Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความเชื่อการดูแลมารดา3ระยะ ในประเทศไทย - Coggle Diagram
ความเชื่อการดูแลมารดา3ระยะ ในประเทศไทย
ระยะหลังคลอดการดูแลทารกแรกเกิด
ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลมารดาหลังคลอด
การอาบน้ำสมุนไพร เป็นการอาบน้ำอุ่นที่ต้มด้วยสมุนไพร ได้แก่ เปล้าใหญ่ เปล้าน้อย ส้มปอย ใบมะขาม ไพล หรือใช้วิธีนำสมุนไพรสดแช่น้ำทิ้งไว้ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก และสารพิษ
การย่างไฟ ใช้เตาถ่านสองเตาให้ถ่านร้อนแดง วางไว้ใต้แคร่ไม้ไผ่ด้านหัวแคร่ 1 เตา ด้านท้ายแคร่ 1 เตานำสังกะสีคลุมบนเตาไฟ สังกะสีจะช่วยให้ความร้อนทั่วทั้งใต้แคร่ นำสมุนไพร ประกอบด้วย เปล้าใหญ่ เปล้าน้อย ใบข่า ใบไพล ใบสีเสื้อน้อย ใบพลับพลึง ใบขมิ้น มาวางบนแคร่ให้ทั่วหนาพอสมควร หลังจากนั้นให้หญิงหลังคลอดนอนบนแคร่ ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ติดต่อกัน 10 วันโดยเริ่มทำหลังจากคลอดแล้วประมาณ 15 วัน ประโยชน์ของการย่างไฟ คือ
ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดี ช่วยขับน้ำคาวปลา มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น
การประคบกระตุ้นน้ำนม ด้วยลูกประคบสมุนไพรชุบน้ำและนึ่งให้อุ่น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำนม ให้ไหลได้ดี ผ่อนคลายอาการคัดเต้านม
การประคบกระชับมดลูก ด้วยลูกประคบสมุนไพรที่แช่น้ำพอชุ่มและนิ่งให้ร้อน ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ขับน้ำคาวปลาที่ตกค้างในมดลูกออกไป ลดอาการบวมของมดลูก และลดอาการปวดท้อง
การนวดยกมดลูก ใช้วิธีการนวดคลึงมดลูกเบาๆ แล้วโกยหรือยกมดลูกให้เข้าอู่ การนวดมดลูกสามารถทำได้หลังคลอดประมาณ 1 เดือน กรณีผ่าคลอดต้องรอให้แผลแห้งสนิทก่อนช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ไม่หย่อนคล้อย
การรัดหน้าท้อง โดยนำสมุนไพรเช่นเดียวกับลูกประคบใส่ในด้านในของผ้ารัด นำมาโกยยกมดลูกขึ้นแล้วพันจนผ้าหมด และแน่น ทำวันละ 1 ครั้ง 7-10 วัน ด้วยเชื่อว่าจะช่วยยกกระชับมดลูก และไม่ทำให้มีหน้าท้องเมื่ออายุมากขึ้น
การดูแลทารกแรกเกิด
ครอบครัวมีวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพทารกที่เป็นองค์รวมและผสมผสาน (Holistic &Coexist care )ตลอดช่วงการเป็นทารก คือการที่ครอบครัวมีการดูแลบนพื้นฐานความเชื่อที่ครอบคลุมการดูแลทารกทั้งด้านร่างกายด้านอารมณ์ด้านสังคมและด้านจิตวิญญาณของทารกร่วมกับเป็นการดูแลแบบผสมผสานระหว่างการแพทย์สมัยใหม่กับการใช้ภูมิปัญญาที่สืบทอดกันต่อมา
การดูแลทารกด้านร่างกายประกอบด้วยการดูแลด้านการจัดอาหารด้านสุขวิทยาส่วนบุคคลและด้านการดูแลรักษาโรคเบื้องต้นดังนี้
