Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง, นายชลชลิต สุภานิช 62104010270 คณะพลศึกษา…
การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง
ประโยชน์ของการออกแบบการวิจัย
1.ช่วยให้สามารถวางแผนควบคุมตัวแปรเกิน หรือตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลรบกวนการทดลองได้
2.ช่วยให้สามารถตัดสินใจเลือกวิธีวิจัยได้ถูกต้อง
3.ช่วยในการกำหนดและสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล
4.ช่วยในการเลือกใช้สถิติวิเคราะห์ ตลอดจนแปลผลข้อมูลได้ถูกต้อง
5.ช่วยให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณ แรงงาน และระยะเวลาในการทำวิจัย
6.ช่วยในการประเมินผลการวิจัยได้ว่ามีความถูกต้อง เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
ความหมายของการออกแบบการวิจัย
หมายถึง แผน (plan) โครงสร้าง (structure) และยุทธวิธี (strategy) ในการศึกษาค้นคว้า โดยมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ ได้แก่
เพื่อให้ได้คำตอบต่อปัญหาที่ทำการวิจัยอย่างถูกต้อง แม่นยำ เป็นปรนัย และด้วยวิธีที่ประหยัดที่สุด และประการที่สองเพื่อควบคุม
เพื่อควบคุมหรือขจัดอิทธิพลของ ตัวแปรเกิน หรือตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลรบกวนต่อการทดลองที่ทำให้ผลการวัดค่าตัวแปรคลาดเคลื่อนไป
ความเที่ยงตรงของการวิจัย
ความเที่ยงตรงภายใน
หมายถึง ความเที่ยงตรงที่เกิดจากการดำเนินการทดลองโดยตรง หรือผลการวิจัยเกิดจากการกระทำของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรทดลองที่ศึกษาโดยตรง
ปัจจัยที่ทำให้ขาดความเที่ยงตรงภายใน
1.ประวัติของกลุ่มตัวอย่าง (history) หรือภูมิหลังของกลุ่มตัวอย่าง
2.วุฒิภาวะ (maturation) ของกลุ่มตัวอย่าง
3.ทักษะในการสอบวัด (test wise)
4.เครื่องมือที่ใช้วัด (instrumentation)
5.การถดถอยทางสถิติ (statistical regression)
6.การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง (selection)
7.การขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่าง (experimental mortality)
8.ผลของปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ (interaction)
ความเที่ยงตรงภายนอก
หมายถึง การที่ผลการวิจัยสามารถสรุปอ้างอิงไปยังเนื้อหา สถานการณ์ ที่ใกล้เคียง และประชากรได้อย่างถูกต้อง
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเที่ยงตรงภายนอก
1.ปฏิกิริยาร่วมระหว่างการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างกับตัวแปรทดลอง (interaction effects of selection bias and treatment)
2ปฏิกิริยาระหว่างการสอบครั้งแรกกับตัวแปรทดลอง (interaction effects of testing and treatment)
3.ปฏิกิริยาจากการจัดสภาพการทดลอง (reaction from experiment situation)
4.ผลร่วมของการได้รับตัวแปรทดลองหลายๆตัวติดต่อกัน (carry over effect)
แบบการวิจัย
แบบการวิจัยก่อนมีแบบการวิจัยเชิงทดลอง
แบบที่ 1 แบบกลุ่มเดียวหรือรายกรณี (one shot case study)
ข้อดี
2.ถือว่าเป็นแบบการวิจัยของการวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research)
