Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - Coggle Diagram
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบทดสอบ(Test)
ความหมาย
เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดสมรรถภาพทางสมอง โดยใช้ข้อคำถามเป็นสิ่งกระตุ้น เพื่อให้ผู้ตอบได้แสดงความรู้ความสามารถต่างๆตามที่ผู้ถามต้องการ
ประเภท
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test)
รูปแบบ
แบบทดสอบปรนัย (objective)
รูปแบบ
แบบเติมคำ
ต้องการคำตอบ 1-2 คำ ,ข้อความสั้น ๆ , ประโยคสั้น ๆ
แบบถูก-ผิด
แต่ละข้อ วัด CONCEPT เดียว
ตอบถูก / ผิด ตามหลักวิชา
แบบจับคู่
วัดความสัมพันธ์ / ความเข้าใจในความหมายของคำ วลี ข้อความ ประโยค
แบบเลือกตอบ
เขียนเป็นประโยคคำถามที่สมบูรณ์ และมีตัวคำตอบให้เลือก ตั้งอต่ 3 คำตอบขึ้นไป (ส่วนมากใช้ 4-5 คำตอบ)
คำตอบประกอบด้วย คำตอบที่เป็นตัวถูก และเป็นตัวลวง
มีวิธีการสร้างได้ 4 รูปแบบ
แบบคำตอบถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
แบบคำตอบดีที่สุด
แบบเลือกคำตอบผิด
แบบเปรียบเทียบ
หลักการสร้างข้อสอบแบบปรนัย
1.วิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหาที่จัดให้กับกลุ่มเป้าหมาย
2.กำหนดพฤติกรรมย่อยที่จะออกข้อสอบ
3.กำหนดรูปแบบของข้อคำถาม และศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบ
4.ลงมือเขียนข้อสอบตามจุดประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
5.นำข้อสอบที่ได้ มาพิจารณาทบทวน
6.ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
7.พิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง
8.ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพ และปรับปรุง
9.พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง
ข้อดี
วัดพฤติกรรมได้หลายด้าน ตั้งแต่ความรู้ความจำไปจนถึงการสร้างสรรค์
เป็นข้อสอบที่ตรวจให้คะแนนง่าย ถูกต้อง รวดเร็ว และมีความเป็นปรนัย
สามารถควบคุมความยากง่ายของข้อสอบได้
เป็นข้อสอบที่ผู้วิจัยสามารถวินิจฉัยสาเหตุแห่งการทำข้อสอบผิด ว่าเนื่องมาจากสาเหตุใด
มีความเชื่อมั่นสูง เพราะมีจำนวนข้อสอบมาก และตอบถูกโดยการเดามีน้อย
สามารถใช้สัญลักษณ์ รูปภาพ หรือกราฟมาเขียนข้อสอบได้
ข้อจำกัด
สร้างข้อสอบให้ดี ทำได้ยาก และใช้เวลาในการสร้างนาน
ไม่เหมาะที่จะวัดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การเสนอแนวคิด หรือทักษะการเขียน
สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงในการสร้างข้อสอบ
แบบทดสอบอัตนัย (subjective)
ชนิด
แบบไม่จำกัดคำตอบ (Unstricted-response Type)
แบบจำกัดคำตอบ (Restricted-response Type)
หลักการสร้าง
1.เขียนคำชี้แจงให้ชัดเจนเกี่ยวกับการตอบคำถาม เวลาที่ใช้สอบและคะแนนเต็มในแต่ละข้อ
2.ควรใช้ถามในสิ่งที่ข้อสอบอัตนัยสามารถวัดได้ดีที่สุด
3.ควรคำนึงถึงความสำคัญของวัตถุประสงค์ โดยเลือกถามเฉพาะจุดที่สำคัญๆของเรื่อง
4.พยายามให้ความยาวของข้อสอบ (จำนวนข้อสอบ) พอเหมาะกับเวลาที่กำหนดให้
5.ไม่ควรให้
5.ไม่ควรให้มีการเลือกตอบเป็นบางข้อ
หลักการตรวจให้คะแนน
1.สร้างรายการคำตอบให้สมบูรณ์ และกำหนดคะแนนของแต่ละคำตอบ
2.ควรให้คะแนนคำตอบที่เป็นการรวบรวมความคิด ลักษณะการเขียนชัดเจน การอธิบายความถูกต้องของแต่ละตอน
3.ควรตรวจข้อสอบของผู้เรียนทีละข้อพร้อมๆกันไปทุกคน เสร็จแล้วจึงค่อยตรวจข้อต่อไป
4.ควรประเมินผลงานตามที่ตอบ ไม่ใช่ตามความรู้สึก หรือความประทับใจของผู้ตรวจ
5.ถ้าเป็นไปได้ควรจะมีผู้ตรวจอย่างน้อย 2 คนตรวจข้อสอบข้อเดียวกัน
ข้อดี
