Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สมองพิการ (Cerebral palsy) - Coggle Diagram
สมองพิการ (Cerebral palsy)
ข้อมูลทั่วไป
⠀⠀⠀
วันที่ 5 เมษายน 65 เวลา 8.00 น. ตรวจร่างกายพบว่า ตัวร้อน กล้ามเนื้อเกร็งที่แขน ขา
ทั้ง 2 ข้าง หายใจเสียงครืดคราด มีเสมหะสีขาวขุ่นในปากและไหลออกมา ส่งเสียงอืออา เข้าใจความหมายที่พูด ตอบรับด้วยการกระพริบตา เดินไม่ได้ ลุกนั่งโดยต้องช่วยและประคองไว้ไม่ให้ล้มตลอด เคลื่อนไหวมือได้เล็กน้อย on IV lock ที่แขนซ้าย น้ำหนัก 11 kg. ส่วนสูง 85 cm. on gastrostomy tube
สัญญาณชีพ BT 38.0 C PR 108 bpm. RR 54 bpm. O2sat 98% BP 102/64 mmHg ฟังเสียงปอดได้ Crepitation both lungs Rt > Lt
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC : WBC 12.5 x103 /ul ⬆️ , RBC 4.63x106/ul HGB 16.2 gm% Hct. 46.3% Plt. 420x103/ul
Neu. 70% Lym. 27% Mo. 2% Eo. 0.5% Bas. 0.5%
Chest x-ray พบ infiltration rt.lung
แพทย์วินิจฉัย สมองพิการและปอดอักเสบ
เด็กเพศชาย อายุ 3 ปี GA 38 wks. คลอด Normal Labor วันที่ 11 มีนาคม 62 เวลา 4.00 น. น้ำหนักแรกเกิด 2,950 กรัม ความยาว 50 เซนติเมตร เส้นรอบศีรษะ 34 เซนติเมตร เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยเด็ก เนื่องจากมีไข้ เสมหะมาก ก่อนมาโรงพยาบาล 1 วัน admit 3 เมษายน 65
คำสั่งการรักษา
Order for one day
on IV lock
Order for continue
อาหารปั่นเหลว 80 ml x 4 feeds น้ำตาม 20 ml
Record V/S , I/O q 4 hr.
Record Body weight O.D.
tab diazepam (2mg) 1/2 tab oral q 6 hr.
inj. Cefotaxime 300 mg IV in 30 min q 6hr
Syr. Paracetamol (120mg/5ml) (10mg/kg) 4.6 ml oral q 4 hr prn for fever
เกิดจากสมองที่กำลังเจริญเติบโตบางส่วนถูกทำลาย ซึ่งสมองส่วนที่ถูกทำลายเป็นส่วนที่มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว จึงทำให้การเคลื่อนไหวของแขน ขา กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายล่าช้าหรือบกพร่อง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกร็ง การทรงตัวไม่ดี เดินไม่ได้ เป็นต้น
(ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย, 2562)
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 3 การเคลื่อนไหวของร่างกายบกพร่อง Impaired physical mobility (Domain 4 Class 2)
ข้อมูลสนับสนุน
เดินไม่ได้ ลุกนั่งโดยต้องช่วยและประคองไว้ไม่ให้ล้มตลอด เคลื่อนไหวมือได้เล็กน้อย
เป้าหมายการพยาบาล
การเคลื่อนไหวของร่างกายดีขึ้น เช่น ขยับแขนหรือขาได้มากขึ้น ข้อไม่ติดแข็ง กล้ามเนื้อไม่ลีบ ไม่เกิดแผลกดทับ
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ดูแลให้ได้รับยา Diazepam 2 mg 1/2 tab oral q 6 hr เพื่อคลายกล้ามเนื้อ พร้อมสังเกตอาการหลังได้รับยา เช่น ง่วงซึม ตามัว มองเห็นภาพไม่ชัดเจน มองเห็น
ภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก กดการหายใจหรือหายใจผิดปกติ ชีพจรเต้นช้าหรือเร็ว ความดันโลหิตต่ำหรือสูง บวม ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
ส่งเสริมให้เด็กนั่งโดยช่วยพยุง ทุกวัน เช้า-เย็น เพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหว
จัดหาของเล่นที่จะกระตุ้นให้เด็กเกิดการเคลื่อนที่หรือการเคลื่อนไหว เช่น นำของเล่นที่เขย่ามีเสียงไพเราะใส่ในมือเด็ก ให้เด็กเคลื่อนไหวมือ เป็นต้น
ช่วยเด็กในการใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น อุปกรณ์ช่วยเดินสำหรับเด็กที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริม
แนะนำบิดามารดา ญาติ หรือผู้ดูแลเด็กให้เด็กมีการออกกำลังกาย อาจเป็นการออกกำลังกายแบบ active หรือ passive ตามความสามารถของเด็ก โดยขณะออกกำลังกายจะต้องระมัดระวังอย่าให้กระดูกหักหรือข้อเคลื่อน
เกณฑ์การพยาบาล
สามารถเคลื่อนไหวของร่างกายดีขึ้น เช่น ขยับแขนหรือขาได้มากขึ้น ข้อไม่ติดแข็ง กล้ามเนื้อไม่ลีบ ไม่เกิดแผลกดทับ
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 2 ภาวะโภชนาการไม่สมดุล:
ได้รับสารอาหารโดยน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย (ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ) Imbalanced nutrition: less than body requirements (Domain 2 Class 1)
ข้อมูลสนับสนุน
BW 11 kg.
เป้าหมายการพยาบาล
ได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
เกณฑ์ประเมินผล
ได้รับสารอาหารครบทุกมื้อ
น้ำหนักไม่ลดลงจากเดิม
น้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.5 kg/wk
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินภาวะโภชนาการ (Nutritional assessment) ว่าได้รับสารอาหารเพียงพอหรือไม่
ติดตามชั่งน้ำหนักวันละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินภาวะการเจริญเติบโตโดยนำมาเปรียบเทียบกราฟน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ
ตรวจสอบ gastric content ก่อนให้อาหารทางสายยางทุกครั้ง
ดูแลให้ได้รับอาหารปั่นเหลว 80 ml x 4 feeds น้ำตาม 20 ml ผ่านสายสวนกระเพาะอาหาร (gastrostomy tube)
ตามแผนการรักษา
บันทึกสารน้ำเข้า-ออก
มีการประสานงานกับนักโภชนาการประจำโรงพยาบาล เพื่อปรึกษาวางแผนปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับ
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 4 การสื่อสารด้วยคำพูดบกพร่อง
(Domain 1 Class 3)
เป้าหมายการพยาบาล
เข้าใจในความหมายของคำพูดและสื่อความต้องการได้
เกณฑ์ประเมินผล
สามารถพูดเป็นคำ ๆ ได้หรือพูดได้ 1-2 คำ
สื่อความต้องการโดยการกระพริบตาเพิ่มขึ้น
ข้อมูลสนับสนุน
ไม่สามารถพูดได้ ออกเสียงอืออา
เข้าใจความหมายที่พูดตอบรับด้วยการกระพริบตา
กิจกรรมการพยาบาล
ขณะสื่อสารกับผู้ป่วยต้องอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ป่วยเห็นได้ชัดเจน สบตาขณะพูด พูดช้า ๆ ชัด ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยเห็นปากเวลาพูดจะได้เข้าความหมายมากขึ้น และตั้งใจฟังผู้ป่วย ทวนข้อความที่ผู้ป่วยต้องการจะสื่อ เมื่อไม่เข้าใจตองถามซ้ำและพูดซ้ำ
ขณะทำกิจกรรมการพยาบาลควรพูดคุยกับผู้ป่วย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสื่อสาร
แนะนำบิดามารดา ญาติหรือผู้ดูแลเด็กในการดูแลส่งเสริมพัฒนาการเด็กอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น การเล่านิทาน เปิดการ์ตูนและเพลงเด็ก พูดคุยกับเด็กบ่อยๆด้วยคำสั้นๆง่ายๆและมีความหมาย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสื่อสาร
ติดตามและประเมินพัฒนาการเป็นระยะๆ
