Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยเพศชาย อายุ 62 ปีการ, Coronary Diagnosis: Double vessel disease…

- - - - จําแนกได้เป็น 2 ชนิด
        
        1.ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีลักษณะ ST segment ยกขึ้นอย่างน้อย 2 Leads ที่ต่อเนื่องกัน หรือเกิด LBBB ขึ้นใหม่ (ST elevation acute coronary syndrome)
        
        STEMI
        
        ST-elevation myocardial infarction
        
        เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีโอกาสเสียชีวิตกะทันหัน โดยจะตรวจพบว่า ECG มี ST segment elevation ร่วมกับ cardiac marker ให้ผลบวก
        
        การวินิจฉัย
        
        4 more items...
        
        2.ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่ไม่พบ ST segment elevation (Non ST elevation acute coronary syndrome)
    - - อุดตันของหลอดเลือดแดงโคโรนารีอย่างเฉียบพลันจากลิ่มเลือด (Thrombus) ซึ่งเกิดจากการที่ Plaque ฉีกขาด กระตุ้นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดทําให้เกิดลิ่มเลือดบริเวณ Plaque เกิดการอุดตันสมบูรณ์อย่างเฉียบพลันเกิด อาการเจ็บหน้าอก (Chest pain) จากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute myocardial ischemia หรือ infarction)
    - - 1.ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
        
        เพศ เพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
        
        อายุ เพศชายอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสพบหลอดเลือดแข็งตัวได้มาก เพศหญิงที่มีประจําเดือนแล้วพบได้บ่อยใกล้เคียงกับเพศชาย
        
        ประวัติครอบครัว ครอบครัวที่มีคนเป็นโรคหัวใจเกี่ยวกับหลอดเลือดโคโรนารีจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าครอบครัวที่ไม่มีโรคนี้
      - 2.ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
        
        ภาวะไขมันในเลือดสูง ( hyperlipidemia )
        
        ความดันโลหิตสูง (hypertension)
        
        โรคเบาหวาน (diabetes mellitus)
        
        การสูบบุหรี่ (smoking)
        
        โรคอ้วน (obesity)
        
        ความเครียด (stress)
        
        การละเลยการออกกําลัง (lack of proper exercise)
    - - 1.การดูแลในระยะฉุกเฉิน (Emergency care)
      - การดูแลในระยะแรก (Early care)
        
