Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 7 การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด, นางสาวสุธีมา…
หน่วยที่ 7 การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด
การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน (Fetal distress)
สาเหตุ:
ด้านมารดา
การเปลี่ยนแปลงก๊าซในปอดไม่ดี หัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตต่ำ เช่น เป็นลม supine hypotensive syndromes, ได้รับยาระงับความรู้สึกแบบ epidural anesthesia
มารดาเสียเลือด มีเลือดออกในช่องคลอดระยะก่อนคลอด หรือ shock
มดลูกหดรัดตัวมากผิดปกติ ทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกลดลง
รกเสื่อมหน้าที่มีเนื้อตาย รกลอกตัวก่อนกำหนด
ด้านทารก
มีการติดเชื้อ มีความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด
สายสะดือผูกเป็นปมหรือพันคอทารก
อาการ
หัวใจทารกในครรภ์เต้นผิดปกติ
มีขี้เทาปนในน้ำคร่ำ ( Meconium staining of amniotic fluid)
การวินิจฉัย
CategoryI
เป็นภาวะปกติของทารกในครรภ์ สัมพันธ์กับสภาวะกรดด่างที่ปกติ ให้การดูแลและ
เฝ้าระหว่างตามปกติ สามารถพบ tracing
Baseline rate: 110–160 beats per minute (bpm)
moderate variability 6-25 bpm
Late or variable decelerations: absent
Early decelerations: present or absent
Accelerations: present or absent
CategoryII
เป็นกลุ่ม FHRก้ำกึ่ง (intermediate) ทำนายสภาวะกรดด่างได้ไม่ดีนักเป็นการตอบสนองของทารกในครรภ์ที่เริ่มมีการปรับตัวต่อภาวะเครียด
Bradycardia or Tachycardia with moderate variability
Minimal or marked variability with normal FHS baseline
FHS decelerations with moderate variability
No FHS accelerations after fetal stimulation
CategoryIII
เป็นกลุ่ม FHRผิดปกติสัมพันธ์กับสภาวะกรดด่างที่ผิดปกติต้องการการแก้ไขโดยIntrauterine resuscitation และเตรียมพร้อมในการคลอดทันท
Recurrent late decelerations
Recurrent variable decelerations
Bradycardia
Sinusoidal pattern
การรักษาพยาบาล
มุ่งไปที่การบรรเทาการขาดออกซิเจน
ให้ออกซิเจน Mask 8-10ลิตรต่อนาที
ให้ IV fluid เพื่อเพิ่ม intervillous perfusion หรือแก้ไขภาวะความดันโลหิตต่ำ โดยเฉพาะที่ เกิด
จาก regional anesthesia
บันทึกอัตราการเต้นของหัวใจทารกด้วย CTG หรือฟังด้วย stethoscope หรือ Doppler device
ในห้องผ่าตัดก่อนที่จะเตรียมทำความสะอาดหน้าท้อง
ถ้าให้ยา oxytocin ควรหยุดไว้ก่อน เพื่อลดการหดรัดตัวของมดลูก
ตรวจภายในเพื่อประเมินปากมดลูก และภาวะสายสะดือย้อย
แจ้งวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาลให้เตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดคลอด
เตรียมกุมารแพทย์ หรือแพทย์ที่สามารถช่วยกู้ชีวิตทารกได
ภาวะตกเลือดหลังคลอด (post partum hemorrhage)
การเสียเลือดร้อยละ 1 ของน้ำหนักร่างกายขึ้นไป แบ่งออกเป็น 2 ระยะ
การตกเลือดปฐมภูมิหรือการตกเลือดหลังคลอดระยะแรก(Early or immediate postpartum
hemorrhage) คือการตกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทารกคลอด
การตกเลือดหลังคลอดทุติยภูมิหรือการตกเลือดระยะหลัง(late or Delayed postpartum
hemorrhage) คือ การตกเลือดที่เกิดขึ้นภายหลัง 24 ชั่วโมงไปแล้ว จนกระทั่ง 6 สัปดาห์หลังคลอด
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดระยะแรก
มดลูกไม่หดรัดตัว (Uterine atony)