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 1 การแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง Impaired gas exchange (Domain 3 Class 4)
เป้าหมายการพยาบาล
การแลกเปลี่ยนแก๊สเพิ่มขึ้น และการติดเชื้อที่ปอดลดลง
เกณฑ์ประเมินผล
สัญญาณชีพปกติ
T 36.5-37.4 C
RR 24-40 bpm
oxygen saturation ≥95 %
ไม่มีอาการหายใจเร็ว อาการหายใจอกบุ๋ม หายใจปีกจมูกบาน retraction
ฟังเสียงปอดไม่พบเสียงผิดปกติ เช่น เสียง rhonchi , crepitation
เด็กสามารถพักหลับได้
ปริมาณเสมหะลดลง
Chest x-ray : Normal chest
WBC Count. = 4000-11000 /uL
ข้อมูลสนับสนุน
หายใจเสียงครืดคราด
มีเสมหะสีขุ่นในปากและไหลออกมา
ฟังปอดพบเสียง crepitation both lungs Rt.>Lt. lung
Chest x-ray พบ infiltration Rt. lung
BT 38.0 C
WBC 12500 /ul
กิจกรรมการพยาบาล
บันทึกสัญาณชีพ โดยเฉพาะอัตราการหายใจ ความเข้มข้นออกซิเจน
ทุก 4 ชั่วโมงเพื่อประเมินเเละติดตามอาการของเด็ก
ประเมินความรู้สึกตัว สังเกตอาการกระสับกระส่าย สับสนของผู้ป่วย เพื่อติดตามระดับความรู้สึกตัวที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
ประเมินผิวหนังและเล็บ เพื่อสังเกตอาการเขียวตามปลายมือ-เท้า จากภาวะพร่องออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งเสมอ ยึดหลักปราศจากเชื้อ โดยดูดเสมหะทุกครั้งที่ฟังเสียงปอดได้เสียงเสมหะ เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ Cefotaxime 300 mg IV in 30 min q 6 hr เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเฝ้าระวังอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
จัดท่านอนหงายศีรษะสูง (High Fowler) เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น
ดูแลให้ผู้ป่วย ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ เพื่อลดการใช้ออกซิเจน ลดกิจกรรมการพยาบาลที่รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วย
ข้อเสนอแนะและคำแนะนำ
ควรปรึกษานักกายภาพบำบัด เรื่องการจัดโปรแกรมการฝึกกายภาพบำบัดและฝึกปฏิบัติ
ให้ผู้ปกครองนำกลับไปฝึกต่อเองที่บ้าน รวมทั้งนัดมาติดตามการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องและประเมินความสามารถเป็นระยะๆ
ควรปรึกษานักโภชนาการเพื่อเลือกอาหารแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการ
ของร่างกาย
ควรส่งเสริมพัฒนาการตามความสามารถของเด็กไม่ใช่ตามอายุเด็ก เพื่อคงไว้ซึ่งพัฒนาการด้านอื่นๆที่ผู้ป่วยเด็กสามารถทำได้
งานสังคมเคราะห์ ควรเข้ามามีบทบาทในการให้คำปรึกษาและคำแนะนำผู้ปกครอง
เพื่อการปรับตัวในการดูแลลูกพิการ
ประเด็นจริยธรรม
การทำประโยชน์ (Beneficence)
การให้การพยาบาล การปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ด้วยความเมตตา กรุณา โอบอ้อมอารี มุ่งมั่นให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอโดยการป้องกันการพลัดตก หกล้มของเด็กเนื่องจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็กไม่สมวัย อันตรายหรือสิ่งเลวร้าย และส่งเสริมสิ่งที่ดี โดยการตรวจร่างกาย ว่ามีพัฒนาการกล้ามเนื้อสมวัยหรือไม่ เพื่อประเมินสภาวะสุขภาพของเด็กการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว ต่อโรคสมองพิการที่เด็กเป็นอยู่และการให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองในการปฏิบัติตัว ที่บ้านเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของโรค
การไม่ทำในสิ่งที่เป็นอันตราย (Non maleficence)
ปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ โดยตระหนักถึงมาตรการในการป้องกัน หรือหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย หรืออันตราย แก่ผู้ใช้บริการทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยการดูแลเมื่อได้รับยากลับบ้าน ตรวจสอบชื่อ สกุล ป้าย HN กับใบคำสั่งยา ให้ตรงตามแผนการรักษา เพื่อระบุตัวผู้ป่วย ตัวยา ขนาดยา และบอกผลข้างเคียงของยา
tab diazepam (2mg) 1/2 tab oral q 6 hr
Inj. Cefotaxime 300 mg iv in 30 min q 6 br
Syr. ParacetamoL (120 mg/5 m)) (10mg/kg 4 .6 ml oral q 4 hr prn เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถให้เด็กรับประทานยาได้ถูกต้องขณะ
อยู่ที่บ้าน และทราบถึงอาการแพ้ยาที่ต้องมาพบแพทย์
การเคารพเอกสิทธิ์ (Respect for Autonomy)
เคารพในความเป็นมนุษย์ เคารพสิทธิของเด็กและผู้ปกครองในการตัดสินใจอย่างเป็นอิสระใน เรื่องต่างๆ เช่น การรักษาโรคสมองพิการ โดยอธิบายเหตุผล วิธีการรักษา และการปฏิบัติตัว ไม่เสนอทางเลือก ไม่ชี้นำ เพื่อให้ผู้ปกครองตัดสินใจอย่างอิสระ และประสานนักสังคมสงเคราะห์เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเด็กที่ สมองพิการ รวมถึงเมื่อทำหัตถการใดๆ ควรแจ้งให้ผู้ป่วยและผู้ปกครองเสมอ
ความยุติธรรมหรือความเสมอภาค (Justice)
ปฏิบัติการพยาบาลต่อผู้รับบริการอย่างเท่าเทียมเหมาะสมโดยไม่
คำนึงถึง เพศ เชื้อชาติ ศาสนา และโรคประจำตัวที่เด็กเป็นคือสมองพิการ
สาเหตุ
(สถาบันราชานุกูล
กรมสุขภาพจิต, 2562)
ระยะก่อนคลอด
ภาวะการติดเชื้อของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน ซิฟิลิส เริม มาลาเรีย เอดส์ เป็นต้น
มารดามีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งความดันโลหิตที่สูงมาก อาจทำให้มีเลือดออกในสมองของเด็กได้
ภาวะการขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์ เช่น มารดามีเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์
คล้ายจะแท้ง หรือมีการลอกตัวของรกก่อนกำหนด มารดาขาดสารอาหารหรือซีดมาก
มีการใช้ยาและสารพิษบางชนิดที่ทำให้สมองเด็กพัฒนาผิดปกติ
ระยะคลอด
สมองขาดออกซิเจน ได้รับอันตรายจากการคลอด คลอดยาก คลอดท่าก้น รกพันคอ
การคลอดที่ต้องใช้เครื่องช่วย เช่น คีมคีบ หรือ เครื่องดูดศีรษะ
เด็กคลอดก่อนกําหนด หรือเด็กที่มีน้ำหนักแรกเกิด < 2,500 กรัม
ระยะหลังคลอด
ภาวะสมองเด็กขาดออกซิเจน เช่น ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
การวางยาสลบ การจมน้ำ หรือมีอาการชัก
การติดเชื้อของเด็ก เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคสมองอักเสบ โรคหัด เป็นต้น
อุบัติเหตุที่ทำให้มีอันตรายต่อสมองของเด็ก เช่น กะโหลกร้าว มีเลือดออกในสมอง
การได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว ยาฆ่าแมลง เป็นต้น
อาการและอาการแสดง
ตามทฤษฎี (คณาจารย์ภาควิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์, 2561)
Extrapyramidal cerebral palsy (athetoidsis) เกิดจากสมองบริเวณ basal gangia ได้รับความเสียหาย
ทำให้มีการเคลื่อนไหวผิดปกติอาจจะเป็นเฉพาะส่วนปลายมือและเท้า หรือส่วนต้นแขน อาจมีการเกร็งและ
