกด้วยโลหะ
Lower extremities
Femoral shaft fracture
กลไกการบาดเจ็บ : จากอุบัติเหตุที่รุนแรงจากการจราจร ตกที่สูง และผู้สูงอายุจากภาวะ pathologic fracture
อาการ : อาจเกิดภาวะ hypovolemic shock เนื่องจากมี femoral artery หากมีการฉีกขาดจะมีการบวมผิดรูปอย่างชัดเจน
การตรวจ : ภาพถ่ายรังสี AP และ Lateral กรณีเห็นภาพไม่ชัดเจนส่งทำ CT scan
การตรวจ angiogram ในรายที่มีการบาดเจ็บของเส้นเลือด
การรักษา : การผ่าตัดยึดตรึงกระดูก โดยใช้โลหะ Intramedullary nailing และ plate fixation นิยมในผู้ที่มีโพรงกระดูกขนาดเล็ก และพิจารณา External fixation กรณีที่มีกระดูกหักแบบเปิดที่ทีเนื้อเยื่ออ่อนบาดเจ็บรุนแรง หรือเส้นเลือดแดงใหญ่บาดเจ็บร่วม
Hip dislocation
กลไกการบาดเจ็บ : มักเกิดจากอุบัติเหตุที่รุนแรง มีการกระแทกด้านหน้าของขาหรือเข่า มักถูกกระแทกขณะที่งอสะโพกและงอเข่า
อาการ : ผู้ป่วยจะปวดสะโพกอย่างมากและไม่สามารถยืนหรือเดินได้
การตรวจ : การถ่ายภาพรังสีในท่า anteroposterior และ lateral cross table ของสะโพกด้านที่ผิดรูปเพื่อช่วยยืนยัน
การรักษา : ต้องรีบดึงข้อสะโพกให้เข้าที่ อาจเกิดภาวะกระดูกตายจากการขาดเลือด (Avascular necrosis) ดึงข้อสะโพกทำได้ด้วยวิธีของ Allis หรือ Stimson และการผ่าตัดข้อเข้าที่กรณีที่มีการแตกของกระดูกต้นขา หรือเบ้าสะโพกร่วมด้วย
Fracture neck of femur
กลไกการบาดเจ็บ : มีความสัมพันธ์กับภาวะกระดูกพรุนมักเกิดในผู้สูงอายุ อุบัติเหตุ แรงกระทำที่รุนแรง เช่นตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุทางจราจร
อาการ : ปวดสะโพกหรือขาหนีบ ไม่สามารถนั่งหรือยืนได้ มีการหดสั้นและบิดหมุนออกของเท้าและขา
การตรวจ : ถ่ายภาพรังสีท่าตรง และท่า lateral cross table จะพบความไม่ต่อเนื่องของ shenton line แต่หากมีการหักไม่สมบูรณ์ การถ่ายภาพรังสีในท่าสะโพกบิดเข้าด้านในจะช่วยให้เห็นชัดเจนขึ้น และการถ่ายภาพเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การรักษา : การผ่าตัดยึดกระดูกโดยใช้ screw ยึดเข้าหากัน(close or open reduction with multiple screws fixation) หรือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม(Hemaiarthroplasty or total hip replacement)
ภาวะแทรกซ้อนของกระดูกแขนขาหัก
1.Acute complications : ภาวะแทรกซ้อนระยะเฉียบพลัน
Hypovolemic shock
Venous thromboembolism
กลุ่มอาการที่เนื้อเยื่อถูกกดทับ Deep vein thrombosis
2.Late complications : ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นภายหลัง
กระดูกติดผิดรูปไปจากเดิม กระดูกไม่ติดกัน
กระดูกขาดเลือดและตาย ปวดเรื้อรัง
ภาวะความดันเพิ่มในช่องกล้ามเนื้อ
การติดเชื้อในกระดูกหักแบบเปิด
Disuse syndrome : ข้อติด กล้ามเนื้อลีบ
การบาดเจ็บที่ประสาทส่วนปลายแขนและขา
Radial nerve
สาเหตุ : กระดูกต้นแขนหัก (humerus) โดยเฉพาะส่วนปลายหรือกลางกระดูก
ตรจพบ : ยกนิ้วโป้งไม่ได้ (hitchhiker sign) ทดสอบโดยเอานิ้วโป้งแตะกับนิ้วชี้ OK sign / กระดกข้อมือหรือนิ้วโป้ง
Ulna nerve
สาเหตุ : ส่วนปลายของกระดูกต้นแขนด้านในหัก