        2.1 การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดภายใน 30 นาที
        
        2.2 การทํา Percutaneous Intervention : PCI
        ภายในเวลา 90(+,-)30 นาที
- - - - สูงกว่าปกติ เช่นใน obstructive
    - - อาจเกิดจากการขาด factor I, II, V or X,โรคตับรุนแรง, ภาวะ DIC เฉียบพลัน
    - - อาจเกิดโรคตับ (เช่นตับแข็งตับอักเสบ ฯลฯ ) เนื่องจากตับเป็นผู้สร้างสารประกอบให้เกิดลิ่มเลือด (coagulation factors) แต่เมื่อตับอักเสบจึงอาจสร้างสารตัวนี้ได้ไม่พอเพียง อาจขาดวิตามิน เค ท่อน้ำดีอาจถูกปิดกั้นเนื่องจากวิตามิน เค จะถูกผลิตและส่งออกมาใช้ทางท่อน้ำดีเมื่อท่อน้ำดีผ่านไม่สะดวกจึงทำให้วิตามิน เค ไม่พอใช้ ผู้รับการตรวจอ่านมีสู่ภาวะปกติของตนเองที่แตกต่างจากผู้อื่นกล่าวคือปกติเลือดอาจจะใสเกินไป
  - - - สุขภาพของหัวใจเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นอาจจะยังไม่เกิดอาการเจ็บหน้าอก หรืออาการใดๆของโรค แต่ก็ถือว่ากำลังมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะ กล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลันได้เช่นกัน การตรวจพบค่าผิดปกติในทางมาก ถือเป็นสัญญาณโรคหัวใจ
  - - - อาจเกิดจากการอักเสบหรือปวดเจ็บของเนื้อเยื่อหัวใจ ตับ ตับอ่อน หรือกล้ามเนื้อก็ได้ โดยอาจแสดงผลได้ว่า อาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคตับอื่น ๆ เป็นต้น
    - - อาจเกิดโรคตับอักเสบ อาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial infraction)หากมีโรคหรือภาวะใดที่กระทบต่อตับ หัวใจ หรือกล้ามเนื้อโครงร่าง ก็ย่อมเป็นเหตุทำให้ค่า ALT กระเพื่อมสูงขึ้นได้เสมอ
    - - อาจเกิดจากท่อน้ำดีภายนอกตับถูกปิดกั้นการไหลผ่านของน้ำดี เช่น อาจเกิดจากนิ่วในท่อน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดีที่ไปปิดช่องทางท่อถุงน้ำดี เนื้องอกที่ตับอ่อน จึงเป็นผลทำให้ Direct bilirubin ไหลผ่านออกไปเป็นน้ำดีไม่ได้และคับคั่งท่วมท้นจากตับเข้าสู่กระแสเลือดอาจเกิดการอุดตันของท่อน้ำดีภายในตับเอง น้ำดีจึงไม่สามารถไหลผ่านออกจากตับมาสู่ถุงน้ำดีได้ เป็นผลทำให้ Direct bilirubin ไม่ถูกนำไปใช้ผลิตเป็นกรดน้ำดี จึงทำให้ล้นออกสู่กระแสเลือดอย่างมาผิดปกติ โดยการอุดตันของท่อน้ำดีภายในตับนั้นอาจเกิดจากโรคตับ (อาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์), ตับกำลังเสียหายจากแบคทีเรียบางชนิด, ตับแข็งระยะเริ่มต้นจากบริเวณท่อน้ำดี, ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส, เกิดอาการบวมอักเสบหรือมีการติดเชื้อเกิดขึ้นที่ท่อน้ำดีในชั้นต้น, เกิดจากโลหิตในร่างกายได้เกิดการติดเชื้อ, ร่างกายได้รับสารอาหารด้วยวิธีการให้ผ่านสายน้ำเกลือมานานเกินไป
- - - - จนกระทั่งปลายสายไปถึงหลอดเลือดหัวใจ
        
        แล้วฉีดสารทึบรังสีเข้าในหลอดเลือดหัวใจ พร้อมกับเอ็กซเรย์ด้วยความเร็วสูง
        
        บันทึกภาพของหลอดเลือดหัวใจแต่ละเส้นเพื่อตรวจหลอดเลือดหัวใจว่ามีการตีบตันตำแหน่งไหน มากน้อยเพียงใด
        
        รวมทั้งการฉีดสารทึบรังสีเข้าในห้องหัวใจเพื่อตรวจการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การรั่วของลิ้นหัวใจ วัดความดันในห้องหัวใจ
  - - - แล้วขยายบอลลูนที่ปลายสายให้โปร่ง
        
        หลังจากนั้นจะใส่สายสวนบอลลูนที่มีขดลวดอยู่ตรงปลายเข้าไปขยาย และวางอย่างถาวรในตำแหน่งหลอดเลือดตีบตัน
        
        เพื่อรักษาสภาพของหลอดเลือดไม่ให้กลับมาตีบซ้ำและคงสภาพของหลอดเลือดที่เปิดด้วยการทำบอลลูนไว้
        
        มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ยาต้านเกล็ดเลือดอย่างน้อย 1-2 ตัว เพื่อไม่ให้เกิดการตีบซ้ำและรักษาสภาพของขดเลือดไว้เสมอ
  - - - เลือดออกในตำแหน่งที่แทงเข็ม
      - แพ้สารทึบรังสีแบบไม่รุนแรง
    - - หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงความดันโลหิตต่ำ
      - หลอดเลือดฉีกขาด
      - อัมพาต
      - เสียชีวิต
  - - - งดอาหาร น้ำก่อนการตรวจอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
      - ตรวจร่างกาย และตรวจเลือดตามความจำเป็น
        
