Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Abdomen - Coggle Diagram

- - - - กำจัดแอมโมเนียออกจากร่างกาย โดยนำไปสร้างเป็นยูเรีย
      - ทำลายฤทธิ์ของฮอร์โมนกลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids) ได้แก่ Cortisol
      - กำจัดบิลิรูบิน (Bilirubin) ออกจากร่างกาย
    - - น้ำตาลกูลโคส (Glucose) ในรูปสารไกลโคเจน และเป็นแหล่งสะสมวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี เค และวิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี12 แร่ธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง สังกะสี
    - - ประมาณวันละ 600 ml น้ำดีจะไหลผ่านท่อน้ำดีมาพักที่ถุงน้ำดี
  - - - การถูกกระแทกโดยตรง (Direct blunt )
        
        ได้แก่ การกระแทกกับขอบล่างของพวงมาลัยรถยนต์ หรือถูกของแข็งกระแทก ทำให้เกิดการกดทับหรือกดเบียดอวัยวะในช่องท้อง แรงที่มากระทำทำให้อวัยวะตัน (Solid organ) ได้แก่ ตับ ม้ามและไต ที่มีเลือดมาเลี้ยงมาก เมื่อมีการบาดเจ็บจึงทำให้เสียเลือดมาก
      - แรงเฉือน (Shearing injury)
        
        เช่น การใส่เข็มขัดนิรภัยที่ไม่เหมาะสมเมื่อเกิดอุบัติเหตุ อาจทำให้เกิดตับฉีกขาดของตับ
    - - การบาดเจ็บที่เกิดจากวัตถุ
        แปลกปลอมมากระทําให้เกิดการทะลุของเนื้อเยื่อ ความรุนแรงของการบาดเจ็บขึ้นอยู่กับความเสียหายของโครงสร้างของเนื้อเยื่อนั้นๆ
        การบาดเจ็บแบบนี้ทําให้เกิดเป็นโพรงขึ้นบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บโดยเฉพาะบาดแผลการถูกแทงจากวัตถุมีคม
  - - - การบาดเจ็บของตับ ระดับความรุนแรง 1-2 ที่มีสัญญาณชีพและการไหลเวียนเลือดปกติ โดยไม่มีการบาดเจ็บร่วมของอวัยวะอื่น ไม่มีอาการเยื่อบุช่องท้องอักเสบ โดยจะให้การรักษาตามอาการ ได้แก่ การนอนพัก ให้สารน้ำ ติดตามค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง
        
        รายที่มีหนองหรือน้ำดีรั่วจะมีการใส่ท่อระบายทางหน้าท้อง (Percutaneous drainage)
        
        รายที่มีเลือดออกจากการที่หลอดเลือดฉีกขาด แพทย์อาจฉีดสารเพื่ออุดตันหลอดเลือด (Angiogram embolism)
        
        การไม่ผ่าตัดอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ เลือดออกในภายหลัง น้ำดีรั่วและสะสมในช่องท้อง (biloma) เยื่อบุในช่องท้องอักเสบ ปวดท้องด้านขวาบนและมีไข้
    - - แพทย์จะทำการผ่าตัดในรายที่ได้รับการบาดเจ็บที่ตับ ระดับ 3 ขึ้น ซึ่งเนื้อตับจะมีการฉีดขาดและขาดเลือดไปเลี้ยง หรือมีก้อนเลือดขนาดใหญ่กว่า 3 cm. โดยในกลุ่มนี้จะมีสัญญาณชีพและการไหลเวียนเลือดผิดปกติ ปวดท้องรุนแรงขึ้น ท้องแข็งตึง เยื่อบุช่องท้องอักเสบหรือความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงลดลง
        
        อาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น ภาวะเลือดออกซ้ำ(Re-bleeding) ภาวะความดันในช่องท้องสูง (Intra-abdominal hypertension : IAH) การรั่วของท่อน้ำดี (Biliary fistula) การติดเชื้อที่ตับและในช่องท้อง (perihepatic / intraabdominal sepsis) ภาวะเลือดออกจากท่อน้ำดี (hemobilia)
        
        damage control laparotomy (DCL) เป็นการผ่าตัดเปิดช่องท้องในผู้ป่วยบาดเจ็บที่ตับรุนแรง โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อห้ามเลือด ซึ่งจะทําการแก้ไขการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นทั้งหมดในครั้งเดียว เช่น เย็บซ่อมตับ และซ่อมหลอดเลือด เป็นต้น รวมทั้งค้นหาการบาดเจ็บของอวัยวะใกล้เคียง การผ่าตัดดังกล่าวใช้เวลาอย่างน้อย3-4 ชั่วโมง
    - - แก้ไขภาวะอุณหภูมิกายต่ำ (Hypothermia) เช่น การใช้ผ้าห่มเป่าลมร้อน (warm blanket)
        
        แก้ไขภาวะเลือดเป็นกรด (acidemia) โดยการให้สารน้ำหรือเลือดให้เพียงพอ
        
        การแก้ไขปัญหาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (coagulopathy) โดยการให้พลาสมา เกร็ดเลือดเข้มข้น (platelet concentration) ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดเข้มข้น (clotting factor concentrates) และวิตามิน เช่น วิตามินK
  - - - ได้รับแรงกระแทกบริเวณลำตัว เอว ชายโครง สีข้างด้านขวาอย่างรุนแรง
    - - ดู : ความผิดปกติของผิวหนังของหน้าท้อง เอว หลัง ได้แก่ รอยฟกช้ำ รอยถลอก บวม รอยคาดเข็มขัด
        คลำ : การคลำแบบลึก (Deep palpation) เพื่อหาขนาดของตับ ลักษณะของตับ
        เคาะ : เพื่อตรวจ Liver span โดยปกติขอบล่างขอบตับจะได้ยินเสียงทึบ
    - - การตรวจ Liver function , การตรวจ CBC, อิเล็คโทรไลต์
    - - ภาพถ่ายรังสีช่องท้อง (X-ray abdomen)
        เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง (CT whole abdomen)
        MRI
        Liver scintigraphy
- - - - เป็นอวัยวะที่มีแคปซูล รูปรีคล้ายถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น
        ในผู้ใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 100-200 g.
        หลอดเลื้อดที่เข้าสู่ม้ามคือ หลอดเลือดสเปลนิกอาร์เตอร์รี่
        (splenic artery) และเลือดจากม้ามจะไหลเข้าสู่ตับ
  - - - ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บ
        
        ระดับที่ 1
        
        เลือดออก
        
        เลือดออกใต้แคปซูล (subcapsular) น้อยกว่าร้อยละ 10
        ของพื้นผิวและก้อนเลือดไม่ขยาย
        
        การฉีกขาด
        
        แคปซูลฉีกขาด (capsular tear) ลึกไม่เกิน 1 ชม.
        และไม่มีเลือดออก
        
        ระดับที่ 2
        
        เลือดออก
        
        เลือดออกใต้แคปซูลร้อยละ 10-50 ของพื้นผิว
        และก้อนเลือดไมโตขึ้น หรือมีเลือดออกในเนื้อม้าม
        (intraparenchymal) เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 5 ชม.
        
        การฉีกขาด
        
        แคปซูลฉีกร่วมกับเลือดไหลไม่หยุด หรือเนื้อม้ามฉีกลึก 1-3 ชม.
        
        ระดับที่ 3
        
        เลือดออก
        
        เลือดออกใต้แคปซูลมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นผิว
        หรือก้อนเลือดโตขึ้น หรือมีเลือดออกในเนื้อม้ามกว้างมากกว่า 5 ชม.
        หรือแคปซูลฉีกขาดร่วมกับเลือดไหลไม่หยุด
        
        การฉีกขาด
        
        เนื้อม้ามฉีก (parenchymal tear) ลึกมากกว่า 3 ชม.
        หรือมีการฉีกขาดของหลอดเลือด
        
        ระดับที่ 4
        
        การฉีกขาด
        
        บางส่วนของม้ามหรือหลอดเลือดในม้ามฉีกขาด มากกว่าร้อยละ 25
        ของม้ามไม่มีเลือดไปเลี้ยง
        