1.เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก
ข้อบกพร่อง
1.กลุ่มตัวอย่างไม่มีการสุ่ม ทำให้มีความแตกต่างกันมากภายในกลุ่ม ขาดความเป็นตัวแทนของประชากร
2.ไม่มีกลุ่มควบคุม ทำให้ไม่แน่ใจว่าผลที่ได้เนื่องมาจากตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาหรือไม่
แบบที่ 2 แบบกลุ่มเดียวสอบก่อนและหลัง (one-group pretest posttest design)
ข้อดี
1.การสอบวัดก่อนและหลังการทดลอง ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลการทดลองได้
2.สามารถควบคุมการเลือกลุ่มตัวอย่าง และการขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่างได้
ข้อบกพร่อง
1.การสอบก่อนการทดลองอาจมีอิทธิพลต่อการสอบหลังการทดลอง
2.การเว้นระยะในการสอบก่อนและหลังการทดลองห่างกัน ผู้เข้ารับการทดลอง (subject) อาจมีความเจริญเติบโต มีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น
แบบที่ 3 แบบอนุกรมเวลาแบบกลุ่มเดียว (one group time series design)
ข้อดี
1.ไม่ยุ่งยาก ใช้กลุ่มตัวอย่างเพียงกลุ่มเดียว
2.ทำให้เห็นแนวโน้มของลำดับขั้นของการพัฒนาการ
3.ผู้วิจัยสามารถสังเกตอัตราการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่เป็นไปตามปกติ และที่เกิดจากการจัดกระทำ
ข้อบกพร่อง
1.ไม่มีการควบคุมตัวแปร
2.ผลการทดสอบครั้งแรกอาจมีผลต่อการทดสอบครั้งหลังๆ
3.ถ้ากลุ่มตัวอย่างรู้ตัวว่าถูกทดลองอาจมีผลต่อผลการวิจัย
4.ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ ทำให้ไม่แน่ใจว่าผลที่ได้มาจากตัวแปรทดลอง
5.เสียเวลาในการศึกษาหรือติดตามนาน เพราะเป็นการศึกษาระยะยาว
แบบการวิจัยกึ่งเชิงทดลอง
แบบที่ 4 แบบการวิจัยที่กลุ่มควบคุมไม่มีการสุ่ม แต่มีการสอบก่อน และหลัง (nonrandomized control group pretest posttest design)
ข้อดี
2.มีการทดสอบก่อน ทำให้ใช้สถิติมาช่วยควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้บางส่วน และทำให้ทราบว่าแต่ละกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด
3.มีกลุ่มควบคุม ทำให้ยืนยันได้ว่าผลที่ได้จากการทดลองดีกว่าวิธีการปกติหรือไม่
ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ใช้ในกรณีที่มีกลุ่มตัวอย่างอยู่แล้ว โดยไม่ก่อกวนระบบเดิม
ข้อบกพร่อง
1.ถ้าทั้ง 2 กลุ่มไม่เท่ากัน ผลที่ได้อาจได้รับอิทธิพลจากตัวแปรแทรกซ้อนอื่น
2.การสอบก่อนการทดลองทำให้ไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาร่วมระหว่างการทดสอบก่อนการทดลอง กับตัวแปรทดลองได้
แบบที่ 5 แบบอนุกรมเวลาแบบมีกลุ่มควบคุม (control group time series design or nonequivalent control group pretest posttest time series design)
ข้อดี
2.เห็นพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะเป็นการศึกษาระยะยาว
1.สามารถควบคุมประวัติของกลุ่มตัวอย่าง วุฒิภาวะ การทดสอบก่อนการทดลองเครื่องมือวัด การถดถอยทางสถิติ การขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนปฏิกิริยาร่วมขององค์ประกอบเหล่านั้นได้
ข้อเสีย