วัดกระบวนการคิด และความสามารถในการเขียนได้เป็นอย่างดี
วัดความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการประเมินค่าได้ดี
วัดเจตคติ ข้อคิดเห็นต่างๆได้ดี
สะดวกและง่ายต่อการออกข้อสอบ
ผู้ตอบมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่
ข้อจำกัด
การให้คะแนนไม่แน่นอน คะแนนที่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ตรวจ เช่น อารมณ์ เจตคติ ลายมือ
ขาดความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเพราะออกข้อสอบได้น้อย จึงทำให้ไม่ครอบคลุมเนื้อหา
ตรวจให้คะแนนยาก และใช้เวลาในการตรวจมาก
แบบทดสอบวัดความถนัด (Aptitude test)
ความหมาย
เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดศักยภาพทางสมองของผู้เรียนว่ามีสมรรถภาพมากน้อยเพียงใด
แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน
ด้านภาษา
ด้านคณิตศาสตร์
แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะอย่าง
ความสามารถทางการแสดง
แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality test)
เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพและการปรับตัวของบุคคลในสังคม ซึ่งไม่สามารถวัดด้วยเครื่องมือที่ใช้วัดลักษณะทางกายภาพ แบบทดสอบในลักษณะนี้มีความซับซ้อนต้องนำมาแปลความหมายของคะแนน
แบบสอบถาม
ความหมาย
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล มี ลักษณะเป็นข้อคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความสนใจ ความต้องการ ปัญหา ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของบุคคลในเรื่องต่าง ๆ แบบสอบถามนี้ส่วนใหญ่ใช้กับข้อมูลด้านจิตพิสัย
โครงสร้าง
คำชี้แจงในการตอบ
ข้อมูลที่ต้องการรวบรวม
ข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบ เช่นเพศ อายุ อาชีพ การศึกษา สถานภาพการสมรส
ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นในส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด
รูปแบบ
แบบคำถามปลายเปิด
แบบคำถามปลายปิด
แบบคำตอบ 2 ตัวเลือก
แบบคำตอบมากกว่า 2 ตัวเลือก
แบบเลือกคำตอบเดียว โดยให้เลือกคำตอบเดียวจาก หลายตัวเลือก
แบบเลือกได้หลายคำตอบ
ลักษณะของแบบสอบถามที่ดี
ลักษณะโดยทั่วไปของแบบสอบถาม
จัดรูปเล่มให้สวยงามน่าสนใจ
ใช้ระบบสีเพื่อสร้างจุดสนใจ
แบบสอบถามไม่ควรมีขนาดยาวมาก และไม่ควรมีความหนา
จัดเรื่องเนื้อหาสาระเป็นหมวดหมู่ เป็นตอน ๆ
ลักษณะคำถาม
ใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และไม่
เรียงลำดับคำถามจากเรื่องง่าย ๆ ไปหาเรื่องยาก ๆ
หลีกเลี่ยงการถามที่เสนอแนะคำตอบ และคำถามแบบปฏิเสธ
หลีกเลี่ยงการถามที่ทำให้ผู้ตอบเกิดความละอายไม่กล้าตอบ
วิธีการที่ใช้ในการตอบแบบสอบถาม
ต้องมีคำชี้แจงวิธีตอบแบบสอบถามให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้ตอบปฏิบัติอย่างไร
หลีกเลี่ยงวิธีตอบที่ซับซ้อนยุ่งยาก
หลักในการสร้างแบบสอบถาม
กำหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน กำหนดจุดมุ่งหมายว่าต้องการถามเรื่องอะไรบ้าง
2.จำแนกเรื่องที่ต้องการถาม เช่น ด้านข้อมูลส่วนตัว,ครอบครัว, เศรษฐกิจ
3.สร้างคำถามให้ครอบคลุมทุกด้านที่ต้องการ
เรียงลำดับข้อคำถาม
การตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถาม
ขั้นตอนในการสร้าง
วิเคราะห์ลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ
กำหนดรูปแบบของคำถาม
ร่างแบบสอบถาม
ตรวจสอบแบบสอบถามฉบับร่าง
ตรวจสอบโดยผู้ร่างเอง
ตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
ทดลองใช้เครื่องมือ
จัดทำแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์
เทคนิคการใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูล
เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง
การฝากให้บุคคลอื่นรวบรวมข้อมูลให้
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการส่งทางไปรษณีย์
แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า
ประเภท
มาตราส่วนประมาณค่าแบบจัดประเภทหรือแบบบรรยาย
วิธีการนี้จะเขียนคำบรรยายบอกคุณลักษณะของเรื่องนั้นว่าอยู่ในระดับใด โดยกำหนดให้ผู้ตอบเลือกตอบอย่างใดอย่างหนึ่งให้ตรงกับความเป็นจริง
มาตราส่วนประเมินค่าแบบกำหนดตัวเลข
เป็นมาตราส่วนที่ทำขึ้นโดยกำหนดตัวเลขแทนคุณลักษณะต่าง ๆ แล้วให้ผู้ตอบทำเครื่องหมายตามคำสั่งลงบนตัวเลขที่กำหนดให้ ซึ่งจะต้องมีการชี้แจงเกณฑ์ตัวเลขไว้ด้วย
มาตราส่วนประมาณค่าแบบกราฟ
เป็นการกำหนดคุณลักษณะของพฤติกรรมไว้ที่เส้นนั้น ๆ ผู้ประเมินจะเขียนเครื่องหมายไว้บนเส้นที่ตรงกับลักษณะที่จะประเมิน โดยกำหนดให้ผู้ตอบทำเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามความเป็นจริงของผู้ตอบ
โครงสร้าง
คำชี้แจง
ข้อมูลส่วนตัว
ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการศึกษา
ลักษณะ
มีระดับความเข้มข้นให้เลือกตอบตามความคิดเห็น
ในแต่ละระดับของความเข้มข้น อาจจะเป็นด้านบวก หรือด้านลบ หรือทั้งด้านบวก และลบในข้อเดียวกัน
ข้อคำถามแต่ละข้อมีลักษณะเป็นเชิงบวก (Positive scale) และเชิงลบ (Negative scale)
แบบวัดเจตคติ
ลิเคิร์ท (Likert technique)
ขั้นตอนการสร้าง
1.ตั้งจุดมุ่งหมายของการศึกษาว่าต้องการศึกษาเจตคติของใครมีต่อสิ่งใด
2.ให้ความหมายของทัศคติที่จะศึกษานั้นอย่างแจ่มชัด
3.สร้างข้อความให้ครอบคลุมคุณลักษณะที่สำคัญๆของสิ่งที่จะศึกษาต้องมีทั้งข้อความที่เป็นทั้งทางบวกและทางลบ
4.ตรวจสอบข้อความที่สร้างขึ้น โดยตนเองและผู้ที่มีความรู้ (ผู้เชี่ยวชาญ)
5.ทำการทดลองใช้
6.กำหนดการให้คะแนน โดยให้ 5 4 3 2 1 สำหรับข้อความทางบวก และ 1 2 3 4 5 สำหรับข้อความทางลบ (เรียก Arbitary weighting method)
เทอร์สโตน (Thurstone technique)
ขั้นตอนการสร้าง
1.เขียนข้อความให้ได้มากที่สุด
2.ผู้ตัดสินพิจารณาข้อความ
3.ให้ผู้ตัดสินทั้งหมดแบ่งข้อความทั้งหมดออกเป็น 11 กอง ให้ผู้ตัดสินใช้เกณฑ์การแบ่งโดยการถามตนเองว่า ถ้าบุคคลที่มีความเห็นด้วยกับข้อความนั้นไระดับของเจตคติควรจะอยู่ในระดับจาก 1-11
4.รวบรวมข้อมูลแล้วทำการแจกแจงความถี่แต่ละข้อความ
5.คำนวณค่ามัธยฐาน
6.ตัดข้อความที่มีค่า Q สูงๆทิ้ง เพราะความคิเห็นของผู้ตัดสินกระจายมาก แสดงว่าข้อความอาจไม่ชัดเจน
7.เลือกข้อความจกข้อความที่เหลือโดยข้อความที่มีค่าต่างกันเป้นช่วงๆช่วงละเท่าๆ กัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เลือกข้อความที่มีค่า S ทั้งสูง กลาง ต่ำ ปะปนกันไป
นำข้อความที่เลือกไว้นั้นมาเรียงคละกันไปแบบสุ่มและจัดให้อยู่ในรูปแบบของแบบวัด โดยมีคำชี้แจงในการตอบระบุว่า ผู้ตอบแบบวัดนั้นควรเขียนเครื่องหมาย ลงหน้าหรือหลังข้อความที่ตรงกับความรู้สึกของตนเองมากที่สุด
นำแบบวัดนั้นไปทดลองใช้กับกลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกลุ่มตัวอย่างจริง หรือกับประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อตัดข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
พิจารณาตัดข้อความที่ไม่เกี่ยวข้อออกไป
11.นำข้อความที่คัดเลือกแล้วมาเรียบเรียงเป็นแบบวัด
ออสกูด(Osgood technique)
การเลือกสังกัป(concept)
เข้าใจตรงกัน ความหมายเดียว
