Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยชายไทย อายุ 39 ปี - Coggle Diagram

- - - - มีเฉพาะ subaqueous bottle ป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกไหลเขา้ช่องเยื่อหุ้มปอด เหมาะสำหรับระบายของเหลวหรือลมเพียงอย่างไดอย่างหนึ่ง
      - ข้อดี
        
        เหมาะในกรณีเร่งด่วน ระบายลมได้ดี และสะดวกในการเคลื่อนย้าย
        เหมาะกับการระบายลม
      - ข้อเสีย
        
        ความดันใน pleural caviy= ความดันที่ปลายหลอดแก้วความดันที่ปลายหลอดแก้ว= ความสูงของน้ำ X ความหนาแน่นของน้ำ + ความดันที่ผิวน้ำ =2X1+042ความดันใน pleural cavity จะเพิ่มขึ้นด้วยดังนั้น เมื่อของเหลวในขวดเพิ่ม
    - - reservoir bottle และ subaqueous bottle เหมาะสำหรับระบายของเหลวและลมร่วมกันเนื่องจากของเหลวจะถูกแยกเก็บในขวด reservoir ไม่เพิ่มระดับน้ำในขวด subaqueous ซึ่งจะทำให้ระบายลมยากข้ึน
      - ข้อดี
        
        ระดับน้ำในขวด under water รeaไม่เปลี่ยนแปลง*เหมาะกับการระบายสารเหลว ใช้กับผู้ป่วยที่มีสารเหลวระบายออกมากหรือมีลมออกมาก สามารถสังเกตลักษณะของสารเหลวที่ระบายออกได้ชัดเจน
      - ข้อเสีย
        
        หาก pleural cavity เกิด negative pressure มากกว่าความดันที่ปลายหลอดแก้วขวดที่สอง น้ำจากขวดสองจะถูกดูดมาขวดที่หนึ่งจนบางครั้งปลายหลอดแก้วใน ขวดสองลอยพันน้ำ เกิดภาวะ open pneumothorax ตามมา
        สามารถแก้ไขโดยประยุกต์ใช้อุปกรณ์ safiety valve
    - - reservoir bottle, subaqueous bottle และ suction control bottle ใช้กรณีที่ต้องการเพิ่ม transpleural pressure gradient เพื่อให้ปอดขยายตัวเร็วลดปริมาตรช่องว่างภายในช่องเยื่อหุ้มปอด
      - ข้อดี
        
        ความดันใน pleural cavity
        = ความดันในขวดที่สอง + ความดันในขวดที่สาม
        ควบคุมความดันได้ดี เป็นระบบที่ปลอดภัยที่สุด เหมาะกับการระบายลมและสารเหลว
      - ข้อเสีย
        
        ถ้าเครื่องดูดเสีย จะระบายลมได้ไม่ดี
        ยังคงพบว่าหาก pleural cavity
        เกิด negative pressure มากกว่า
        ความดันที่ปลายหลอดแก้วทั้ง2ขวด น้ำจากขวดที่3
        จะถูกดูดมาขวดที่2และน้ำจากขวดที่2จะถูกดูดมาขวดที่หนึ่ง
        สารถแก้ไขโดยประยุกค์ใช้อุปกรณ์ saety valve
    - - หากปอดผู้ป่วยโดนกดให้แฟบลงมาเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันภาวะre-expansion pulmonary edema ภายหลังการระบายช่องเยื่อหุ้มปอดอย่างรวดเร็วแนะนำใหค้วบคุมปริมาณและอัตราการระบาย effusion (หนีบสายชั่วคราว)
        
        1.ไม่ระบายมากกวา่ 1.5 L/ครั้งเดียว
        
        ไม่ระบายมากกวา่ 1.5 L/hr.แรก
        
        ไม่ระบายเร็วกว่า 0.5 L/hr.
- - - - แพทย์จึงใส่ท่อช่วยหายใจ
        ตรวจร่างกาย พบว่า
        
        ทรวงอกข้างซ้ายขยายตัวน้อยกว่าข้างขวา
        
        ฟังเสียงการหายใจบริเวณชายปอดทั้งสองข้างได้ยินเสียงลมผ่านปอดข้างซ้ายน้อยกว่าข้างขวา
        
        แขนซ้ายปวดบวมผิดรูป ยกลำบาก พยาบาลดามแขนซ้ายให้
        ส่งตรวจเอกซ์เรย์ พบว่า
        
        ปอดข้างซ้ายมีสีดำทึบ
        
        มีกระดูกต้นแขนซ้ายหัก
        
        ตรวจระดับความเข้มข้นของเลือด ได้ 31%
        
        เปิดเส้นเลือดดำให้สารน้ำ 0.9% Normal saline 1000 มล. พร้อมกัน 2 เส้น
      - พยาบาลเตรียมอุปกรณ์และช่วยแพทย์ใส่ท่อระบายทรวงอกที่ปอดข้างซ้ายต่อชนิด 2 ขวด
        
        หลังใส่ท่อระบายทรวงอก ได้ลมและเลือดปริมาณ 2,500 มล.
        