        เช่น
        
        ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอ็กซเรย์ปอด ตรวจการทำงานของไต เกลือแร่ ความเข้มข้นของเลือด
      - โกนขนบริเวณขาหนีบทั้ง 2 ข้างเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
    - - ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาล 1 วัน
      - นอนราบห้ามงอขาข้างที่ตรวจ 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันเลือดออกที่แผล
      - ดื่มน้ำมากกว่า 2 ลิตรต่อวันในวันแรกหลังการตรวจ สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ
- - - - ประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาที จํานวน 4 ครั้ง ทุก 30 นาทีจํานวน 2 ครั้ง และทุก 1 ชัวโมง เพื่อประเมินอาการที่เปลี่ยนแปลง และหากมีการเปลี่ยนแปลงรายงานให้แพทย์ทราบทันที
      - ดูแลไม่ให้เลือดออกจากบริเวณข้อมือข้างที่ทํา CAG c PCI โดย
        2.1. ตรวจสอบบริเวณข้อมือข้างที่CAG c PCI ว่ามีbleeding,
        hematoma ถ้ามีควรรีบรายงานให้แพทย์ทราบในทันที
        2.2. ห้ามผู้ป่วย งอข้อมือข้างที่ทํานาน 6 ชัวโมง (นับเวลาเริ่ม
        ต้นตั้งแต่ที่เอาอุปกรณ์รัดเหนือแผลออก)
        2.3. แนะนําให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมือ ไม่เหยียด งอ ใน
        24 ชัวโมงแรกโดยใช้ arm board ช่วยประคองรวมทั้งหลีกเลี่ยง
        การวัดความดันโลหิต จับชีพจร เจาะเลือดหรือเปิดเส้นเลือดดํา
        ให้สารละลายในข้างที่ทําหัตถการอยางน้อย 24 ชัวโมง และไม่ควร
        แทงน้ำเกลือหรือเจาะเลือดทางหลอดเลือดดําระหว่างให้ยา
        เนื่องจากฤทธิ์ของยาจะ ยับยั้งการเกิด clot ทําให้เลือดหยุดช้า
      - ประเมินอาการเลือดออกในสมอง ได้แก่ ระดับคะแนน glasgrow coma scale ลดลง หรือขนาด pupil เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอาการปวดศีรษะอยางทันที และรุนแรงไม่เคยเป็นมาก่อน ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป ีอาการอ่อนแรงของแขนขา ทรงตัวไม่ดี เดินเซ ความผิดปรกติเกี่ยวกบการมองเห็น คลื่นไส้อาเจียนอาเจียนพุง อาการชัก
      - ประเมินอาการเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ถ่ายอุจจาระ หรืออาเจียนเป็นเลือดสดหรือดํา (melena) และเลือดออกทางเดินปัสสาวะ คือ ปัสสาวะเป็นเลือด
      - ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, coagulogram
      - เมื่อพบอาการดังกล่าวข้างต้น หรือ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ผิดปกติ ให้รีบรายงานให้แพทย์ทราบในทันทีเพื่อให้การดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป
      - เฝ้าระวังอาการเลือดออกในอวัยวะที่สําคัญ เช่นเลือดออกในสมอง เฝ้าระวัง neurological signs ประเมินสัญญาณชีพ EKG monitoring เนื่องจากการละลายลิ่มเลือดจากฤทธิ์ของยา จะออกฤทธิ์ทั้งร่างกาย
      - เฝ้าระวัง EKG อย่างต่อเนื่อง เฝ้าระวังคลื่นหัวใจที่หรือเต้นผิดจังหวะชนิดต่างๆเนื่องจากการให้ยาอาจทําให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจากการที่เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจใหม่ (reperfusion) และประเมินการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจใหม่
      - ดูแลสายรัดข้อมือ (TR band) ภายหลังการทำ CAG c PCI หมั่นคลาย pressure ออก และควรดูแลให้ผู้ป่วยใส่ไว้อย่างน้อย 6-10 ชั่วโมง แล้วถึงรถอดสายรัดข้อมือ (TR band) ออกพร้อมติดตามอาการแทรกซ้อนภายหลังการนำสายรัดออก