เมื่อผู้ตอบแล้วมีความแปรปรวนระหว่างบุคคลมาก
ผู้ตอบมีความคุ้นเคย
ครอบคลุมตัวแทนของประชากรของสังกัป
ข้อดี
ประหยัดเวลาและแรงงาน
เก็บรวบรวมข้อมูลได้จำนวนมาก
ผู้ตอบมีโอกาสหาเวลาในการตอบ มีอิสระในการตอบ
ง่ายต่อการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อสรุปผล
ได้ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นจากผู้ตอบในเวลาใกล้เคียงกัน
ข้อจำกัด
ใช้ได้เฉพาะบุคคลที่อ่านออกเขียนได้เท่านั้น
ถ้าผู้ตอบ ตอบแบบขอไปที ทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์
ใช้เวลาในการสร้างแบบสอบถามที่ดีค่อนข้างนาน
ไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้จะมาจากบุคคลที่ต้องการจริงหรือไม่
การสังเกต (Observation)
ลักษณะของพฤติกรรมที่สังเกตได้
พฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
พฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไข ที่กำหนด
ประเภทของการสังเกต
การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structured observation)
การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstrucured observation)
วิธีการสังเกต
การสังเกตทางตรง
การสังเกตทางอ้อม
เทคนิคในการสังเกต
การสังเกตแบบมีส่วนร่วม
การสังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์
การสังเกตแบบมีส่วนร่วมไม่สมบูรณ์
การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม
เป็นการสังเกตที่ผู้สังเกตไม่เข้าไป
มีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น
หลักในการสังเกต
ต้องตั้งวัตถุประสงค์ในการสังเกตที่แน่นอนว่าจะสังเกตพฤติกรรมใด
ต้องสังเกตด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณในการพินิจพิเคราะห์
ระยะเวลาในการสังเกตต้องติดต่อกันและต้องทำการสังเกตหลายๆครั้ง หลายๆสถานการณ์
วิธีการสังเกตและวิธีการบันทึกข้อมูลต้องเป็นระบบมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน
ขณะที่สังเกตจะต้องไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว เพื่อที่จะได้พฤติกรรมที่แท้จริง
บันทึกเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตเห็นเท่านั้น ไม่ใส่ความรู้สึกส่วนตัวของผู้สังเกตเข้าไป
การสังเกตจะให้ผลที่แน่นอนน่าเชื่อถือ ควรใช้ผู้สังเกตหลายๆคน
เครื่องมือที่ใช้ในการสังเกต
แบบสังเกตพฤติกรรม
แบบสังเกตทักษะ
คุณสมบัติของผู้สังเกตที่ดี
มีความรอบรู้ในเรื่องที่สังเกตเป็นอย่างดี
. มีการรับรู้ที่ดี สังเกตที่ดีต้องมีความไวในการรับรู้เป็นอย่างดี
มีความละเอียดรอบคอบและตั้งใจในการสังเกต การสังเกตปรากฎการณ์
มีความยุติธรรม มีความซื่อสัตย์
มีสภาพร่างกายแข็งแรง ผู้สังเกตที่ดีควรมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ข้อดี
ช่วยให้ได้ข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมโดยใช้เครื่องมือหรือเทคนิคอย่างอื่น
ช่วยให้ได้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆ อย่างแท้จริง
สามารถบันทึกความจริงในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์นั้น
การสังเกตเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย สะดวก และนำไปใช้ได้บ่อยโดยไม่สิ้นเปลืองเงิน
ช่วยให้ผู้สังเกตมีทักษะในการสังเกตดียิ่งขึ้น
มีความสบายใจทั้งสองฝ่าย
ข้อจำกัด
สิ้นเปลืองเวลาที่จะต้องคอยติดตามสังเกตพฤติกรรมตามเทศกาลต่างๆ
ถ้าผู้สังเกตมีเวลาน้อยอาจทำให้ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน
การสังเกตบางครั้งทำได้ไม่สะดวก เช่น เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว
บางเหตุการณ์กระทำไม่ได้ ถ้าหากว่าเหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทำการสังเกต
การสัมภาษณ์ (Interview )
ลักษณะ
การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
ส่วนประกอบ
ส่วนแรก
เป็นส่วนที่ใช้บันทึกข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ เช่น ชื่อโครงการวิจัย วัน เดือน ปี ที่ทำการสัมภาษณ์
ส่วนที่สอง
เป็นส่วนที่ใช้บันทึกข้อมูลส่วนตัวของผู้ถูกสัมภาษณ์ เช่น เพศ อายุ อาชีพ
ส่วนที่สาม
เป็นส่วนที่ใช้บันทึกข้อคำถาม ความคิดเห็นและข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษาตามจุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์
ขั้นตอน
ขั้นเตรียมการสัมภาษณ์
ขั้นดำเนินการสัมภาษณ์
ขั้นบันทึกผลการสัมภาษณ์
ขั้นปิดการสัมภาษณ์
วิธีการสัมภาษณ์
1.ควรศึกษาวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ให้เข้าใจ ว่าต้องการเก็บข้อมูลในเรื่องใด
2.ศึกษาสภาพแวดล้อม ทำความคุ้นเคยกับผู้ที่จะไปสัมภาษณ์
3.กำหนดวิธีการสัมภาษณ์ นัดแนะเวลา สถานที่ให้เรียบร้อย
4.ฝึกซ้อมคำถาม เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์
5.ดำเนินการสัมภาษณ์
5.1ขั้นเริ่มต้นการสัมภาษณ์
5.2ขั้นสัมภาษณ์
5.3ขั้นปิดการสัมภาษณ์
หลักการสัมภาษณ์ที่ดี
ผู้สัมภาษณ์ควรเตรียมความรู้ในเรื่องที่ต้องการสัมภาษณ์ เป็นอย่างดี รวมทั้งประวัติส่วนตัวของผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วย
การเลือกผู้ถูกสัมภาษณ์อย่างเหมาะสม
ผู้สัมภาษณ์จะต้องสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ถูกสัมภาษณ์
ควรมีการวางแผนเกี่ยวกับคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ตามลำดับก่อนหลัง
หลีกเลี่ยงการใช้คำถามประเภทบังคับ
ภาษาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ต้องเหมาะสมกับระดับของผู้ถูกสัมภาษณ์
วิธีการจดบันทึกอย่างเหมาะสม พูดคุยบ้าง
บรรยากาศในการสัมภาษณ์ควรเป็นอิสระ และมีสภาพแวดล้อมทีดี
คุณสมบัติของผู้สัมภาษณ์ที่ดี
มีบุคลิกภาพที่ดี กริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยนุ่มนวล
มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
มีปฏิภาณและไหวพริบดี
เป็นคนช่างสังเกต
มีความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบในการสัมภาษณ์
มีความอดทน ในระหว่างการสัมภาษณ์อาจจะพบปัญหาและอุปสรรคมากมาย
ข้อดี
สามารถเก็บข้อมูลได้จากทุกคนที่พูดได้ ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการอ่าน-เขียนได้
สามารถปรับคำถามให้ชัดเจนได้ กรณีที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่เข้าใจคำถาม
ได้ข้อมูลจากบุคคลที่ต้องการจริง
ข้อจำกัด
การเก็บข้อมูลบางครั้งต้องเดินทางไกล ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย
ในบางครั้งได้ข้อมูลที่ไม่จริง เนื่องจากผู้ถูกสัมภาษณ์เกิดความกลัว อายในการตอบคำถาม
ข้อมูลที่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์
เสียเวลาในการฝึกอบรมผู้สัมภาษณ์ เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ ในกรณีที่ต้องใช้ผู้สัมภาษณ์เป็นจำนวนมาก
สังคมมิติ (sociometry)
ความหมาย
เป็นการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของเด็กที่ศึกษาในกลุ่มเพื่อนและศึกษาความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม
ข้อดี
ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลที่เที่ยงตรงเกี่ยวกับวัตถุประสงค์เฉพาะของบุคคลแต่ละคนในกลุ่มของตน สิ่งเหล่านี้ทำให้ทราบว่าเพื่อนๆ มองกันและกันในลักษณะใด