        ระดับความเข้มข้นของเลือดลดลงเหลือ 27%
        แพทย์สั่งให้
        
        จองเลือด Pack red cell 6 ยูนิต, FFP 2 ยูนิต
        
        ให้ยา cefazolin 1 กรัม เข้าทางหลอดเลือดดำ
        
        ฉีด Tetanus toxoid 0.5 มล. เข้ากล้ามเนื้อ
      - ผู้ป่วยได้รับการรักษา พยาบาลที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินเป็นเวลา 1.15 ชม.
  - - - แพทย์สงสัย มีภาวะเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด
        จึง set OR ผ่าตัดเพื่อทำ Exploratory laparotomy and thoracotomy
      - พยาบาลได้เตรียมความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ
        
        ชี้แจงข้อมูลการรักษาแก่ญาติและผู้ป่วย
        
        วัดสัญญาณชีพ ความดันโลหิต 90/50 มม.ปรอท ชีพจร 140 ครั้ง/ นาที อัตราการหายใจ 24 ครั้ง/นาที
        
        ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด 98%
      - แพทย์ใช้เวลา 2.25 ชม.ทำการผ่าตัด Exploratory Laparotomy thoracotomy, repair diaphragm พบว่ามีเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอดเพิ่มอีก 400 มล.
      - หลังผ่าตัด Exploratory Laparotomy thoracotomy, repair diaphragm
        
        การรักษาหลังผ่าตัด
        
        นอนพักรักษาตัวที่หอผู้ป่วย ICU ศัลยกรรม เพื่อเฝ้าระวังภาวะช็อคจากการเสียเลือดและภาวะการหายใจล้มเหลว
        
        ต่อสายระบายทรวงอกชนิด 3 ขวด
        
        ตรวจความเข้มข้นของเลือด 27%
        
        ให้ Pack red cell จำนวน 2 ยูนิต --> ความเข้มข้นของเลือดเพิ่มเป็น 29%
        
        2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด
        
        มีเลือดออกเพิ่มวันละ 100-200 มล.
        
        เฝ้าระวังการเสียเลือด โดยติดตามผลความเข้มข้นของเลือดทุก 4 ชม.
        
        ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำและยาปฏิชีวนะ
        
        3 วันต่อมา
        
        ผู้ป่วยหายใจเองได้ดี สามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจและถอดเครื่องช่วย
        
        หายใจได้ในวันที่ 12 ของการรักษาตัวในหอผู้ป่วย ICUศัลยกรรม
        
        หลังจากการรักษาได้ 5 วัน อาการคงที่ แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ได้แก้ไขกระดูกแขนซ้ายที่หักโดยทำ
        
        ผ่าตัด ORIF ĉ plate left humorous
        
        ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
        
        การปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัด
        
        ข้อมูลสนับสนุน S : -
        O : ผ่าตัด ORIF ĉ plate left humorous กระดูกแขนซ้ายที่หัก
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        ผู้ป่วยยอมรับและเข้าใจแผนการดูแลรักษา
        
        กิจกรรมการพยาบาล
        
        2 more items...
        
        อีก 2 วันต่อมา
        
        ย้ายผู้ป่วยออกจากหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรม ไปพักรักษาตัวในห้องพิเศษ
        
        รับประทานอาหารได้
        
        แพทย์หยุดให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
        
        ท่อระบายทรวงอกมีสิ่งคัดหลั่งสีเหลืองใสออกน้อยลง วันละ 10 มล.
        