ตรวจพบ : ปลายนิ้วก้อยชาหรือไม่รู้สึกปวด ทดสอบโดยกางนิ้วต้านแรงผู้ตรวจ
Median nerve
สาเหตุ : ข้อศอกเคลื่อนหรือบาดเจ็บที่ข้อมือหรือกระดูกปลายแขน
ตรวจพบ : ปลายนิ้วชี้ชาหรือไม่มีความรู้สึกปวด ใช้นิ้วโป้งแตะนิ้วก้อยและนิ้วอื่นๆ (Opposition)
Peroneal nerve
สาเหตุ : กระดูกขาท่อนล่างหักหรือเข่าเคลื่อน
ตรวจพบ : กระดิกนิ้วเท้าระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ไม่ได้ กระดกข้อเท้าไม่ขึ้น
Tibial nerve
สาเหตุ : กระดูกขาท่อนล่างหัก
ตรวจพบ : ไม่มีความรู้สึกหรือชาที่ฝ่าเท้า กระดกข้อเท้าลงไม่ได้
Anatomy
Muscle injury
ภาวะแทรกซ้อน
Compartment syndrome
เป็นภาวะความดันในช่องปิดกล้ามเนื้อสูงขึ้น จนกระทั่งรบกวนต่อระบบ ไหลเวียนเลือด และการทํางานของเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องนั้นๆ เกิดจากเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้น กล้ามเนื้อขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อที่ถูกล้อมรอบด้วยพังผืดที่เหนียวอาจถูกบีบรัดทําให้ความดันในกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น และเกิดอาการปวดจากการขาดเลือดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อตาย มักพบภายหลังการบาดเจ็บ ที่พบได้บ่อยใน anterior compartment และ posterior compartment of lower leg
Acute Compartment syndrome
ภาวะความดันในช่องปิดของกล้ามเนื้อสูงแบบเฉียบพลัน อาจเกิดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันหลังได้รับบาดเจ็บ
Chronic Compartment syndrome
ภาวะความดันในช่องปิดของกล้ามเนื้อสูงแบบเรื้อรัง มักเกิดขึ้นบริเวณต้นขา ขาส่วนล่าง รวมถึงการออกกำลังกายเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงได้ขึ้นอยู่กับความหนักและความถี่
อาการแสดง
มีอาการปวด ปวดลึกๆ ไม่มีขอบเขต (อาการแรก)
เหน็บชา
มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
ซีด เขียวคล้ำ
ความรู้สึกเพี้ยน
คลําชีพจรไม่ได้ (pulselessness)
การรักษา
พักกล้ามเนื้อส่วนนั้นทันที
ประคบด้วยความเย็น
ยกส่วนนั้นให้สูง เพื่อลดการคั่งของเลือดและของเหลวในกล้ามเนื้อ
ถ้ายังคงมีอาการอยู่ หลังจากออกกําลังกายแล้วเกิน 60 นาที และมีอาการแสดง ของเส้นเลือด และเส้นประสาทถูกกดรัดร่วมด้วย แพทย์อาจต้องผ่าตัด fasciotomy
Myofascial pain syndrome
เป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อที่มีจุดกดปวดที่เรียกว่า myofascial trigger point ในกล้ามเนื้อหรือ fascia Myofascial pain syndrome
อาการแสดง
ปวดแบบลึกๆ (deep dull aching) และเมื่อกดที่จุด trigger point ก็จะมีอาการปวดร้าวที่มีแตกต่างกันออกไปเฉพาะกล้ามเนื้อแต่ละมัด ซึ่งไม่เป็นไปตาม nerve distribution ถ้าไม่คุ้นเคยก็อาจทําให้รู้สึกว่าเป็นอาการปวดร้าวที่แปลก
มีความรู้สึกท่ีเปลี่ยนแปลงไป ที่พบบ่อยคือ paresthesia และอาการชาซึ่งเมื่อตรวจร่างกายแล้วไม่พบ impaired sensation จริง
อุณหภูมิบริเวณที่เกิด referred pain ลดลง
การรักษา
การนวดกดจุดที่จุด trigger point
โดยเฉพาะบริเวณต้นคอและศีรษะ
การพ้นด้วยความเย็นแล้วยืดกล้ามเนื้อ (Stretch and spray)