คุณลักษณะของเครื่องมือที่ดี
ความเที่ยงตรง (validity)
ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง
ความเที่ยงตรงเชิงสภาพ
ความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์
ความเชื่อมั่น (reliability)
คุณลักษณะของเครื่องมือที่สามารถวัดได้แน่นอน คงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนไป
อำนาจจำแนก (discrimination)
ความสามารถของเครื่องมือในการจำแนกผู้ถูกวัดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม สูง-กลุ่มต่ำ หรือกลุ่มเก่ง-กลุ่มไม่เก่ง
ความเป็นปรนัย (objectivity)
การตรวจให้คะแนนได้ตรงกันไม่ว่าใครจะตรวจก็ตาม
มีความแจ่มชัดในการแปลความหมายของคะแนน
คำถามชัดเจน ผู้เข้าสอบเข้าใจตรงกันได้
ความยาก (difficulty)
สัดส่วนที่ผู้ตอบข้อสอบนั้นถูกกับจำนวนคนที่เข้าสอบทั้งหมด ข้อสอบที่ดี คือ ข้อสอบที่ไม่ยากเกินไปหรือไม่ง่ายเกินไป
ความมีประสิทธิภาพ (efficiency)
เครื่องมือวัดที่ประหยัดเศรษฐกิจ (economic)
การวัดอย่างลึกซึ้ง (searching)
ลักษณะข้อสอบที่ถามครอบคลุมพฤติกรรมหลายๆด้าน ไม่ใช่ว่าวัดแต่พฤติกรรมตื้นๆ เพียงอย่างเดียว
ความยุติธรรม (fair)
การดำเนินการวัดจะต้องไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกวัดคนใดคนหนึ่งได้เปรียบคนอื่นๆ
ความเฉพาะเจาะจง (definite)
ข้อสอบที่มีแนวทางหรือทิศทางการถามการตอบอย่างชัดเจน ไม่คลุมเครือ
การกระตุ้นยุแหย่ (exemplary)
เครื่องมือวัดที่ทำให้ผู้ตอบทำด้วยความสนุกสนาน มีการถามล่อ
ขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล
1.วางแผนเก็บรวบรวมข้อมูลควรเตรียมการ
กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง และวิธีการสุ่มตัวอย่าง
กำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่าง และลักษณะของเครื่องมือ
กำหนดจำนวนขั้นต่ำของข้อมูลที่ต้องการจะได้รับคืน
2.เตรียมเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลให้เพียงพอ
3.กำหนดนัดหมายกลุ่มตัวอย่างและแจกเครื่องมือจัดเก็บรวบรวมข้อมูล
4.ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลตามที่ได้วางแผนไว้
5.รวบรวมข้อมูลที่ได้รับคืนมา พร้อมทั้งตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
6.ตรวจสอบจำนวนเครื่องมือที่ได้รับคืนมา
7.ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลอีกครั้ง แล้วนำไปวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยต่อไป
ข้อควรระวังในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ไม่ควรทำการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ล่วงหน้า ก่อนการให้คำจำกัดความของปัญหา
วางแผนและฝึกฝนก่อนที่จะทำการเก็บรวบรวมข้อมูล
สร้างเครื่องมือวัดให้ชัดเจนและตรงตามวัตถุประสงค์
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล จะต้องย้ำเตือนผู้ตอบให้ตอบให้ถูกต้องตามรูปแบบของเครื่องมือ
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล จะต้องชี้แจงวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจน
การเก็บรวบรวมข้อมูลต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน
ผู้รวบรวมข้อมูลต้องขจัดความลำเอียงหรืออคติส่วนตัว
ระมัดระวังไม่ให้เก็บข้อมูลซ้ำหน่วย หรือเว้นข้ามหน่วย
ผู้วิจัยควรทำเครื่องหมายไว้ที่เครื่องมือวิจัย ก่อนที่จะนำไปใช้
ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลต้องใช้หลักจิตวิทยา และมีกิริยาที่สุภาพ อ่อนโยน