        แพทย์ให้ดูดเครื่องบริหารปอด
        
        ถอดท่อระบายทรวงอกหลังจากไม่มีสารคัดหลั่งออกเพิ่ม
        
        ในวันที่ 25 ของการรักษาตัว
        เอกซ์เรย์ปอดซ้ำพบว่า ผลปกติไม่มีภาวะปอดแฟบ แผลผ่าตัดแห้งติดดี แพทย์อนุญาต ให้กลับบ้านได้
- - - - สาเหตุของการบาดเจ็บทรวงอก แบ่งออกเป็น
        
        1) การบาดเจ็บทรวงอกจากแรงกระแทก (blunt chest injury) เกิดจากมีแรงกระแทกโดยไม่มีบาดแผลทะลุ เข้าทรวงอกมีผลทำให้อวัยวะภายในทรวงอกหรือ ฉีกขาดได้
        
        2) การบาดเจ็บทรวงอกชนิดมี บาดแผลทะลุ (penetrating chest injury) เป็นการ บาดเจ็บที่มีบาดแผลทะลุผ่านเข้าไปในทรวงอก เช่น ถูกยิง ถูกแทง เป็นต้น ซึ่งอวัยวะภายในทรวงอกอาจ จะถูกทำลายมากหรือน้อยขึ้นกับความแรงและ มวลของวัตถุ
      - พยาธิสรีรวิทยา
        
        1. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่องเยื่อ
        หุ้มปอด
        
        การบาดเจ็บทรวงอกทำให้มีรูติดต่อระหว่างภายในช่องเยื่อหุ้มปอดกับบรรยากาศภายนอก
        
        ทำให้มีอากาศแทรกเข้าไปอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอด
        
        มีผลให้ความดันในช่องเยื่อหุ้มปอดเป็นบวกเท่ากับความดันในบรรยากาศ
        
        ทำให้ปอดแฟบ (atelectasis) ได้ และช่อง mediastinum จะเลื่อนมาทางทรวงอกข้างปกติ
        
        1 more item...
        
        2. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ mediastinum
        
        เกิดจากความดันในทรวงอกสูงกว่าอีกข้างหนึ่ง เช่น tension pneumothorax, massive hemorrhage
        
        ทำให้เกิดการเบียด mediastinumไปฝั่งตรงข้ามกับปอดข้างที่บาดเจ็บ
        
        ทำให้หลอดเลือดขนาดใหญ่ในทรวงอกคดงอหรือพับได้
        
        ส่งผลให้เลือดไหลกลับสู่หัวใจไม่สะดวกทำให้ cardiac output ลดลง
        
        3. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่องเยื่อหุ้ม
        หัวใจ
        
        ภายในช่องเยื่อหุ้มหัวใจจะมีของเหลวอยู่
        ประมาณ 5-20 ซีซี
        
        ถ้าได้รับบาดเจ็บที่ทรวงอกอาจเกิดการฉีกขาดของหลอดเลือด เกิดมีน้ำหรือเลือดภายในช่องเยื่อหุ้มหัวใจในปริมาณมาก
        
        pericardial pressure สูงขึ้นมากกว่าความดันในหลอดเลือดดำ
        
        เลือดดำไหลกลับสู่หัวใจลำบาก cardiac output, cardiac contraction ลดลง
    - - สามารถทําได้ 3 แนวทาง
        
        1. การผ่าตัดเปิดทรวงอกเป็นแนวจากด้านข้าง ไปด้านหลัง (posterolateral thoracotomy)
        
        เป็นการ ผ่าตัดระหว่างซี่โครงที่ 4, 5 และ 6 จากด้านข้างลำตัว ไปทางด้านหลัง
        
        นิยมใช้ในการตัดปอด หัวใจ เพราะ สามารถเข้าถึงอวัยวะต่างๆ ภายในได้อย่างกว้างขวาง
        
        2. การผ่าตัดเปิดทรวงอกเป็นแนวจากด้าน หน้าระดับต่ำกว่าเต้านมไปด้านหลังตามแนวซี่โครงที่ 4, 5
        
        3. การผ่าตัดเปิดทรวงอกเป็นแนวที่กระดูกอก (median sternotomy)
        
        เป็นแนวจาก sternal notch ถึง xyphoid นิยมใช้ในการผ่าตัดหัวใจ อวัยวะ ภายในส่วนหน้า
  - - - เพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย เช่น การตัดเนื้อเยื่อส่งตรวจ การขูดเนื้อเยื่อส่งตรวจ
    - - เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถประเมินและการวินิจฉัยได้แน่นอน เช่น การผ่าตัดเพื่อสำรวจดูช่องท้อง
    - - เพื่อเอาอวัยวะส่วนที่เป็นโรคออกหรือซ่อมแชมเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น การผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก เป็นต้น
    - - เพื่อช่วยให้อาการต่างๆของผู้ป่วยทุเลาลง เช่น การผ่าตัดใส่ท่อทางเดินอาหารในผู้ป่วยที่
        เป็นมะเร็งหลอดอาหาร