Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การตรวจสภาพจิต อาการวิทยา และเกณฑ์การจำแนกโรคทางจิตเวช - Coggle Diagram
การตรวจสภาพจิต อาการวิทยา และเกณฑ์การจำแนกโรคทางจิตเวช
หลักการสัมภาษณ์ประวัติทางจิตเวช
ความพร้อมผู้ป่วย
1.การให้ความร่วมมือของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะซึมเศร้า ไม่อยากพูดคุยกับใครพยาบาลควรรอให้ผู้ป่วยพร้อม
2.ภาวะสุขภาพ เช่น ผู้มีอาการหอบเหนื่อย มีอาการปวดศีรษะ
3.ประสบการณ์เดิม เช่น ผู้ป่วยเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในการรักษา อาจให้ข้อมูลบิดเบือนไปจากความเป็นจริง
4.ความสามรถในการทำความเข้าใจของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการได้ยิน การใช้ภาษาที่ต่างกัน
ความพร้อมพยาบาล
1.วิธีการประเมินและทัศนคติของพยาบาล พยาบาลควรสังเกตท่าทีและไวต่อความรู้สึกของผู้ป่วย ทำตนให้เป็นกลางไม่มีอคติต่อผู้ป่วยและไม่นำประสบการณ์ส่วนตัวมาตัดสินผู้ป่วย
2.บุคลิกภาพพยาบาลควรมีท่าที เปิดเผย จริงใจ สนใจ รับฟังผู้ป่วย ไม่แสดงความตกใจในสิ่งที่ผู้ป่วยเล่า ควรมีการรับรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆในมุมมองของผู้ป่วย
3.สภาพแวดล้อม ควรมีความเป็นสัดส่วน ปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและพยาบาล การประเมินไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จภายในครั้งเดียว อาจประเมินเพิ่มเติมภายหลังได้
อาการวิทยา (Symptomatology)
1.ความผิดปกติของพฤติกรรม การเคลื่อนไหว (motor activity)
Tic หมายถึง การกระตุกของกล้ามเนื้อต่างๆอย่างไม่เป็นจังหวะ เช่น หนังตากระตุก หัวไหล่กระตุก
Stereotypy เป็นพฤติกรรมหรือการกระทำซ้ำๆ สม่ำเสมอ และไม่มีความหมาย เช่น นั่งโยกตัวตลอดเวลา เดินกลับไปกลับมา
Mannerism เป็นส่วนหนึ่งของ Stereotypy แต่แสดงออกในรูปพฤติกรรม เช่น การเคลื่อนไหวที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของคนนั้น
Catalepsy ผู้ป่วยมีท่าทางแปลกๆ เป็นเวลานานผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยยกแขนไว้ จับลงมาผู้ป่วยก็จะยกเหมือนเดิม พบในผู้ป่วย catatonia
Waxy flexibility หมายถึง เมื่อเราจับผู้ป่วยให้อยู่ในท่าใด ผู้ป่วยจะอยู่ในท่านั้นนานผิดปกติ เหมือนเราปั้นหุ่นขี้ผึ้ง
Automatic obedience หมายถึง การทำตามโดยไม่ตั้งใจ เช่น เราหยิบปากกาออกกจากกระเป๋าผู้ป่วยก็จะท าตาม เรียก echopraxia หรือพูดตามคำพูดเรา เรียก echolalia
Catatonic stupor หมายถึง ผู้ป่วยอยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหวเลย รวมทั้งไม่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อม และไม่พูด
Negativism เป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับคำสั่ง เช่น ให้ยกมือแต่เอามือลง
Mutism หมายถึงผู้ป่วยไม่พูดเลยทั้งที่อวัยวะเกี่ยวกับการพูดปกติ
Selective mutism หมายถึงผู้ป่วยไม่พูดกับบางคน แต่ยังพูดกับบางคน
Compulsion หมายถึง การทำซ้ำๆ โดยไม่มีเหตุผลและผู้ป่วยก็รู้ว่าไร้สาระแต่ก็หยุดไม่ได้ และรู้สึกเครียดและกังวลกับการทำซ้ำๆนั้น เช่น การล้างมือบ่อยๆ วันละหลายสิบครั้ง
Agitation หมายถึง ความรู้สึกพลุ่งพล่าน กระวนกระวาย ผุดลุกผุดนั่ง
ตลอดเวลา
ความผิดปกติของความคิด (content of thought)
Delusion คือ ความคิดหลงผิด เป็นความเชื่อที่ผิดๆในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่เป็นความจริง ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของผู้ป่วยได้ ความคิดหลงผิดมีหลายอย่าง
Idea of being controlled ผู้ป่วยคิดว่าอำนาจบางอย่างจากภายนอกสามารถ ควบคุมความรู้สึกความคิด และการกระทำของตน
circumstantiality หมายถึง ผู้ป่วยตอบคำถามแบบอ้อมค้อมยืดยาวแต่จบลงตรงประเด็นที่ต้องการได้