บิด แขนขา เคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน หันออกไปในทิศทางต่างๆ เป็นต้น ส่วนใหญ่จะมีสติปัญญาปกติ
Ataxia cerebral palsy เกิดจากความผิด ปกติของ cerebellum ทำให้มีอาการเดินเซ ล้มง่าย กล้ามเนื้อมีความตึงตัวน้อย
การทรงตัวไม่ดี ส่วนใหญ่เด็กกลุ่มนี้จะมีสติปัญญาปกติ อาการจะปรากฎเมื่อเด็กอายุ 1-2 ปี
Mixed type ได้แก่ สมองพิการที่มีอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น การทรงตัวไม่ดี เดินเซ (ataxia) ร่วมกับมีการหดเกร็ง
ของกล้ามเนื้อ หรือมีการเคลื่อนไหวของแขนขาผิดปกติร่วมกับอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เป็นต้น
ชนิดกล้ามเนื้อหดเกร็ง (spastic) : เกิดจากสมองบริเวณ motor cortex ได้รับความเสียหาย ทำให้ไม่สามารถควบคุม
การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหดเกร็ง พบได้มากที่สุด แบ่งเป็น
spastic quadriplegic เป็นชนิดรุนแรงและพบมากที่สุด มีอาการอ่อนแรง มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อแขนขา
ทั้งสองข้าง การทรงตัวของคอและลำตัวอ่อนผิดปกติ ศีรษะมีขนาดเล็ก การกลืนผิดปกติ น้ำลายไหลตลอดเวลา
spastic diplegia มีอาการอ่อนแรง มีความตึงตัวของแขนขาทั้ง 2 ข้าง โดยเป็นที่ขามากกว่าแขน การใช้มือ
จะไม่คล่องแคล่ว ไม่มีภาวะปัญญาอ่อนชัดเจน
spastic hemiplegia มีความผิดปกติที่แขนขาซีกใดซีกหนึ่ง มีอาการอ่อนแรงและมีความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
แขนขาข้างที่เคลื่อนไหวได้น้อยมีขนาดเล็ก เด็กสามารถเดินได้ แต่อาจเกิดข้อติดแข็งได้ ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง
ตามกรณีศึกษา
เด็กเป็นโรคสมองพิการชนิด spastic quadriplegic มีอาการกล้ามเนื้อเกร็งที่แขน ขาทั้ง 2 ข้าง มีปัญหาเรื่องการกลืน ตอบรับด้วยการกระพริบตา เดินไม่ได้ ลุกนั่งโดยต้องช่วยและประคองไว้ไม่ให้ล้ม เคลื่อนไหวมือได้น้อยลง
ภาวะแทรกซ้อน
ตามกรณีศึกษา
จากกรณีศึกษา ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนคือปอดอักเสบร่วมด้วย
ตามทฤษฎี
ปัญหาด้านสติปัญญา มักพบพัฒนาการล่าช้าเนื่องจากมีความผิดปกติที่สมองที่ทำหน้าที่สั่งการด้านการเคลื่อนไหว ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรง ควบคุมลำบากส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและพัฒนาการในด้านต่างๆช้าลงกว่าปกติ
ปัญหาด้านกล้ามเนื้อ เป็นปัญหาที่พบบ่อยซึ่งมักพบภาวะกล้ามเนื้อตึงตัวและเกร็งมากกว่าปกติ ทำให้ข้อต่อยืดเหยียดลำบาก ภาวะข้อต่อผิดรูปส่งผลรบกวนต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
ปัญหาด้านการดูดกลืน เกิดจากกล้ามเนื้อริมฝีปาก ลิ้น คอ อ่อนแรง เคลื่อนไหวผิดปกติหรือทำงานไม่ประสานกัน ส่งผลต่อคุณภาพในการดูด เคี้ยว กลืน และการควบคุมน้ำลาย บางรายพบภาวะกรดไหลย้อนร่วมด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะโภชนาการ
ของเด็กและมีความเสี่ยงต่อการสำลัก ทำให้เกิดปอดอักสบ (pneumonia) ตามมา
ปัญหาด้านการหายใจ เกิดจากการควบคุมกล้ามเนื้อหายใจ การไอ การขจัดเสมหะทำได้ไม่เต็มที่
ปัญหาด้านกระดูก มักพบการหลุดออกจากที่ หรือการเคลื่อนของข้อต่อต่างๆในร่างกาย เช่น ข้อสะโพก ข้อไหล่ และอาจพบภาวะกระดูกสันหลังคด (scoliosis)