การฉีกขาดของช่องทางคลอด ซึ่งอาจจะเกิดที่รอยตัด (Episiotomy) การฉีกขาดของฝีเย็บช่อง
คลอด ปากมดลูก และมดลูกแตก
รก หรือบางส่วนของรกค้างอยู่ในโพรงมดลูก จะทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดระยะแรกและ
ระยะหลังได
. โรคเลือด ที่อาจทำให้การแข็งตัวของเลือดเกิดขึ้นช้ามาก หรือไม่แข็งตัวเลย
มดลูกปลิ้น (Inversion of uterus)
อาการแสดง
มีเลือดออก
กรณีที่ระดับมดลูกอยู่เหนือสะดือหรือรู้สึกใหญ่กว่าปกต
มีอาการของการเสียเลือด ซีด ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ เหงื่อออก ใจสั่น ตัวเย็นรู้สึกกระหาย
น้ำ หายใจเร็ว
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยการตกเลือดหลังคลอดมีหลัก ดังนี้หาตำแหน่งที่เลือดออกหาสาเหตุที่เลือดออกในการ
วินิจฉัยมีขั้นตอนในการปฏิบัติ
การป้องกัน
ระหว่างการตั้งครรภ
ให้ยาบำรุงเลือด เพื่อให้เลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และรักษาสภาวะเลือดจาง
ก่อนคลอด
ระหว่างการคลอด
ให้ยาแก้ปวดในระดับพอควรระยะเจ็บครรภ์ และการคลอดไม่ควรเนิ่นนานเกิน 24 ชั่วโมง
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อเข้าระยะเจ็บครรภ์ถี่และเตรียมเลือดไว้ล่วงหน้า
ให้Oxytocin
ระยะหลังเด็กคลอด
ดูแลให้มดลูกหดรัดตัวดีอยู่ตลอดเวลาคลึงมดลูกให้หดรัดตัวดูแลให้กระเพาะปัสสาวะว่างอยู่เสมอ
ภาวะรกค้าง (retained pieces of placenta)
ภาวะที่รกไม่คลอดภายใน 30 นาทีหลังจากทารกคลอด
โดยทั่วไปรกจะคลอดภายใน 10 นาที หลังจากที่ทารกคลอดแล้ว และไม่ควรเกิน 30 นาที
การรักษา
ให้ยาช่วยกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูกมีการหดรัดตัวและคลายตัว
เป็นระยะ ๆ ได้ดีขึ้น
ให้ยาเพื่อให้เกิดการคลายตัวของปากมดลูก
ให้ยาอดรีนาลีน (adrenalin) 1:1,000 จำนวน 0.3-0.5 ซี.ซี. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ให้ยา 20% แมกนีเซี่ยม ซัลเฟต (20% magnesium sulphate) 20 ซี.ซี. ฉีดเข้าเส้นโลหิตช้า ๆ
. ถ้าให้ยาแล้วไม่อาจช่วยให้รกลอกตัวสมบูรณ์ และรกไม่สามารถคลอดออกมาได้ แสดงว่ารกฝังตัว
ลึกต้องช่วยเหลือด้วยการล้วงรก (manual removal of the placenta)
ชนิดของรกติด (placenta adherens)
Placenta accreta คือ การที่มี chorionic villi เกาะติดโดยตรงต่อ myometrium ของมดลูกแทนที่จะยึดเกาะที่ decidua basalis ของโพรงมดลูก
Placenta increta คือ การที่มี chorionic villi แทรกตัวเข้าไปใน myometrium ของมดลูก
Placenta percreta คือ การที่มี chorionic villi แทงทะลุเข้าไปใน myometrium ของมดลูก
สาเหต
การขาดกลไกการลอกตัว
1.1.1 มีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ (full bladder)
1.1.2 มีระยะการคลอดที่ยาวนาน (prolonged labor)
1.1.3 มารดาอ่อนเพลีย ขาดอาหารและน้ำ (maternal exhaustion and dehydration)
1.1.4 มารดาได้รับยาระงับปวดหรือยาสลบมากเกินไป (over analgesia and generalanesthesia)
รกผิดปกติ ถึงแม้มดลูกจะมีการหดรัดตัวได้ดีตามปกติ แต่รกไม่สามารถลอกออกมาได
การขาดกลไกการขับดัน ให้รกที่ลอกตัวแล้วผ่านออกมาภายนอก
ผลกระทบของภาวะรกค้าง
มารดา
ตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากรกไม่ลอกตัว และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
เกิดการติดเชื้อหลังคลอดได้ เนื่องจากชิ้นส่วนของรกตกค้างภายในโพรงมดลูก หรือจากการล้วงรก
มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการถูกตัดมดลูกทิ้ง เนื่องจากรกฝังตัวลึกกว่าปกติ