tangentiality หมายถึง ผู้ป่วยคล้ายจะตอบคำถามแต่ตอบออกนอกเรื่องไม่ตรงกับเรื่องราวที่ต้องการจะพูด ทำให้ไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ป่วยพูด
ความผิดปกติของสภาพอารมณ์(affect)
anxietyเป็นความวิตกกังวลมากผิดปกติ ร่วมกับอาการทางกาย เช่น กระวนกระวาย เหนื่อยง่ายหงุดหงิดง่าย และปวดกล้ามเนื้อ
Panic เป็นความรู้สึกตระหนกและกลัว เกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงภายใน 10 นาที ร่วมกับอาการทางระบบประสาท อัตโนมัต เช่น ใจสั่น แน่นหน้าอก
Phobia คือ ความกลัวต่อ วัตถุ สิ่งของ หรือสถานการณ์ ที่รุนแรงเกินเหตุ และไม่สมเหตุสมผล เช่น กลัวแมว กลัวที่สูง
Elation หมายถึงความรู้สึกเป็นสุขที่มากกว่า Euphoria คือรู้สึกร่าเริงสนุกสนานตลอดเวลา
Inappropriate affect หมายถึง การแสดงอารมณ์ออกมา ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ เช่นพูดเรื่องการเสียชีวิตผู้ป่วยกลับหัวเราะ
ความผิดปกติของการรับรู้(perception)
Hallucination หมายถึง การอาการประสาทหลอนขึ้นมาเองโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น
auditory hallucination มีหูแว่วได้ยินเสียงจากภายนอก อาจเป็นเสียงรูปแบบต่างๆหรือเสียง
คนคุยกัน
visual hallucination มีภาพหลอนโดยอาจเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรืออย่างอื่น
olfactory hallucination ได้กลิ่นแปลกๆ เช่น กลิ่นเหม็นไหม้
gustatory hallucination รู้สึกว่าลิ้นได้รับรสแปลกๆ เช่น รสโลหะ
tactile hallucination มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ตามตัว หรือรู้สึกแปลกๆตามผิวหนัง
Illusion ผู้ป่วยแปลภาพที่เห็นหรือเสียงที่ได้ยินผิดไปจากความเป็นจริง เช่นเห็นเชือกบอกว่างู (visual illusion)
Depersonalization ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองแปลกหรือเปลี่ยนไปจากความเป็นจริง
Derealisation ผู้ป่วยรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป เช่น ขนาดของสิ่งของที่คุ้นเคยรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป
การตรวจสภาพจิต (Mental Status Examination)
ลักษณะทั่วไป (appearance)ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพ และสุขลักษณะทั่วไป สุขลักษณะทั่วไปช่น อ้วน ผอม การแต่งกาย การสบตา ท่าทาง การทรงตัวการเดิน การเคลื่อนไหวท่าทางจำเพาะเช่น การบิดมือ การแกะเล็บ
ทัศนคติต่อพยาบาล (attitude toward examiner) เป็นการประเมินความรู้สึกของผู้ป่ วยที่มีต่อพยาบาลซึ่งส่งผลต่อความถูกต้องของข้อมูล
พฤติกรรมที่แสดงออกและการเคลื่อนไหว (overt behavior and psycho motor activity) เช่นเลื่อนไหวเชื่องช้า หรือกระสับกระส่าย(restlessness)
ความรู้สึก (Affect)
ขอบเขตและระดับของการแสดงออกของความรู้สึก (range and intensity) เช่นไม่แสดงความรู้สึก (flat affect)
ความเหมาะสมของการแสดงความรู้สึก (appropriateness of affect to the situation) คือการแสดงความรู้สึกอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
ความมั่นคงในการแสดงความรู้สึก (stability) เช่น อารมณ์เปลี่ยนไปมาเร็ว (labile affect)
อารมณ์ (mood) หมายถึง สภาวะอารมณ์ส่วนใหญ่ที่ผู้ป่วยรู้สึกและเป็นอยู่ในระยะเวลายาวนาน (usually feel)
การรับรู้ (perception) เป็นการรับรู้และแปลความหมายของบุคคลผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5ซึ่งประเมินได้จากการสังเกต
การรู้คิด (Cognition) เป็นการประเมินการทำหน้าที่ของกระบวนการรู้คิดในด้านต่างๆ
การสื่อสาร (communication) การประเมินความสามารถในการสื่อสารของผู้ป่วยสามารถบ่งบอกถึงความคิดของผู้ป่วยได้ด้วย โดยการแสดงออกของความคิดจะออกมาในลักษณะของการพูด การเขียนและการแสดงพฤติกรรม