การใช้ยาตามอาการแสดงที่เกิดขึ้น เช่น ยาลดปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาNSAID ยาSteroid เป็นต้น
Acupuncture
การทํา ultrasound บริเวณ trigger point เพราะนอกจากจะทําให้กล้ามเนื้อคลายตัวแล้ว ยังมีผลเหมือนการนวดในระดับเซลล์ (micromassage) จากพลังงานของคลื่นเสียง ส่วนความร้อนชื้น เช่น การใช้ hot pack จะมีผลคลายกล้ามเน้ือผ่านทาง reflex มากกว่า
MUSCLE STRAIN
การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหรือเอ็นยึดระหว่างกระดูกกับกล้ามเนื้อ เนื่องจากถูกกระแทกหรือมีแรงกระทำต่อกล้ามเนื้อทำให้หลอดเลือดฝอยบริเวณนั้นฉีกขาด มีเลือดออกเป็นจ้ำๆและปวด มักเป็นผลจากการใช้งานมากเกินไป ทำให้ล้า มักเกิดที่ต้นขา และน่อง สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกายและเกิดได้กับทุกวัย
ระดับความรุนแรง
Grade 1 Mild Strain
ไม่มีการฉีกขาดของเอ็น มีอาการปวด กดเจ็บ กล้ามเนื้อเกร็ง
การรักษา : พันผ้ายืด ยกส่วนที่บาดเจ็บสูงกว่าหัวใจและประคบเย็น
Grade 2 Moderate Strain
มีอาการปวดกล้ามเนื้อ กดเจ็บ บวม ซีด ขยับส่วนที่บาดเจ็บไม่ได้เป็นเวลานาน
การรักษา : พันผ้ายืด ยกส่วนที่ได้รับบาดเจ็บให้สูง ประคบเย็นใน 24 ชั่วโมงแรก ให้ยาระงับปวด และลงน้ำหนักได้เล็กน้อย
Grade 3 Severe Strain
มีการฉีกขาดของเอ็นและกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง มีอาการปวดมาก กดเจ็บ บวมและมีรอยฟกช้ำจากเลือดออก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือไม่สามารถขยับข้อต่อได้
การรักษา : พันผ้ายืดหรือดาม ยกส่วนที่บาดเจ็บสูงกว่าหัวใจ ให้ส่วนที่บาดเจ็บได้พัก ประคบเย็นครั้งละ 20 นาที/ชั่วโมง จนครบ 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ประคบร้อน ให้ยาระงับความปวด (ให้ NSAID และ analgesic) และห้ามลงน้ำหนักอย่างน้อย 48 ชั่วโมง และแพทย์อาจผ่าตัดในกรณีที่เอ็นฉีกขาด
SPRAINS
ระดับความรุนแรง
Grade 1 Mild sprain
เอ็นบางเส้นยืดแต่ไม่เสียความมั่นคง มีอาการปวด ตึง บวมเล็กน้อย
การรักษา : พันผ้ายืด ประคบเย็น 12 hr และลงน้ำหนักได้เล็กน้อย
Grade 2 Moderate sprain
เอ็นบางส่วนฉีกขาดทำให้เสียความมั่นคงเล็กน้อย มีอาการปวดตึงมากขึ้น บวม ขยับส่วนที่บาดเจ็บไม่ได้
การรักษา : พันผ้ายืด ประคบเย็น 24 hr ยกส่วนที่บาดเจ็บสูงกว่าหัวใจใน 48 hr แรก หลังการบาดเจ็บอาจใส่ปลอกหุ้มข้อและลงน้ำหนักได้เล็กน้อย
Grade 3 Severe sprain
เอ็นที่ยึดข้ออย่างน้อย 1 เส้น ฉีกขาดอย่างสมบูรณ์ ทำให้ข้อเสียความมั่นคง มักเกิดร่วมกับข้อเคลื่อนหลุด อาการปวดรุนแรงขึ้น ขยับส่วนที่เจ็บไม่ได้
การรักษา : ให้ยาระงับความปวดตามด้วยอุปกรณ์ดามหรือเข้าเฝือก ประคบเย็นครั้งละ 10 - 20 min ทำทุก 1-2 hr จนครบ 48 hr และห้ามลงน้ำหนัก
การบาดเจ็บของเอ็นยึดข้อและเยื่อหุ้มข้อ หรือเอ็นที่ยึดระหว่างกระดูกกับกระดูก สาเหตุมาจากข้อบิดหรือเมื่อข้อและเอ็นยึดข้อถูกใช้งานมากกว่าปกติ มักเกิดบริเวณข้อเท้า เข่า ข้อมือและไหล่
กลไกการบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อ
แรงกระทำซ้ำๆ (Overuse injury)