        ระดับที่ 5
        
        เลือดออก
        
        ม้ามแตกเละ (completely shatters spleen)
        
        การฉีกขาด
        
        ไม่มีเลือดไปเลี้ยงม้ามเลย (devascularize spleen)
  - - - CBC
        
        Electrolyte
        
        เคมีคลีนิค
    - - ในเบื้องต้นควรดูแลตามหลัก Advance Trauma Life Support (ATLS)
        ก่อนเป็นอันดับแรกสำหรับในส่วนของการบาดเจ็บที่ม้ามนั้นกลไกการบาดเจ็บอาจเกิดได้หลายรูปแบบคือ การฉีกขาดจาก rapid deceleration, blunt injury และsecondary injury เช่น ถูกกระดูกชีโครงที่หักทิ้มแทง เป็นต้น
    - - ถ้าพบว่ามีประวัติต่อไปนี้ให้สงสัยว่าน่าจะมีบาดเจ็บที่ท้อง ได้แก่ ได้รับแรงกระแทกบริเวณลำตัว เอวชายโครงหรือสีข้างอย่างรุนแรง หยุดรถกะทันหัน หรือได้รับบาดเจ็บหลายระบบ ผู้ป่วยมักมือาการปวดท้องด้านซ้ายร้าวไปไหล่ซ้าย
    - - Chest X-ray ช่วยวินิจฉัยการบาดเจ็บที่ท้องดูว่าชีโครงล่างหักมักมีการบาดเจ็บของม้าม
        
        CT whole abdomen จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของอวัยวะภายในได้ละเอียดยิ่งขึ้น สามารถระบุอวัยวะที่บาดเจ็บ การมีเลือดออกที่อวัยวะนั้นได้
        
        Focus assessment sonography of trauma(FAST) เป็นการตรวจหาของเหลวในช่องท้อง สำหรับระบุการบาดเจ็บของอวัยวะนั้นโดยตรง
    - - การดู : ดูความผิดปกติของผิวหนังหรือเนื้อเยื่อบริเวณหน้าท้อง เอว หลัง เช่น บวมช้ำ เลือดออก ถลอก กระดูกซี่โครงหักใกล้ม้ามท้องโตตึง
        
        การฟัง : ได้ยินเสียงฟู่ที่ท้อง แสดงว่ามีรูทะลุระหว่างหลอดเลือด
        
        การคลำ : คลำได้ยินเสียงกรอบแกรบ หรือคลำแล้วผิวหนังไม่สม่ำเสมอบ่งชี้ถึงการบาดเจ็บที่ม้าม
        
        การเคาะ : เคาะได้เสียงทึบ(dullness)แสดงว่ามีเลือดออกในช่องท้องแล้วเจ็บร่วมกับหน้าท้องแข็งเกร็ง
  - - - การรักษา
        
        ให้นอนพักบนเตียงนาน 48-72 ชั่วโมง หลังจากนั้นลุกลงจากเตียงได้และแนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ หลังจำหน่ายรายที่บาดเจ็บไม่รุนแรง ห้ามทำงานหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 46 สัปดาห์ ส่วนรายที่บาดเจ็บต้องงดทำงานหนักประมาณ 2-4 เดือน
        
        อุดด้วยสารห้ามเลือด(Angioembolization) ซึ่งอาจมีอาการแทรกซ้อนในภายหลัง ได้แก่ ม้ามขาดเลือด
        เป็นหนอง เลือดออก ปอดแฟบและมีสารเหลวในโพรงเยื่อหุ้มปอดด้านช้าย (left pleural effusion)
        
        ติดตามค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง ประเมินและตรวจร่างกายช้ำเป็นระยะ ๆ
        
        การตรวจพิเศษเพิ่มหรือช้ำในรายที่ไม่แน่ใจ หากไม่พบความผิดปกติแพทย์จะอนุญาตให้ลุกลงจากเตียงได้เมื่อครบ 48 ชั่วโมงหลังการบาดเจ็บ และเริ่มรับประทานอาหารอ่อนได้
    - - 1.Systolic < 90 mmHg.ร่วมกับมีอาการหลอดเลือดหดตัว (ผิวหนังเย็นขึ้น) Capillary refill >2 ระดับความรู้สึกตัวลดลง หายใจตื้น
        
        2.Systolic < 90mmHg. แต่ต้องให้เลือดหรือยาเพื่อเพิ่มความดันเลือดร่วมกับพารามิ
        เตอร์อ็นที่ผิดปกติ เช่น คำความเป็นด่างเกิน (base excess)มากกว่า 5 (mmol/L) ดัชนีช็อก
        มากกว่า 1 ให้เลือดอย่างน้อย 4-6 ยูนิด ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหรืออายุ 55 ปีขึ้นไปร่วมกับคะแนนการบาดเจ็บสูง
        
        3.แพทย์อาจพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ การบาดเจ็บหลายระบบ มีประวัติได้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ) หญิงตั้งครรภ์ซึ่งทารกในครรภ์อาจไม่ทนต่อความเครียดจากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดที่ไม่ได้ผลได้
      - ภาวะแทรกช้อนภายหลังการผ่ตัดเอาม้ามออกทั้งหมด
        
        เลือดออกมาก มักเกิดภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด ดังนั้นจึงต้องประเมินแผลผ่าตัด สั่งคัดหลั่งที่ออกมาจากท่อระบาย และติดตามผลคำความเข้มข้นของเลือดแดง
        
        มีรูรั่วที่ตับอ่อน (Pancreatic istula) เนื่องจากม้ามอยู่ติดกับตับอ่อน อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะใกล้เคียงขณะผ่าตัดได้
        
        การอักเสบใต้กระบังลม (Subphrenic abscess) ผู้ป่วยอาจมิไข้ขึ้นๆลงๆ
        
        ติดเชื้อง่ายหลังผ่าตัดม้าม (Overwhelming post splenic infection: OPS)
        เนื่องจากม้ามที่สร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อไม่มีม้ามร่างกายจึงติดเชื้อง่ายโดยเฉพาะเชื้อที่มีแคปซูล (encapsulated bacteria)
        
        เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด(Thromboembolism)
        ซึ่งเกิดได้ทั้งในหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงเนื่องจากหลังผ่าตัดเกล็ดเลือดจะเพิ่มขึ้น
        
        อื่น ๆ ได้แก่ โรคเบาหวาน เลือดแข็งตัวง่าย เกล็ดเลือดสูง (thrombocytosis)
  - - - สาเหตุ : การถูกกระแทกที่หน้าท้องอย่างรุนแรงเช่น เมื่อมีอุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา การชกต่อย หรือรถชน เป็นสาเหตุให้ม้ามแตก
        
        อาการ : ปวดที่ไหล่ซ้ายที่เป็นผลมาจากม้ามแตกเรียกว่า Kehr’s sign อาการนี้จะแย่ลงเมื่อหายใจเข้า ม้ามแตกอาจทำให้เกิดอาการปวดที่ไหล่ซ้ายได้ เนื่องจากเลือดออกจากม้ามอาจระคายเคืองเส้นประสาท เฟรนิค (phrenic) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เกิดขึ้นที่คอและขยายออกไปทางกะบังลม
        
        การรักษา
        
        การผ่าตัด เมื่อมีเลือดออกอย่างรุนแรง ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดที่หน้าท้องทันที เรียกว่า (splenectomy) คือการผ่าตัดเอาม้ามออกทั้งหมด
        
        ไม่ผ่าตัด เมื่อมีรอยฉีกขาดขนาดเล็ก แพทย์อาจเย็บแผล หรือใช้วิธีอุดหลอดเลือดแดง (Arterial Embolization) โดยใส่วัสดุพิเศษผ่านท่อขนาดเล็กเข้าไปอุดหลอดเลือดเพื่อยับยั้งการไหลของเลือด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักไม่จำเป็นต้องผ่าตัดม้ามออก
- - - - Prerenal cause ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงไตเกิดจากปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงไตหรือการกําซาบของเนื้อเยื่อไตลดลง
        