ปัญหาด้านการมองเห็น เด็กสมองพิการมักมีความบกพร่องด้านการมองเห็น สายตาสั้น สายตายาว ตาเหล่ บางรายไม่สามารถกลอกตาขึ้นบนพร้อมกันได้ มีตาดำกระตุก (nystagmus)
ปัญหาด้านการได้ยิน เนื่องจากความบกพร่องของหูส่วนกลาง โดยเฉพาะการแยกเสี่ยงความถี่สูง ทำให้เด็กได้ยินเสียงน้อยลง
ด้านการสื่อสาร มักมีความบกพร่องทางด้านภาษาพูด เนื่องจากไม่สามารถควบคุมศีรษะได้ ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ว่าอะไรทำให้เกิดเสียงนั้นๆ และไม่สามารถเลียนแบบเสียง หรือติดต่อสื่อสารได้ เช่น ไม่พูดเลย พูดช้ากว่าปกติ มีความยากลำบากในการพูด และความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่ใช้พูด
การวินิจฉัย
การซักประวัติ อาจพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะสมองพิการทั้งในระยะก่อนคลอด ระยะคลอดและหลังคลอด
การตรวจร่างกาย เส้นรอบศีรษะไม่เพิ่มขึ้น มีความผิดปกติของท่าทางและการเคลื่อนไหว หรือทำได้ไม่ดีตามพัฒนาการ พบความตึงตัวของกล้ามเนื้อมากกว่าปกติ
การตรวจพิเศษ อัลตราซาวด์, CT scan, MRI
จะทำให้ทราบตำแหน่งของสมองที่มีความเสียหาย
การรักษา
ตามทฤษฎี
(คณาจารย์ภาควิชา การพยาบาลกุมารเวชศาสตร์, 2561)
3.การส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหว การทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การพูด และการรับประทานอาหาร เป็นต้น
4.การแก้ไขภาวะผิดปกติของการรับรู้ เช่น ถ้ามีปัญหาเรื่องการมองเห็นต้องส่งปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อแก้ไข
2.การทำกายภาพบำบัดของกล้ามเนื้อ เพื่อป้องกันการผิดรูปของอวัยวะหรือข้อติดแข็ง
5.การแก้ไขความผิดปกติของระบบประสาทส่วนอื่น เช่น ถ้ามีอาการชัก ต้องดูแลให้ยาแก้ไข
1.การให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เฉพาะในรายที่มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อมาก ได้แก่ Diazepam, baclofen เป็นต้น
6.ให้คำแนะนำผู้ปกครองในการดูแลเด็กและส่งเสริมให้เด็กฝึกทักษะการใช้ ส่วนต่างๆของร่างกายตามความสามารถ เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งตัว การอาบน้ำ การเล่นที่เหมาะสมกับวัยการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมปลอดภัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเป็นต้น
ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง แพทย์จะให้การรักษาแบบประคับประคองเพื่อให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดจะช่วยแก้ไขการมีอวัยวะผิดรูปที่รุนแรงเท่านั้น การดูแลรักษามีต่างๆดังนี้
ในต่างประเทศมีการให้ baclofen pump เพื่อรักษาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อโดยการผ่าตัดใส่เครื่อง pump เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง และใส่สายสวนเข้าไปในไขสันหลัง เพื่อให้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือการใช้ botulinum-A toxin(Botox) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อโดยตรง ช่วยผ่อนคลายไม่หดเกร็งสามารถออกกำลังกายได้
ตามกรณีศึกษา
ได้รับยาคลายกล้ามเนื้อ diazepam
ได้รับทำกายภาพบำบัดของกล้ามเนื้อ
จัดหาของเล่นที่จะกระตุ้นให้เด็กเกิด
การเคลื่อนที่หรือการเคลื่อนไหว
แนะนำบิดามารดา ญาติ หรือผู้ดูแลเด็ก ให้เด็กมีการออกกำลังกาย