ด้านการดูแลการจัดอาหาร ให้ทารกได้รับนมมารดาตั้งแต่แรกเกิด แล้วเริ่มอาหารเสริมในช่วงอายุ 4-6 เดือน ซึ่งในวัยทารกมักจะใช้ข้าวหมก อย่างไรก็ตามหากน้ำนมมาน้อยจะมีการให้นมผสมร่วมด้วย เมนูอาหารเสริมจะเป็นจำพวกแกงจืดต่างๆ เช่น แกงจืดตำลึงเป็นต้น ผักนี่งบด เช่น ดอกกระหล่ำ ผักตำลึง เป็นต้น และผลไม้บด เช่น มะละกอ แครอท ฟักทอง กล้วย เป็นต้น จากวัตถุดิบพื้นบ้าน จะเห็นว่าครอบครัว
จะดูแลให้ทารกแรกเกิดได้รับนมมารดา หากน้ำนมไม่พอจะใช้การดูแลแผนปัจจุบันคือการให้นมผสมร่วมด้วย มีการเริ่มอาหารเสริมเป็น
ข้าวหมกก่อนอายุ6 เดือน ซึ่งควรระมัดระวังเรื่องการเกิดอาการท้องอืดในทารกได้ ส่วนการจัดอาหารเสริมอื่นๆ จะให้เมื่อทารกอายุ
6 เดือนขึ้นไป โดยแหล่งอาหารมาจากวัตถุดิบธรรมชาติพื้นบ้าน ซึ่งมีความเหมาะสม
ด้านการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล
ในด้านการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลพบว่าบางครอบครัวมีการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลด้วยวิถีการดูแลแผนปัจจุบัน ได้แก่ การใช้แอลกอฮอล์เช็ดสะดือ การอาบน้ำอุ่น การทำความสะอาดหลังการขับถ่ายแต่บางครอบครัวมีการใช้ภูมิปัญญา ได้แก่ การนวดแขนขาพร้อมพูดคุยกับทารกภายหลังอาบน้ำใช้สมุนไพรสระผมแทนแชมพู อย่างไรก็ตามมีภูมิปัญญาบางอย่างที่ควรระมัดระวังคือการนำขี้แมงใหยมาพอกที่สะดือทารก เพราะการใช้ขี้แมงใหยพอกที่สะดือทารกด้วยจะส่งผลให้มีการติดเชื้อได้ง่ายควรแนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์แทนเพราะหากสะดือทารกมีการติดเชื้อจะทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายและควรระวังเรื่องการใช้ข้าวหมกหรือข้าวย้ำในช่วงอายุก่อนหกเดือนเพราะจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดอาหารไม่ย่อยและมีโอกาสทำให้ลำไส้อักเสบได้ด้วยทารกอายุก่อนหกเดือนจึงควรได้รับนมมารดาเพียงอย่างเดียว
ด้านการดูแลเบื้องต้นเมื่อเจ็บป่วย
เป็นการใช้สมุนไพรใกล้บ้านมารักษาพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งมีตัวอย่างคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูลดังนี้
"ส่วนมากลูกเจ็บท้องจะใช้มหาหิง เป็นสมุนไพรใช้ทาท้องเวลาเด็กน้อยท้องอืด เจ็บท้อง ถ้าลูกท้องอืดส่วนมากแม่ก็จะกินกระเพราให้ชื่น
เพราะสารอาหารจากแม่จะไปฮอดลูกได้ กะเลยกินให้เพิ่นท้องบ่อืด"
"ใช้มะละกอสุกในการแก้ปัญหาท้องอืด"
"การดูแลเด็กน้อยหนิเนาะถ้าเด็กน้อยท้องอืดท้องเฟ้อ ก็ใช้ว่านไพร เอามาฝนแล้วกะทาหน้าท้องและกะทาหัวขม่อม กะสิเซา
(หาย อาการดีขึ้น)"
"ถ้าเป็นตุ่มหรือผื่นคันนี่ก็ใช้ขมิ้นฝนแล้วก็ทาว่านไพรกับขมิ้นนี้จะปลูกประจำบ้านไว้เลย"
จะเห็นว่าครอบครัวมีการใช้สมุนไพรในการรักษาเบื้องต้นเมื่อทารกมีการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง ได้แก่ การลดอาหารท้องอืดด้วยมหาหิง กะเพรา มะละกอ และว่านไพรการลดไข้ด้วยรากไม้ และใบจะนาย การรักษาผดผื่นคันด้วยขมิ้น และว่านไพร การบรรเทาอาการแมลงสัตว์กัดต่อยด้วยสเลดพังพอน และว่านหางจระเข้