        เช่น ภาวะความดันโลหิตต่ำ
        ขาดสารน้ำ hypovolemia
        สารพิษ เช่น ยาที่มีผลต่อไต (nephrotoxins)
      - Intrinsic renal cause ภาวะไตวายเฉียบพลันที่เกิดจากความผิดปกติของไตเองแบ่งตามพยาธิสภาพและตำแหน่งที่เกิดโรค
        
        เช่น การได้ยาที่มีพิษต่อไต
        การได้รับสารทึบรังสีทางหลอดเลือด
        โรคไตอักเสบ
      - Postrenal cause เกิดจากการอุดกั้นปัสสาวะส่วนล่างของไตตั้งแต่ปลายท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ และท่อไตทั้งสองข้าง
        
        เช่น ต่อมลูกหมากโต
        นิ่ว
        เนื้องอก
        ก้อนเลือด
    - - ระยะเริ่มแรก (initial phase) เป็นระยะที่ร่างกายมีการปรับตัวโดยระบบประสาทซิมพาเธติก (sympathetic) และมีการหลั่งสารที่จะทำให้เลือดไปเลี้ยงไตลดลง
      - ระยะที่มีปัสสาวะออกน้อย (oliguric phase) ระยะนี้พบว่าเนื้อไตมีการอุดตันที่หลอดไตฝอย และมีเนื้อตายเกิดขึ้น ทำให้ไตเสียหน้าที่ในการขับของเสียและรักษาความสมดุลของน้ำ เกลือแร่ และความ เป็นกรดด่าง ตรวจพบค่ายูเรียไนโตรเจน (BUN) และครีเอตินิน (Cr) ในเลือดสูงกว่าปกติ
      - ระยะที่มีปัสสาวะออกมาก (diuretic phase) เป็นระยะที่ไตเริ่มฟื้นตัว จะมีปัสสาวะออกมากกว่า 400 มิลลิลิตร จนถึง 4-5 ลิตรต่อวัน
      - ระยะฟื้นตัว (recovery phase) เป็นระยะที่ไตเริ่มฟื้นตัว กลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ
    - - จำกัดปริมาณน้ำดื่มและเกลือที่ได้รับ
      - ภาวะเลือดเป็นกรด bicarbonate ในเลือดต่ากว่า 15 mEq/Lพิจารณา ให้ sodium bicarbonate
      - โพแทสเซียมสูง
        
        สูงไม่มาก ≤5.0 mg/L ให้ลดอาหารที่มี โพแทสเซียมสูงเช่น กล้วย ส้ม
        
        สูง 5.5-6. 5 mg/L โดยไม่มีอาการหรืออาการ แสดงให้ Sodium polystyrene sulfonate 15-30 กรัม ทุก 3-4 ชั่วโมงร่วมกับ 20% sobitol 50-100 มล. ทางปากหรือสวนเก็บทางทวารหนัก
        
        ภาวะฉุกเฉิน สูงมากกว่า 6. 5 mg/Lและในรายที่มี การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างชัดเจน โดยให้อินซูลิน ทางหลอดเลือดต่า sodium bicarbonate calcium solutions
      - การบำบัดทดแทนด้วยไตเทียม (dialysis)
        
        การฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) วิธีนี้จะทำโดยการใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าไตเทียม ซึ่ง ในขั้นแรกแพทย์จะทำการผ่าตัดสร้างเส้นเลือดเชื่อมต่อระหว่างเครื่องกับหลอดเลือดดำและหลอด เลือดแดงเพื่อให้เลือดหมุนเวียนเข้าไปในเครื่องและถูกฟอกให้สะอาดก่อนที่จะถูกหมุนเวียนกลับเข้าสู่ ร่างกาย โดยจะต้องได้รับการฟอกไตประมาณสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 3-4 ชั่วโมง และจะต้องมา เข้ารับบริการฟ้องไตที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีบริการฟอกไต
        
        การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) เป็นการฟอกไตโดยใช้เนื้อเยื่อที่บริเวณช่องท้องใน การกรองของเสียออกจากเลือดแทนไตร่วมกับน้ำยาฟอกไต ซึ่งวิธีนี้จะสะดวกและสามารถทำได้เองที่ บ้าน อีกทั้งในขณะที่ฟอกไตก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ การฟอกไตด้วยวิธีนี้ต้องทำวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 4-6 ชั่วโมง โดยก่อนที่มีการฟอกไตด้วยวิธีนี้ แพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเล็กเพื่อใส่ท่อเข้าไปที่ บริเวณช่องท้อง จากนั้นเมื่อมีการฟอกไต ผู้ป่วยจะต้องต่อท่อเข้าไปเครื่องฟอกไต และเติมน้ำยาฟอก ไตเข้าไป จากนั้นระบบไหลเวียนของเลือดจะทำให้ของเสียและน้ำส่วนเกินออกมาอยู่ในถุงที่อยู่บริเวณ หน้าท้อง
    - - การซักประวัติอย่างละเอียด เช่น
        
        ประวัติการได้รับยาที่เป็นพิษต่อไต
        
        ประวัติการได้รับฉีดสารทึบแสงรังสี
        การตรวจร่างกายที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดสารน้ำ สูญเสียเลือด จากร่างกาย การติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งซักประวัติ ตรวจร่างกายให้ข้อมูลที่สำคัญเพื่อชี้นำส่งเลือดและปัสสาวะตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      - เกณฑ์วินิจฉัยโดยใช้ KDIGO criteria
        
        ระยะที่ 1
        
        มีระดับ Cr ในเลือดเพิ่มขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า 1.5 เท่า ของค่าระดับCrในเลือด เริ่มต้น หรือมีระดับCrในเลือดเพิ่มขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า 0.3 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตร ในระยะเวลา 48 ชั่วโมงนับจากเริ่มต้น
        
        มีปัสสาวะน้อยกว่า 0.5 มิลลิลิตรต่อ น้ำหนัก ตัวต่อชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
        
        ระยะที่ 2
        
        มีระดับCrในเลือดเพิ่มขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า 2 ถึง น้อยกว่า 3 เท่า ของค่าระดับCrในเลือด เริ่มต้น
        
        ปัสสาวะน้อยกว่า 0.5 มิลลิลิตรต่อน้ำหนัก ตัวต่อชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง
        
        ระยะที่ 3
        
        มีระดับCrในเลือด เพิ่มขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า 3 เท่า ของค่า ระดับCrในเลือด เริ่มต้น หรือมีระดับCrในเลือด เท่ากับหรือ มากกว่า 4 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรหรือ ผู้ป่วยต้องทำการบำบัดทดแทนไต
        
        มีปัสสาวะน้อยกว่า 0.3 มิลลิลิตรต่อน้ำหนัก ตัวต่อชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  - - - Erythropoietin
      - Renin
      - Vitamin D
- - - - Right lower Quadrant(RLQ)
        
        ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ไส้ติ่ง ท่อรังไข่และรังไข่ขวา ท่อไตขวา กระเพาะปัสสาวะ
      - Left Upper Quadrant(LUQ)
        
        ตับกลีบซ้าย ม้าม กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ไตซ้าย ลำไส้ใหญ่ส่วนที่ติดกับม้าม กระเพาะปัสสาวะ
      - Right Upper Quadrant(RUQ)
        
        ตับ ไตขวา ลำไส้เล็กส่วนต้น ตับอ่อนและถุงน้ำดี
      - Left Lower Quadrant(LLQ)
        
        ลำไส้ใหญ่ ท่อรังไข่และรังไข่ซ้าย ท่อไตซ้าย กระเพาะปัสสาวะ
  - - - กระเพาะอาหาร (stomach)
        ตับ (liver)
        ม้าม (spleen)
        ลำไส้เล็ก (small bowl)
        ลำไส้ใหญ่ (large bowel)
    - - ไต (kidney)
        ถุงน้ำดี (gallbladder)
        ตับอ่อน (pancreas)
    - - กระเพาะปัสสาวะ
        ลำไส้ตรง
        รังไข่ ท่อนำไข่ ปีกมดลูก