Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง - Coggle Diagram
การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง
ความหมายของการออกแบบวิจัย
หมายถึง แผน (plan) โครงสร้าง (structure) และยุทธวิธี (strategy) ในการศึกษาค้นคว้า โดยมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ ได้แก่
เพื่อให้ได้คำตอบต่อปัญหาที่ทำการวิจัยอย่างถูกต้อง แม่นยำ เป็นปรนัยและด้วยวิธีประหยัดที่สุดและประการที่สองเพื่อควบคุม
เพื่อควบคุมหรือขจัดอิทธิพลของ ตัวแปรเกินหรือตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลรบกวนต่อการทดลองที่ทำให้ผลการวัดค่าตัวแปรคลาดเคลื่อนไป
ประโยชน์ของการออกแบบวิจัย
3.ช่วยในการกำหนดและสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล
4.ช่วยในการเลือกใช้สถิติวิเคราะห์ ตลอดจนแปลผลข้อมูลได้ถูกต้อง
2.ช่วยให้สามารถตัดสินใจเลือกวิธีวิจัยได้ถูกต้อง
5.ช่วยให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณ แรงงานและระยะเวลาในการทำวิจัย
1.ช่วยให้สามารถวางแผนควบคุมตัวแปรเกินหรือตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลรบกวนการทดลองได้
6.ช่วยในการประเมินผลการวิจัยได้ว่ามีความถูกต้อง เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
ความเที่ยงของการวิจัย
ความเที่ยงตรงภายใน
หมายถึง ความเที่ยงตรงที่เกิดจากการดำเนินการทดลองโดยตรงหรือผลการวิจัยเกิดจากการกระทำของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรทดลองที่ศึกษาโดยตรง
ปัจจัยที่ทำให้ขาดความเที่ยงตรงภายใน
4.เครื่องมือที่ใช้วัด ( instrumentation)
5.การถดถอยทางสถิติ (statistical regression)
3.ทักษะในการสอบวัด ( test wise)
6.การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ( selection)
2.วุฒิภาวะ (maturation) ของกลุ่มตัวอย่าง
7.การขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่าง ( experimental mortality)
1.ประวัติของกลุ่มตัวอย่าง (history) หรือภูมิหลังของกลุ่มตัวอย่าง
8.ผลของปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ( interaction)
การประเมินประสิทธิภาพของการวิจัย
แบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ หมายถึงแบบการวิจัยที่มุ่งสู่คำตอบต่อปัญหาอย่างแท้จริงและเป็นแบบที่อำนวยให้ผู้วิจัยสามารถควบคุมหรือขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนได้ อีกทั้งจะต้องมีความเที่ยงตรงภายในและภายนอกสูง
หลักสำคัญของการประเมินประสิทธิภาพของแบบการวิจัย
2.การพิจารณาว่าแบบการวิจัยนั้นสามารถควบคุมหรือขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนที่จะส่งผลมาถึงตัวแปรตาม
3.การพิจารณาว่าแบบการวิจัยนั้นมีความเที่ยงตรงภายในและความเที่ยงตรงภายนอกสูง
1.การพิจารณาว่าแบบการวิจัยนั้นมุ่งสู่คำตอบปัญหาการวิจัยอย่างแท้จริง
แบบการวิจัย
แบบการวิจัยกึ่งเชิงทดลอง
แบบที่ 4 แบบการวิจัยที่กลุ่มควบคุมไม่มีการสุ่ม แต่มีการสอบก่อนและหลัง (non randomized control group pretest posttest design)
ข้อดี
2.มีการทดสอบก่อน ทำให้ใช้สถิติมาช่วยควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้บางส่วนและทำให้ทราบว่าแต่ละกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด
3.มีกลุ่มควบคุม ทำให้ยืนยันได้ยืนยันได้ว่าผลที่ได้จากการทดลองดีกว่าวิธีการปกติหรือไม่
1.ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ใช้ในกรณีที่มีกลุ่มตัวอย่างอยู่แล้ว โดยไม่ก่อกวนระบบเดิม
ข้องบกพร่อง
1.ถ้าทั้ง 2 กลุ่มไม่เท่ากันผลที่ได้อาจได้รับอิทธิพลจากตัวแปรแทรกซ้อนอื่น
2.การสอบก่อนการทดลองทำให้ไม่สามารถควบคุมการปฏิกิริยาร่วมระหว่างการทดสอบก่อนการทดลองกับตัวแปรทดลองได้
แบที่ 5 แบบอนุกรมเวลาแบบมีกลุ่มควบคุม ( control group time series design or nonequivalent control group pretest posttest time series design)
ข้อดี
1.สามารถควบคุมประวัติของกลุ่มตัวอย่าง วุฒิภาวะ การทดสอบก่อนการทดลองเครื่องมือวัด การทดถอยทางสถิติ การขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนปฏิกิริยาร่วมขององค์กรประกอบเหล่านั้นได้