การดูแลทารกด้านจิตอารมณ์ ประกอบด้วยการดูแลด้านการเล่น และการนอนดังนี้
ด้านการดูแลการเล่น
ครอบครัวคนชนเผ่าผู้ไทยมีการส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กแบบ "เล่นง่ายๆ สไตล์พื้นบ้าน" เป็นการจัดหาวัสดุการเล่นที่สามารถหาได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมในบ้านหรือในชุมชน เป็นการส่งเสริมพัฒนาการให้ทารกมีความสุขตามระยะพัฒนาการ โดยมีตัวอย่างคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูลดังนี้
"ตอนเด็กเริ่มมองเห็น จะเอาตุ๊กตาไปแขวนที่เปล
ให้มอง"
"ตอนอุ้มกะเอาผ้าขาวม้าน่ะมาเจ่ เจ่กะเอาผ้าขาวม้าพาด
บ่าและกะเจ่ลูก เร็ดตอนลูกมันไห้ เมื่อยแขนอุ้มและกะ
ใช้ผ้าขาวม้าเจ่"
"เวลาหลานคลานได้ กะซิเอ็ด(ทำ) คอกให้ กะเอาไม้ไผ่
ตีเป็นคอกบนแคร่ เพราะบ่อยากให้หลานคลานออกไป
ไซเดี๋ยวซิเกิดอุบัติเหตุ เฮาก็ปล่อยให้เขาเล่นในคอกนั่น
หล่ะปลอดภัยนำ หลานสิอยู่ในสายตาตลอด"
"เวลาเด็กน้อยจะเริ่มหย่าง(เดิน) กะซิเอ็ดเสาไม้ไผ่ให้
หัดหย่าง กะสิตอกเสากับขี้ดินที่มีหญ้า หล่ะเย็ดที่จับให้
เด็กน้อยจับหย่างรอบเสาที่ตอกไว้ ถ้าล้มกะล้มบนหญ้า
กะสิบเจ็บหลาย(มาก)"
พบว่าครอบครัวมีการจัดการเล่น โดยมีอุปกรณ์การเล่นด้วยวัตถุดิบพื้นบ้านและจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับระยะพัฒนาการของทารก และมีการป้องกันอุบัติเหตุขณะเล่น
ด้านการดูแลทารกด้านสังคม
ประกอบด้วยการจัดกิจกรรมการเล่นที่จะให้ทารกได้เล่นกับผู้ดูแล และมีการใช้ภาษาถิ่นเป็นหลักในการสื่อสารระหว่างกัน
ด้านการจัดกิจกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
ครอบครัวชนเผ่าผู้ไทยส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่ปู่ย่าตายายจะมีส่วนร่วมในการดูแลทารก ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ ของทารกจะเป็นมีผู้ดูแลคอยพูดคุย หยอกล้ออยู่ด้วยตลอดเวลา
"เลี้ยงหลานนะ เฮาเอ็ดหยังกะให้เขาเอ็ดนำ สิบ่ปล่อยเขาไว้ผู้เดี๋ยว(คนเดียว)"
"ยาม(เมื่อ ใดที่ปล่อยเด็กน้อยเล่น กะสิมีผู้ใหญ่เบิ่งแยงอยู่ คอยอยู่นำ(ด้วย) คอยเล่นนำ"
จะพบว่าทารกไม่ถูกปล่อยไว้ตามลำพัง ผู้ดูแลทำกิจกรรมอะไรก็จะจัดให้ทารกอยู่ในบริเวณนั้นๆ และมีการจัดกิจกรรมการเล่นที่เป็นการเล่นร่วมกันมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันภายในครอบครัว ส่วนใหญ่จะเล่นโดยสมาชิกในบ้านมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเสมอ ทำให้ทารกได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
ด้านการดูแลการนอนหลับ
ครอบครัวชนเผ่าผู้ไทยมีการจัดให้เด็กนอนหลับพักผ่อนแบบ "นอนเปลสุขปลอดภัย"เป็นการจัดให้เด็ก