เป็นกลไกที่พบบ่อยที่สุด การบาดเจ็บที่เกิดจากแรงกระทําต่อเนื้อเยื่อที่มีขนาดของแรงน้อยแต่กระทําซ้ำๆ เป็นเวลานานสามารถทําให้เกิดการทําลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ก่อให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อและเกิดการอักเสบตามมา เช่น muscle strain, tendon strain, tendinitis, ligamentous sprain และ stress fracture
การอักเสบ (Inflammation)
เกิดขึ้นได้ตามหลังการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อร่างกาย แต่บางครั้งเกิดจากปฏิกิริยาของเนื้อเยื่อของร่างกายโดยไม่ต้องมีแรงมากระทําก็ได้ เช่น rheumatoid arthritis, osteoarthritis, gouty arthritis เป็นต้น เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นจะมีการหลั่ง inflammatory substances ต่าง ๆ ซึ่งจะไปกระตุ้น pain receptors ทําให้ปวดกระตุ้นให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน prostaglandin เป็น substance ตัวสําคัญที่ทําให้เกิดอาการเจ็บปวด
แรงกระทำแบบเฉียบพลัน
(Acute mechanical force)
Direct injury
เมื่อมีแรงภายนอกกระทําต่ออวัยวะ/เนื้อเยื่อของร่างกายจนเกิดการบาดเจ็บ จะทำให้เกิดการเสีย deformation ซึ่งการบาดเจ็บนั้นอาจเป็นเพียง contusion, laceration หรือ tendon rupture จนถึงกระดูกหัก หรือข้อเคลื่อนหลุด (dislocation) มักพบกลไกนี้ในอุบัติเหตุต่าง ๆ ถ้าเป็นนักกีฬาพบบ่อยในกีฬาปะทะ (contact sports)
Soft tissue failure
เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อจนเกิดแรงตึง (tension) ในกล้ามเนื้อและเอ็นกล้ามเนื้อที่มากเกิน ทําให้เกิดการยืดหรือฉีกขาดหรือเกิดจากการเคลื่อนไหวกระชากหรือยืดเอ็น กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ หรือผิวหนังอย่างรุนแรง รวมทั้งการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลัง
การดูแลการบาดเจ็บเนื้อเยื่อ
ระยะ 24-48 hr แรก
หลัก RICE
Rest
ให้ส่วนที่บาดเจ็บอยู่นิ่ง หยุดกิจกรรมที่ทำให้บาดเจ็บทันที ห้ามนวดหรือบีบแรงๆ
Ice
การประคบด้วยความเย็นนาน 10-20 นาที เพื่อลดบวมและลดปวด ทำได้ทุก 2-3 ชั่วโมง เอาออกทันทีหากผู้ป่วยรู้สึกชา
ห้ามใช้ในผู้ที่มีปัญหาการไหลเวียนเลือดไม่ดี
Compress
การพันส่วนที่บาดเจ็บด้วยผ้ายืด
เพื่อป้องกันการบวม อย่าพันแน่นเกินไป
Elevation
การยกหรือพยุงส่วนที่บาดเจ็บ
ให้สูง เพื่อลดบวม
ระยะพ้น 48 hr หลังบาดเจ็บ
หลัก HEAT
Hot application
การประคบร้อน ครั้งละ 20-30 min ทำทุก 1-2 hr โดยมีผ้าป้องกันไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับถุงความร้อนโดยตรง หรือหากไม่ระคายเคืองใช้เจลหรือขี้ผึ้งให้เกิดความร้อนได้ เช่น พริก ขี้ผึ้งที่มีเมนทอล
Exercise
การบริหารบริเวณที่บาดเจ็บและบริเวณรอบๆ
โดยเริ่มทำช้าๆและเบาๆ
Advanced exercise
การบริหารส่วนที่บาดเจ็บให้กล้ามเนื้อทำงานมากขึ้น
Training
การฝึกซ้อมกิจกรรมที่เคยทำก่อนได้รับบาดเจ็บ
โดยเริ่มฝึกจากการฝึกเบาๆก่อน
Muscle cramp
