Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Female Reproductive System - Coggle Diagram
Female Reproductive System
อวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
อวัยวะเพศขั้นปฐมภูมิ(primary sex organs)
รังไข่ (ovaries)
เป็นอวัยวะที่สําคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง ทําหน้าที่สร้างเชื้อสืบพันธุ์เพศหญิง คือไข่ (ovum) และฮอร์โมนเพศหญิง (female sex hormones) ได้แก่ เอสโตรเจน (estrogen) และ
โปรเจสเตอโรน (progesterone)
2.อวัยวะเพศขั้นทุติยภูมิ(secondary sex organs)
มดลูก (uterus)
เป็นที่อยู่ของลูกอ่อน (fetus) จนครบกําหนดคลอด
ช่องคลอด (vagina)
เป็นช่องทางรองรับอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายขณะมีเพศสัมพันธุ์ปกติเป็นทางเข้าของเชื้อสืบพันธุ์เพศชายเพื่อผ่านมดลูกเข้าไปผสมกับไข่ที่สุกแล้วในท่อนําไข่และเป็นช่องทางคลอดปกติของตัวอ่อนที่เติบโตเต็มที่แล้วจากมดลูกออกมาสู่ภายนอก
ท่อนําไข่ (ovarian tube)
เป็นท่อที่นําไข่ที่สุกแล้วมาผสมกับเชื้อสืบพันธุ์เพศชายภายในท่อนี้ เมื่อเกิดการปฏิสนธิแล้วตัวอ่อนที่เกิดขึ้นจะเคลื่อนตามท่อนี้ไปฝังตัวที่โพรงมดลูก
เต้านม (mammary glands)
เป็นแหล่งอาหารธรรมชาติของทารกหลังคลอด
ลักษณะเฉพาะของ
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
วงจรการเปลี่ยนแปลงที่มดลูก
ช่วงสร้างเสริม(proliferative phase)
ตรงกับช่วงแรกของรอบวงจรประจําเดือนปกติเป็นผลการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อเยื่อบุมดลูก กล่าวคือ ภายหลังการหลุดลอกของเยื่อบุส่วนบนสุดออกไปเป็นส่วนหนึ่งของเลือดประจําเดือนแล้วเอสโตรเจนจะทําให้เยื่อบุมดลูกเจริญเสริมขึ้น ชดเชยส่วนที่หลุดลอกไป
2.ช่วงหลั่ง(secretory phase)
ตรงกับช่วงหลังของรอบวงจรประจําเดือนปกติเป็นผลการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนซึ่งหลั่งจากรังไข่ภายหลังมีการตกไข่แล้ว โดยจะทําให้เยื่อบุมดลูกส่วนบนหยุดการเจริญมากขึ้น แต่จะมีลักษณะที่อวบหนา มีต่อมและหลอดเลือดที่
คดเคี้ยวมาเลี้ยงมากมายเพื่อเตรียมสําหรับรอรับตัวอ่อนที่จะมาฝังตัวถ้ามีการปฏิสนธิเกิดขึ้นแต่ถ้าไม่มีการผสมระหว่างเชื้อสืบพันธุ์เพศหญิงและชายเยื่อบุมดลูกในระยะนี้จะคงอยู่จนถึงปลายรอบเดือน แล้วจะหลุดลอกออกมาเป็นส่วนหนึ่งของเลือดประจําเดือน
วงจรการเปลี่ยนแปลงที่รังไข่
ช่วงฟอลลิคูลาร์(follicular phase)
ตรงกับช่วงครึ่งแรกของรอบประจําเดือน เป็นช่วงที่มีการเจริญของฟอลลิเคิล (follicle) ภายในรังไข่ จากการกระตุ้นของ FSH โดยเริ่มจากไพรมอร์เดียล ฟอลลิเคิล (primordial follicle) ซึ่งมีไข่ที่ยังไม่สุก (immature ovum) อยู่ภายในในแต่ละรอบเดือน จะมีไพรมอร์เดียล ฟอลลิเคิลจํานวนมากที่ถูกกระตุ้นให้เจริญต่อไปเป็นเวสิคูลาร์ ฟอลลิเคิล (vesicular follicle)
ระหว่างที่ฟอลลิเคิลมีการเจริญขึ้นตามลําดับ นอกจากจะมีการเจริญขึ้นของไข่ภายใน
ฟอลลิเคิลแล้วยังมีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนเพศหญิงที่สําคัญในช่วงนี้ คือเอสโตรเจน จากเซลล์ของฟอลลิเคิลเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลือด
ในช่วงกึ่งกลางของรอบประจําเดือน จะเกิดการตกไข่ (ovulation) ขึ้นโดยฟอลลิเคิลที่สมบูรณ์ซึ่งมีไข่ที่สุกอยู่ภายใน จะเคลื่อนไปที่บริเวณขอบชิดกับเปลือก (capsule) ของรังไข่
ช่วงลูเทียล(luteal phase)
ตรงกับระยะครึ่งหลังของรอบประจําเดือน เป็นช่วงที่มีการเจริญของ คอร์ปัส ลูเทียม (corpus luteum) ภายในรังไข่ จากอิทธิพลของ LH โดยหลังจากเกิดการตกไข่ไปแล้ว ในช่วงแรกฟอลลิเคิลสมบูรณ์ที่แตกเพื่อให้เกิดการตกไข่ จะมีเลือดออกมาอยู่ภายในฟอลลิเคิล เรียกว่า คอร์ปัส ฮีโมราจิคัม (corpus hemorrhagicum) จากนั้น จะมีกลุ่มเซลล์ไขมันเข้ามาสะสมและเกิดเป็น คอร์ปัส ลูเทียม อ่อน (young corpus luteum) ขึ้น จากนั้นก็จะพัฒนามากขึ้นเป็นคอร์ปัส ลูเทียมที่สมบูรณ์ (mature corpus luteum)
มีการสร้างและหลั่งทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากกลุ่มเซลล์ของคอร์ปัส ลูเทียมนี้ แต่ฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์เด่นกว่า ในช่วงครึ่งหลังของรอบประจําเดือน คือ โปรเจสเตอโรน
ถ้าไข่ที่ตกไปไม่ได้รับการผสม คอร์ปัส ลูเทียมจะค่อย ๆ ฝ่อไป ในช่วงท้ายของรอบประจําเดือน กลายเป็น คอร์ปัส อัลบิแคนส์ (corpus albicans) และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นรอบวงจรขึ้นอีกที่รังไข่ คือมีการเจริญของฟอลลิเคิลขึ้นใหม่อีก
ถ้าไข่ที่ตกออกไปได้รับการผสมจากเชื้อสืบพันธุ์เพศชาย จะพบว่าคอร์ปัสลูเทียมจะเจริญมากขึ้นอีก เป็นคอร์ปัส ลูเทียม ในช่วงตั้งครรภ์ (corpus luteum of pregnancy) จาก
อิทธิพลของฮอร์โมน ฮิวแมน โคริโอนิค โกนาโดโทรปิน (human chorionic gonadotropin) หรือ HCG จากรก (placenta) ซึ่งเป็นอวัยวะร่วมของแม่และลูกที่เกิดจากการฝังตัว (implantation) ของตัวอ่อนที่เยื่อบุโพรงมดลูกของแม่
มีการเปลี่ยนแปลงเป็นรอบวงจรเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เช่นมดลูก รังไข่ ช่องคลอดเรียกรวมเป็นวงจรประจําเดือน (menstrual cycle) ได้แก่ วงจรการเปลี่ยนแปลงที่เยื่อบุมดลูก (endometrial cycle) วงจรการเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก (cervival cycle) วงจรการเปลี่ยนแปลงที่รังไข่ (ovarian cycle) และวงจรการเปลี่ยนแปลงที่ผนังช่องคลอด (vaginal cycle) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เป็นผลมาจากการออกฤทธิ์ในแต่ละช่วงของฮอร์โมนเพศหญิงทั้งสองกลุ่มจากรังไข่ และการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนโกนาโดโทรฟิค (gonadotrophic hormone) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
ฮอร์โมนเพศจากรังไข่
ฮอร์โมนเพศจากรังไข่ มีสองชนิดดังกล่าวแล้ว คือ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทั้งสองชนิดเป็นฮอร์โมนชนิดสเตอรอยด์ มีสูตรโครงสร้างพื้นฐานเป็น cyclo-pentano-perhydro-phenanthrene ring เอสโตรเจนมีหลายฟอร์มด้วยกัน แต่ฟอร์มที่ออกฤทธิ์มากที่สุด คือ
เอสตราไดออล (estradiol) หรือ E2
Estrogen
Progesterone
ข้อบ่งชี้ว่า มีการตกไข่เกิดขึ้น(indicators of ovulation)
ลักษณะทางฮิสโตวิทยา (Histology) ของเยื่อบุมดลูกโดยตัดชิ้นเนื้อจากเยื่อบุมดลูกมาตรวจ(endometrial biopsy) ถ้าพบเป็น secretory endometrium แสดงว่า น่าจะมีการตกไข่เกิดขึ้น
ดูลักษณะมูกจากปากมดลูก (cervical mucous smear) จะพบลักษณะที่ข้น เหนียว และไม่มีการตกผลึกเป็นรูปใบเฟิร์น ถ้ามีการตกไข่เกิดขึ้นแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิพื้นฐานของร่างกาย (basal body temperature change) จะพบอุณหภูมิพื้นฐานของร่างกายสูงขึ้นนับจากวันที่มีการตกไข่ จากผลของโปรเจสเตอโรน
ช่วงการเจริญพันธุ์(fertile period)
หมายถึง ช่วงเวลาในวงจรประจําเดือนปกติ ที่ถ้าหากมีเพศสัมพันธุ์เกิดขึ้น น่าจะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ได้ ด้วยความรู้ที่ว่า ไข่จะอยู่ได้ประมาณ 72 ชั่วโมงนับตั้งแต่ออกมาจากฟอลลิเคิล และสเปอร์ม จะอยู่ในอวัยวะระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง (female genital tract) ได้ประมาณ 48 ชั่วโมง ร่วมกับหลักที่ว่า การตกไข่ในรอบวงจรประจําเดือนปกติ จะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน ดังนั้นช่วงการเจริญพันธุ์ในรอบวงจรปกติจึงมีระยะเวลาประมาณ 3-5 วัน เท่านั้น คือช่วงเวลาที่ใกลัเคียงกับไข่ตก ตั้งแต่วันที่ 13 ถึงวันที่ 17 ของรอบประจําเดือนปกตินั่นเอง
การสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์ของเพศหญิง
สาเหตุที่มีการสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์ในเพศหญิงนั้นเนื่องมาจากการเสื่อมหน้าที่ของรังไข่ตามอายุขัย ทําให้ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นโดย FSH และ LH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ส่งผลให้ไม่มีไข่ที่สุกตกออกมาและไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศทั้งสองชนิดเหมือนในวัยเจริญพันธุ์วงจรการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรอบปกติจะไม่สม่ําเสมอและหยุดลง เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์จะมีลักษะที่เสื่อมถอยลงเนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเกิดขึ้นด้วย เช่นมีอารมณ์ปรวนแปร หงุดหงิด น้อยใจง่ายมีอารมณ์เพศลดลง เป็นต้น
การไม่มีประจําเดือน(amenorrhea)
Primary amenorrhea คือ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเกิน 18 ปีแล้วยังไม่เคยมีประจําเดือนมาเลยส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ซึ่งอาจพบได้ตั้งแต่ระดับยีนส์ ทําให้มีความผิดปกติของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ตามมา พบได้น้อย
Secondary amenorrhea คือ เคยมีประจําเดือนมาก่อน แล้วหยุดหายไป แบ่งย่อยเป็น
2.2 Pathologic secondary amenorrhea คือ มีความผิดปกติของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ ทําให้ประจําเดือนที่เคยมีมาหยุดไป เช่นเป็นวัณโรคที่มดลูกมีเนื้องอกที่รังไข่หรือมดลูกเป็นต้น
2.1 Physiologic secondary amenorrhea คือการที่ประจําเดือนไม่มานั้นเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงปกติทางสรีรวิทยา เช่นช่วงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร และช่วงหมดประจําเดือน