ได้นอนในที่ๆปลอดภัย มักจะให้นอนเปลที่เรียกว่าอู่ เพราะนอนหลับได้ง่าย มีการวางเครื่องรางของขลัง
ในที่นอน จัดสรรวัสดุทำเปล เพื่อให้เด็กมีสุขภาพที่ดี ซึ่งมีตัวอย่างคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูลดังนี้
"แต่ก่อนมันเป็นเปลหวาย เปลหวายนะเวลาไกวมันจะไม่โยกตาม เด็กก็จะไม่ค่อยยอมนอน แต่ถ้าเป็นเปลผ้า
เวลาไกวเปลมันก็จะโยกตามจังหวะก็จะทำให้เด็กนอนหลับ แต่ถ้าเป็นเปลหวายเด็กก็จะนอนหลับอยู่
แต่จะตื่นเร็วหน่อย เปลผ้าเด็กจะนอนหลับสนิทดี"
"ยายก็แคไกวเปลมันก็หลับแล้ว เลยไม่ได้กล่อม แต่ตอนแม่เขาไปเกี่ยวข้าวเด็กจะร้องไห้อยู่
ยายก็จะคิดว่าจะทำยังไงให้เด็กหยุดร้อง ก็เลยสานเปลให้หลานนอนเป็นความคิดนะ แต่บางคนก็จะใช้เครือผี
พ่วนเครือไม้ สมัยก่อนจะเอาเครือผีพ่วนมาขด หรืออะไรก็ได้ที่เป็นเครือไม้ที่เราสามารถคดได้ ให้ตาเผิ่น
เอามาดัดแล้วก็มัดแล้วก็ถักให้เป็นเปลให้เด็กนอน"
"ก็เอาอยู่ไฟกับแม่ด้วยนั้นแหละ นอนกับสะแนน(แคร่)นี่แหละ อยู่จนออกคำ (เลิกอยู่ไฟ) นู้นแหละ
อยู่สิบคืนก็เอาอยู่ด้วยสิบนอนคืนนั่นแหละ เด็กบางคนขี้ให้ขี้แย) ก็ต้องเอาใส่เปลไกวบ่อยๆ ถ้ามันร้องไห้
ก็อุ้มเอามากินนม กินนมแล้วก็เอาไปนอน"
"เอานอนตะแคง สมองจะได้ดี แปลง(แต่ง) หัวให้มันงาม"
"ตอนเล็กๆให้นอนผ้าห่มปู พอโตมาให้นอนอู่ ลูกก็มีแต่ผู้ชาย เด็กนอนอู่ผ้าขาวม้านี้จะอยู่
ไม่ร้องงอแงจำไว้เด้อเพราะว่าเวลานอนแล้วโดนรัดตัวเด็กจะมัก (ชอบ)"
"การสานอู่ จะสานโดยนับที่ละเส้นตามลำดับวนไปเรื่อยๆ โดยเรียงจาก ตาอู่ 1 เส้น ตาอยู่ 1 เส้น
ตานอน 1 เส้นวนไปตาอูใหม่ เพราะว่าตำนานบอกว่าให้นอนดี นอนหลับ เด็กจะมีสุขภาพดี"
"เอาพระใส่หัวที่นอน เอามีดไว้ใต้ซะนะ(ที่นอน)เพิ่นว่าไว้กัน(ป้องกัน) ผีมาหลอก มาเอาไป
แบบว่าผีเห็นแล้วจะกลัวจะหนีไป"
จะเห็นว่าการจัดการนอนให้กับทารกของครอบครัวชนเผ่าผู้ไทยจะเน้นการนอนในเปลที่ได้รับการห่อหุ้ม
ทำให้รู้สึกกระชับ ร่วมกับไกวเปลไปด้วยจะทำให้ทารกนอนได้นาน ร่วมกับนำพระและมีดมาไว้ใต้ที่นอน
เพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งทีมองไม่เห็นขณะที่ทารกนอนหลับ โดยการจัดท่านอนมักจะให้นอนตะแคง
เพื่อเป็นการจัดรูปทรงศีรษะให้สวยงาม
อ้างอิง
รุ้งลาวัลย์ เอี่ยมกุศลกิจ.(2561).วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพทารกของครอบครัวชนเผ่าภูไทยจังหวัดนครพนม.
วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนีกรุงเทพ,34(2),78-83.
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnbangkok/article/download/150864/110458/
อำพาเรืองฤทธิ์ และ จันทร์ธิลา ศรีกระจ่าง.(2556).แม่ก่ำเดือน: การดูแลสุขภาพหญิงหลังคลอดแบบบูรณาการภูมิปัญญาล้านนา
และการแพทย์แผนปัจจุบัน.วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครลำปาง,23-24.
http://www.bcnlp.ac.th/document/qa/CHE2556/4.1/4.1-8-2(2).pdf