แบบการวิจัยแบบอนุกรมเวลาแบบมีกลุ่มควบคุม มีข้อบกพร่อง คือไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาร่วมระหว่างการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างกับตัวแปรทดลอง และการทดสอบก่อนการทดลองกับตัวแปรทดลองได้
แบบการวิจัยเชิงทดลอง
แบบที่ 7 แบบมีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองแบบสุ่มและมีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (randomized control group pretest posttest design)
ข้อดี
2.ควบคุมแหล่งที่มีอิทธิพลต่อความเที่ยงตรงภายในได้เกือบทั้งหมด
3.มีการสอบก่อนการทดลองทั้ง 2 กลุ่ม ทำให้ทราบสภาพพื้นฐานของทั้ง 2 กลุ่ม และยังทราบอีกว่าเมื่อได้รับการทดลองไปแล้วแต่ละกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากน้อยเพียงใด
1.มีการสุ่มทั้ง 2 ขั้นตอน ทำให้ยอมรับได้ว่าทั้ง 2 กลุ่มมีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน
ข้อบกพร่อง
ม่แน่ใจว่าสามารถควบคุมแหล่งที่มีอิทธิพลต่อความเที่ยงตรงภายนอกได้หมด โดยเฉพาะความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากปฏิกิริยาร่วมระหว่างองค์ประกอบต่างๆกับตัวแปรทดลอง
แบบที่ 9 แบบ 4 กลุ่มของโซโลมอน (Solomon four group design)
ข้อดี
2.มีกลุ่มควบคุมหลายกลุ่มทำให้การเปรียบเทียบมีความกว้างขึ้น และแน่ใจได้ว่าเป็นผลจากตัวแปรทดลองจริงๆ
3.ควบคุมอิทธิพลของปฏิกิริยาร่วมระหว่างการทดสอบก่อนการทดสอบกับตัวแปรทดลองได้
1.สามารถควบคุมแหล่งที่ทำให้ขาดความเที่ยงตรงภายในได้ทั้งหมด
ข้อบกพร่อง
1.ไม่แน่ใจว่าควบคุมแหล่งภายนอกที่มีผลต่อความเที่ยงตรงภายนอกได้ทั้งหมด
2.การทำให้กลุ่มตัวอย่างทั้ง 4 กลุ่ม มีลักษณะเท่าเทียมกันนั้นทำได้ยาก
แบบที่ 6 แบบมีกลุ่มควบคุมแบบสุ่มและมีการสอบหลังการทดลอง (randomized control group posttest only design)
ข้อดี
แบบที่ 7 แบบมีกลุ่มควบคุมแบบสุ่มและมีการสอบหลังการทดลอง (randomized control group posttest only design)
2.ควบคุมแหล่งที่มีผลต่อความเที่ยงตรงภายในได้มาก เพราะมีการสุ่มทำให้มีความเที่ยงตรงภายในสูง
ข้อเสีย
แบบการวิจัยแบบมีกลุ่มควบคุมแบบสุ่มและมีการสอบหลังการทดลอง มีข้อบกพร่อง คือ ไม่มีการสอบก่อนการทดลองทำให้ไม่ทราบพื้นฐานของทั้ง 2 กลุ่ม และไม่สามารถทราบได้ว่าหลังจากมีการทดลองแล้วผลที่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไร
การประเมินประสิทธิภาพของการวิจัย
แบบการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ หมายถึง แบบการวิจัยที่มุ่งสู่คำตอบต่อปัญหาอย่างแท้จริงและเป็นแบบที่อำนวยให้ผู้วิจัยสามารถควบคุม หรือขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนได้ อีกทั้งจะต้องมีความเที่ยงตรงภายในและภายนอกสูง
หลักสำคัญของการประเมินประสิทธิภาพของแบบการวิจัย
2.การพิจารณาว่าแบบการวิจัยนั้นสามารถควบคุม หรือขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนที่จะส่งผลมาถึงตัวแปรตาม
3.การพิจารณาว่าแบบการวิจัยนั้นมีความเที่ยงตรงภายในและความเที่ยงตรงภายนอกสูง
1.การพิจารณาว่าแบบการวิจัยนั้นมุ่งสู่คำตอบปัญหาการวิจัยอย่างแท้จริง
นายชลชลิต สุภานิช 62104010270
คณะพลศึกษา สาขาวิชาสุขศึกษา (กศ.บ.)