เกิดจากการหดเกร็งชั่วคราวของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อเป็นตะคริว จะก่อให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงในกล้ามเนื้อนั้น ตะคริวมักเกิดกับกล้ามเนื้อ gastrocnemius กล้ามเน้ือหน้าท้อง กล้ามเนื้อ hamstrings และกล้ามเน้ือของเท้าและนิ้วเท้าในนักว่ายน้ํา เป็นต้น
สาเหตุ
การขาดเกลือแร่ เช่น sodium, magnesium และ calcium เป็นต้น
dehydration
ก่อนการออกกําลัง
กล้ามเนื้อไม่ฟิตพอ เช่น ความแข็งแรงหรือความทนทานไม่เพียงพอที่จะทํางานนั้นๆในระยะเวลาหนึ่ง
สภาพอากาศเย็นที่ไม่คุ้นเคย
การใช้ผ้ายืดหรือ brace รัดบนกล้ามเนื้อแน่นเกินไป
การรักษา
หยุดการออกกำลังทันที หากออกกำลังกายอยู่
ค่อยๆ ยืดกล้ามเนื้อมัดที่เกิดตะคริวออกช้าๆ ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับการหดตัวของ กล้ามเนื้อมัดนั้น ห้ามใช้แรง
ต้านมากเกินไปอย่างรวดเร็วเพราะกล้ามเนื้ออาจฉีกขาดได้
ประคบด้วยความร้อนเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อ และนําสารอาหารและออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ
ไม่ควรบีบนวดขณะที่ยังไม่ได้ให้ความร้อนเพราะจะยิ่งกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัว
กรณีที่เป็นตะคริวทั่วทั้งตัว อาจต้องฉีด muscle relaxant
Muscle contusion
กล้ามเนื้ออาจเกิดการชอกช้ำได้จากถูกของแข็งมากระแทก พบบ่อยในบริเวณกล้ามเนื้อหน้าขา กล้ามเนื้อหน้าท้อง และ กล้ามเนื้อหัวไหล่ จากการตรวจร่างกาย อาจคลําได้ก้อนแข็งภายในกล้ามเนื้อที่เคยได้รับบาดเจ็บ และลดองศาการเคลื่อนไหวของข้อท่ีกล้ามเนื้อน้ันทอดผ่าน
ภาวะแทรกซ้อน
อาจพบตามหลังการเกิดกล้ามเนื้อชอกช้ำรุนแรงคือ myositis ossificans ซึ่งมีการสร้างเนื้อเยื่อกระดูกหรือกระดูกอ่อนในกล้ามเนื้อที่เคยบาดเจ็บ ทําให้เป็นอุปสรรคในการกลับมาเล่นกีฬา
อาการแสดง
กดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อ
อาจพบรอยฟกช้ำที่ผิวหนัง
มีอาการบวมในกล้ามเนื้อ
การรักษา
พักกล้ามเนื้อส่วนนั้น และประคบด้วยความเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก
พันผ้ายืดเพื่อลดเลือดออกในกล้ามเนื้อและยกส่วนท่ีบาดเจ็บให้สูงเพื่อลดการบวม
ถ้ากล้ามเนื้อชอกช้ำรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง ควรเริ่มออกกําลังแบบ passive ROM exercise ให้เร็วที่สุดเพื่อลดโอกาสการเกิด myositis ossificans และการใช้ NSAID โดยเฉพาะ indomethacin จะช่วยป้องกัน myositis ossificans ได้
Dislocation of the knee
กลไกการบาดเจ็บ : ข้อเข่ามี structure ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของข้อ ดังนั้นจึงต้องมีแรงกระแทกที่รุนแรงจึงจะทำให้ข้อเกิดการแตกหรือหลุดได้
อาการ : ปวดบริเวณเข่าและมีการผิดรูปของเข่า อาจพบการบวมหรือรอยฟกช้ำรอบๆข้อเข่า หรือมีภาวะเลือดออกในข้อ
การตรวจ : คลำชีพจรที่ข้อเท้าและหลังเท้า และกำลังกล้ามเนื้อและความรู้สึก การวินิจฉัยร่วมคือการถ่ายภาพรังสีในท่า AP และ Lateral จะเห็นชัดเจน
การรักษา : ต้องรีบดึงให้เข้าที่ เพื่อบรรเทาปวดและช่วยการไหลเวียนของเลือด และตรวจชีพจรตำแหน่ง dorsalis pedis และ posterior tibial ซ้ำอีกครั้ง หากไม่พบชีพจรต้องส่งไปทำการรักษา Angiography เพื่อผ่าตัดหลอดเลือด