การตั้งครรภ์(pregnancy)
การตั้งครรภ์ เริ่มจากการผสมระหว่างเชื้อสืบพันธุ์เพศหญิง คือ ไข่ กับเชื้อสืบพันธุ์เพศชาย คือ สเปอร์มเกิดการปฏิสนธิ (fertilization) ขึ้น โดยจะเกิดขึ้นภายในท่อนําไข่ จากนั้นตัวอ่อนที่เกิดขึ้นจะเคลื่อนที่ไปตามท่อนําไข่เข้าไปยังโพรงมดลูกโดยมีการแบ่งเซลล์เป็นระยะต่าง ๆ ตลอดการเคลื่อนที่จนประมาณวันที่ 6-7 หลังการปฏิสนธิ เมื่อตัวอ่อนใกล้สัมผัสกับเยื่อบุมดลูกตัวอ่อนจะอยู่ในระยะบลาสโตซิสท์มีกลุ่มเซลล์สองชั้น คือ ชั้นนอก เรียกว่าซินไซติโอโทรโฟบลาสท์ (syncytiotrophoblast) และชั้นใน เรียกว่า ไซโตโทรโฟบลาสท์ (cytotrophoblast)กลุ่มเซลล์ชั้นนอก คือซินไซติโอโทรโฟบลาสท์ จะแทรกเข้าไปในเยื่อบุมดลูกเกิดการฝังตัวขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่เยื่อบุมดลูก ที่รังไข่ และการควบคุมจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า และฮัยโปธาลามัส
เริ่มจากฮัยโปธาลามัส จะหลั่ง FSH releasing factor และ LH releasing factor มากระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้า ในช่วงเวลาที่เหมาะสม กล่าวคือ ในช่วงครึ่งแรกของรอบประจำเดือน ผลการกระตุ้นจาก FSH releasing factor ทำให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่ง FSH ออกมา กระตุ้นรังไข่ ทำให้เกิดการเจริญของฟอลลิเคิล ซึ่งนอกจากมีการพัฒนาของไข่ที่อยู่ภายในแล้ว เซลล์ของฟอลลิเคิลจะสร้างและหลั่งเอสโตรเจนมาออกฤทธิ์ที่อวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งที่เยื่อบุมดลูก ให้มีลักษณะ proliferation ดังกล่าวแล้ว ส่วนในช่วงครึ่งหลังของรอบประจำเดือน คือหลังการตกไข่ ผลการกระตุ้นจาก LH releasing factor จะทำให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่ง LH มากระตุ้นรังไข่ ทำให้เกิดการเจริญของคอร์ปัส ลูเทียม ซึ่งจะสร้างและหลั่งทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน แต่โปรเจสเตอโรนจะออกฤทธิ์เด่นกว่า ส่งผลต่ออวัยวะต่าง ๆ และทำให้เยื่อบุมดลูกมีลักษณะ secretory change
การให้นมบุตร
หลังคลอด มนุษย์เพศหญิงต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ในการสร้างน้ํานมแท้ออกมาแต่ในช่วงแรก จะมีน้ํานมขุ่นขาวที่เรียกว่า นมน้ําเหลือง (colostrum) ออกมาก่อนแม่ควรให้เด็กดูดกินนมน้ําเหลืองนี้เพราะนอกจากมีคุณค่าทั้งในด้านการสร้างภูมิต้านทานให้เด็กและคุณค่าอื่นทางอาหารแล้วการให้ลูกดูดกินนมยังเป็นการกระตุ้นให้ฮอร์โมนออกซิโทซิน (oxytocin) จากต่อมใต้สมองส่วนหลังหลั่งออกมาส่งผลให้น้ํานมแท้ที่สร้างขึ้นสามารถพุ่งออกมาจากหัวนม (nipple) เมื่อเด็กดูดกินได้ (suckling reflex)
สาเหตุที่ต้องรอ 2-3 วันในการสร้างน้ํานมแท้ออกมา เนื่องจากต้องรอให้ระดับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในเลือดลดลงก่อน เพราะฮอร์โมนทั้งสองนี้จะออกฤทธิ์ยับยั้งฮอร์โมนโปรแล็คติน (prolactin) ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการสร้างน้ํานม