กรณีถูกตัดมดลูก (hysterectomy) จะทำให้หมดโอกาสที่ตั้งครรภ์ต่อไป
ทารก
ทารกได้รับความอบอุ่นจากมารดาล่าช้า
การเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกล่าช้า
มดลูกปลิ้น (Inversion of the uterus or uterine inversion)
ชนิดของมดลูกปลิ้น
มดลูกปลิ้นแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete inversion) ยอดมดลูกเคลื่อนต่ำลง แต่ยังไม่พ้น ปากมดลูก
มดลูกปลิ้นแบบสมบูรณ์ (complete inversion) ยอดมดลูกเคลื่อนพ้นปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงปากช่องคลอด
มดลูกปลิ้นแบบสมบูรณ์ และเคลื่อนต่ำลงมานอกปากช่องคลอด (prolapsed of completeinverted uterus)
สาเหต
รกเกาะบริเวณส่วนยอดของมดลูก
การดึงสายสะดือแรงเกินไป
ทำคลอดรกในขณะที่รกยังไม่ลอกตัว หรือรกเกาะแน่น
ดันยอดมดลูกที่หน้าท้องมารดามากเกินไป ในการช่วยทำคลอดรก
มดลูกและปากมดลูกอยู่ในภาวะคลายตัว
อาการและอาการแสดง
มีเลือดออกมาทันทีภายหลังคลอดในกรณีที่รกคลอดแล้ว เนื่องจากผนังมดลูกด้านในซึ่งมี
โพรงหลอดเลือดบริเวณที่รกเกาะถูกปลิ้นกลับออกมาอยู่ภายนอก
มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงถ้ารกยังไม่ลอกตัว หรือรกติดแน่น
มีอาการช็อคจากการปวดและการเสียเลือดมาก
ผลกระทบ
มารดา
น คือเลือดออก
อย่างรุนแรง เจ็บปวดมาก หรือช็อคจากการเสียเลือดและอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
ทารก
ทำให้ทารกได้รับความอบอุ่นจากมารดาล่าช้า รวมถึงการ
สร้างเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกล่าช้า
การรักษา
การป้องกันสิ่งที่สำคัญที่สุด เช่น การช่วยเหลือการคลอดรกอย่างถูกวิธีการตรวจภายในหลังจาก
ทำคลอดรก และหลังการเย็บแผลสามารถประเมินสภาพได้รวดเร็ว
ให้การรักษาสภาพทั่วไป เช่น ให้สารน้ำและให้เลือดอย่างเพียงพอ หรือการฉีดมอร์ฟีนเพื่อระงับ
ดันมดลูกกลับภายใต้การดมยาสลบ โดยใช้ฮาโลเธน (halothane) เพื่อให้ทุกส่วนของร่างกายคลาย
ถ้ารกลอกตัวแล้วให้เริ่มทำการดันมดลูกกลับได้ทันที ถ้ารกยังไม่ลอกตัวให้เซาะรกออกก่อน
เมื่อดันเข้าที่แล้วให้ oxytocin ทันที่เพื่อช่วยให้มดลูกหดรัดตัวดี
ในกรณีที่ไม่สามารถดันกลับคืนได้ ต้องผ่าตัดทางหน้าท้องช่วยทันที
ให้ยาป้องกันการติดเชื้อ และให้ยากลุ่มธาตุเหล็กรักษาภาวะเลือดจาง
ภาวะช๊อค ( Shock) ทางสูติศาสตร
ชนิดของการ shock
1.Hypovolemic Shock เกิดจากปริมาณเลือดในร่างกายลดลงแบบสมบูรณ์ มักเกิดหลังการตกเลือด
Cardiogenic Shock เกิดจากการลดลงของ Cardiac output ร่วมกับ Vasoconstriction จากกล้ามเนื้อหัวใจตาย
Septic Shock เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ ที่สร้าง Enterotoxin เข้าสู่กระแสเลือด
Neurogenic shock เกิดจากการบาดเจ็บของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิด peripheral vasodilation
Anaphylactic shock เกิดจากการแพ้ยาหรือสารก่อภูมิแพ้ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวจนเกิดภาวะ Hypovolemia
การรักษาพยาบาล
ให้นอนพัก
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ,ให้ออกซิเจน ,ใส่ท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube) ถ้าจำเป็น
Keep warm
ให้สารน้ำทดแทน เพื่อรักษาปริมาณเลือดให้กลับสู่หัวใจโดยเร็ว
ไม่ควรให้ยาขยายหลอดเลือดจนกว่าอาการ Shock จะดีขึ้น
Observe V/S และบันทึกน้ำเข้า-ออก (I/O)
นางสาวสุธีมา เครือเครา รหัสนักศึกษา 621001401486 เลขที่ 19