2.เห็นพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเพราะเป็นการศึกษาระยะยาว
ข้อบกพร่อง
แบบการวิจัยแบบอนุกรมเวลาแบบมีกลุ่มควบคุม มีข้อบกพร่องคือไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาร่วมระหว่างการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างกับตัวแปรทดลองและการทดสอบก่อนการทดลองกับตัวแปรทดลองได้
แบบการวิจัยก่อนมีแบบการวิจัยเชิงทดลอง
แบบที่ 2 แบบกลุ่มเดียวสอบก่อนและหลัง (one-group pretest posttst)
ข้อดี
1.การสอบวัดก่อนและหลังทดลองทำให้สามารถเปรียบเทียบผลการทดลองได้
2.สามารถควบคุมการเลือกกลุ่มตัวอย่างและการขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่างได้
ข้อบกพร่อง
1.การสอบก่อนการทดลองอาจมีอิทธิพลต่อการสอบหลังการทดลอง
2.การเว้นระยะในการสอบก่อนและหลังการทดลองห่างกันผู้เข้าการทดลอง (Subject) อาจมีความเจริญเติบโตมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น
แบบที่ 3 แบบอนุกรมเวลาแบบกลุ่มเดียว (one group time series design)
ข้อดี
2.ทำให้แนวโน้มของลำดับชั้นของการพัฒนาการ
3.ผู้วิจัยสามารถสังเกตอัตราการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่เป็นไปตามปกติและที่เกิดจากการจัดกระทำ
1.ไม่ยุ่งยาก ใช้กลุ่มตัวอย่างเพียงกลุ่มเดียว
ข้อบกพร่อง
3.ถ้ากลุ่มตัวอย่างรู้ว่าถูกทดลองอาจมีผลต่อการวิจัย
4.ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ ทำให้ไม่แน่ใจว่าผลที่ได้มาจากตัวแปรทดลอง
2.ผลการทดลองสอบครั้งแรกอาจมีผลต่อการทดสอบครั้งหลังๆ
5.เสียเวลาในการศึกษาหรือติดตามนาน เพราะเป็นการศึกษาระยะยาว
1.ไม่มีการควบคุมตัวแปร
แบบที่ 1 แบบกลุ่มเดียวหรือรายกรณี (one shot case study)
ข้อดี
1.เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก
2.ถือว่าเป็นแบบการวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research)
ข้อบกพร่อง
1.กลุ่มตัวอย่างไม่มีการสุ่ม ทำให้มีความแตกต่างกันมากภายในกลุ่มขาดความเป็นตัวแทนของประชากร
2.ไม่มีกลุ่มควบคุม ทำให้ไม่แน่ใจว่าผลที่ได้เนื่องมาจากตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาหรือไม่
แบบการวิจัยเชิงทดลอง
แบบที่ 7 แบบมีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองแบบสุ่มและมีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (randomized control group posttest posttest design)
ข้อดี
ควบคุมแหล่งที่มีอิทธิพลต่อความเที่ยงตรงภายในได้เกือบทั้งหมด
มีการสอบก่อนการทดลองทั้ง 2 กลุ่ม ทำให้ทราบสภาพของทั้ง 2 กลุ่มและยังทราบอีกว่าเมื่อได้รับการทดลองไปแล้วแต่ละกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงลงจากเดิมมากน้อยเพียงใด
มีการสุ่มทั้ง 2 ขั้นตอน ทำให้ยอมรับได้ว่าทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน
ข้อบกพร่อง
ไม่แน่ใจว่าสามารถควบคุมแหละที่มีอิทธิพลต่อความเที่ยงตรงภายนอกได้หมด โดยเฉพาะความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากปฏิกิริยาร่วมระหว่างองค์ประกอบต่างๆกุบตัวแปร
แบบที่ 8 แบบ 4 กลุ่มโซโลมอน (Solomon four group design)
ข้อดี
มีกลุ่มควบคุมหลายกลุ่ม ทำให้การเปรียบเทียบมีความกว้างขึ้นและแน่ใจได้ว่าเป็นผลจากตัวแปรทดลองจริงๆ
ควบคุมอิทธิพลของปฏิกิริยาร่วมระหว่างการทดลองสอบก่อนการทดลองสอบกับตัวแปรทดลองได้
ไม่สามรถควบคุมแหล่งที่ทำให้ขาดความเที่ยงตรงภายในได้ทั้งหมด
ข้อบกพร่อง
ไม่แน่ใจว่าควบคุมแหล่งภายนอกที่มีผลต่อความเที่ยงตรงภายนอกได้ทั้งหมด
การทำให้กลุ่มตัวอย่างทั้ง 4 กลุ่ม มีลักษณะเท่าเทียมกันนั้นทำได้ยาก
แบบที่ 6 แบบที่มีกลุ่มควบคุมแบบสุ่มและมีการสอบหลังการทดลอง ( randomized control group posttest only design)
ข้อดี
แบบที่ 7 แบบมีกลุ่มควบคุมแบบสุ่มและมีการสอบหลังการทดลอง
ควบคุมแหล่งที่มีผลต่อความเที่ยงตรงภายในได้มากเพราะมีการสุ่มทำให้มีความเที่ยงตรงภายในสูง
ข้อบกพร่อง
แบบการวิจัยแบบมีกลุ่มควบคุมแบบสุ่มและมีการสอบหลังการทดลองมีข้อบกพร่องคือ ไม่มีการสอบก่อนการทดลองทำให้ไม่ทราบพื้นฐานของทั้ง 2 กลุ่มและหม่สามารถทราบได้ว่าหลังจากมีการทดลองแล้วผลที่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด