Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
preterm labor with Lt.C/S with TR due to overt DM นศพต.นันท์นภัส แย้มลังกา…
preterm labor with Lt.C/S with TR due to overt DM
นศพต.นันท์นภัส แย้มลังกา เลขที่ 36
พยาธิสภาพเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ ( diabctes mellitus in prcgnancy )
หญิงตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติของการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรดตเนื่องจากมีความไม่สมดุลระหว่างความต้องการและการสร้างหรือการใช้อินซูลินของร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ อาจเป็นโรคเรื้อรังก่อนตั้งครรภ์ หรือเป็นขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการทำลายอินสุลินโดยรกและฮอร์โมนจากอางมีอาการและอาการแสดงของโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะมีฤทธิ์ด้านอินซูลินทำให้การผาผลาญภายในร่างกายผิดปกติ ผู้ป่วยที่ไม่เคยเป็นเบาหวานผู้ป่วยที่เป็นโรคอยู่แล้วก็จะมี อาการของโรครุนแรงขึ้นทำให้เกิดอันตรายทั้งต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ได้
ผล
ผลของการตั้งครรภ์ต่อโรคเบาหวาน
ในสตรีปกติอาจตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะได้ เนื่องจากอัตราการกรองน้ำตาลผ่านไตมากขึ้น ในขณะที่การดูดซึมกลับลดลง ทำให้ร่างกายเสียน้ำตาลทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ดังนั้น การควบคุมน้ำตาล จะอาศัยการตรวจปริมาณน้ำตาลที่ออกทางปัสสาวะเป็นหลักไม่ได้
เกิดภาวะ Diabetic Ketoacidsis ได้ง่าย เนื่องจากร่างกายสร้าง Insuin ไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเครียด เช่น การติดเชื้อต่าง ๆ
โอกาสเกิดอาการข้างเคียง เช่น Retinopatby และ Nephopathy สูงขึ้น เนื่องจากโรครุนแรงขึ้น
ความต้องการ Insulin ไม่แน่นอน ความต้องการ Insuin จะเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง การควบคุมเบาหวานทำได้ยากขึ้นหลังคลอดระดับน้ำตาลจะกลับคืนสู่สภาวะปกติโดยรวดเร็วเจ็บครรภ์อาจเกิดภาวะ Hypoglycemia ได้
Keep DTX 80-200 mg%
Day 0 (4/3/65) เวลา 17.45 น. DTX = 70 mg%
Day 1 (15/3/65) เวลา 11.00 น. DTX = 225 mg%
เวลา 15.00 น. DTX = 208 mg%
ต่อมารดา
โอกาสแท้งบุตรเพิ่มขึ้น
PIH เพิ่มขึ้น 4 เท่า
เกิดการติดเชื้อได้ง่าย เพราะมีความด้านทานต่ำ
ครรภ์แฝดน้ำพบร่วมกับด็กตัวโตซึ่งจะทำให้มารดามีอาการทางระบบหัวใจและการหายใจ
คลอดยาก เนื่องจากเด็กตัวโต อาจทำให้มีบาดแผลจากการคลอดรุนแรง
อัตราการผ่าท้องคลอดเพิ่มสูงขึ้น อัตราเสี่ยงของมารดาเพิ่มขึ้นตาม
อัตราตายของมารดาจากโรคแทรกช้อนของเบาหวานเพิ่มขึ้น เช่น การตกเลือด
8.ภาวะติดเชื้อของกรวยไต
GA 34 wk + 3 day ทารกผ่าคลอดแรกเกิดหนัก 2470 กรัม
ต่อทารก
การตายของทารกในครรภ์สูงกว่าปกติ 38 เท่า จาก ketoacidosis Placental insufficiency, Hypoglycemia
การตายของทารกหลังคลอดมากกว่าปกติ 7 เท่า (ประมาณ 4-10%) จาก RDS,Hypoglycemia, Hypocalcemia, Jaundice, Sepsis, Polycythemia
ทารกพิการเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า (ประมาณ 5-10%) โดยเฉพาะความผิดปกติของหัวระบบท่อประสาท
ทารกคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
ทารกจะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น (ถ่ายทอดพันธุกรรม)
เด็กอาจมีความเจริญทางด้านจิดใจช้ากว่าเด็กธรรมดาในระยะยาว
หญิงตั้งครรภ์ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้จะทำให้ทารกมีขนาดตัวโต เป็นปัญหาในการคลอด ทารกเสี่ยงต่อความผิดปกติแต่กำเนิด แท้งตายคลอด ถ้ามารดามีความผิดปกติของการทำงานของไต
จะทำให้ทารกในครรภ์เติบโตช้า คลอดก่อนกำหนด
macrosomia เกิดจากการสะสมของน้ำตาลและ ไขมัน ทำให้คลอดยาก
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานมานาน และมีโรคแทรกซ้อนทางหลอดเลือด จะทำให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้าและตัวเล็ก(IUGR)
ทารกเสี่ยงมีภาวะหายใจลำบากของทารกตั้งแต่กำเนิด(Respiratory Distress Syndrome:RDS) เกิดจากการที่ปอดยังสร้างไม่สมบูรณ์ และขาดสาร Surfactant หรือ สารลดแรงตึงผิว อันมีผลทำให้ปอดแฟบ หายใจเข้าออกได้อย่างไม่เป็นปกติ
ทารกเสี่ยงภาวะน้ำตาลและแคลเซียม แมกนีเซียมในเลือดต่ำ
เลือดมีความหนืดเพิ่มมากขึ้น
ภาวะตัวเหลืองหลังคลอด
ทารกผ่าคลอดก่อนกำหนด GA 34wk+3day
ทารกมีอาการหายใจลำบาก (Respiratory distress : RD)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ :มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน เช่น บิดามารดาหรือญาติสายตรงของหญิงตั้งครรภ์เป็นเบาหวาน
มารดาของผู้ป่วยเป็นเบาหวาน
ผู้ป่วยมีประวัติเป็นเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ ประมาณ 4 ปี
การตรวจร่างกาย : รูปร่างอ้วน(BMI >25 kg/m2) ครรภ์ใหญ่กว่าปกติ หรือพบความผิดปกติอื่นๆ เช่น PIH
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 67 kg ส่วนสูง 150 cm. BMI 29.7 kg/m^2
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ (ใช้ Enzyme specific test) ถ้าตรวจพบให้ตรวจเพิ่ม
หา Ketone ในปัสสาวะ ถ้าพบทำ OGTT
หา Ketone ถ้ำไม่พบทำ FBS และถ้าพบสูงผิดปกติทำ OGTT ต่อไป
3.2 ตรวจระดับ FBS (Fasting blood sugar)
3.3 ตรวจ OGTT (oral glucose tolerance test)
มารดาเป็นprcgestational DMหรือovert DM มาประมาณ 4 ปี จึงไม่ได้คัดกรองอีกใน ANC
อาการและอาการแสดง
ปัสสาวะมาก (polyuria) พบถ่ายปัสสาวะมากทั้งกลางวัน กลางคืน เนื่องจากมีน้ำตาลในปัสสาวะ น้ำตาลจึงดึงน้ำออกจากร่างกายด้วยวิธีดูดซึมเพื่อขับปัสสาวะ(osmotic diuresis)
ดื่มน้ำมาก (polydipsia)เนื่องจากการถ่ายปัสสาวะมากทำให้กระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก
รับประทานอาหารจุ (polyphagia)
น้ำหนักลด (weight loss) จากร่างกายใช้ไขมัน และโปรตีนที่สะสมในร่างกายสร้างพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต ทำให้ผอมลง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คันตามตัว มีการติดเชื้อง่าย เช่น คันบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ก่อนการตั้งครรภ์มารดามีปัสสาวะ 7-8 ครั้งต่อวัน
การดูแลรักษาสตรีที่เป็น Pregestational DM
การดูแลทางด้านอายุรกรรม
เมื่อแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็น prcgestational DM หรือ GDMA2ให้ส่งปรึกษาอายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อ เพื่อให้ ดูแลรักมาผู้ป่วยร่วมกัน และเป็นผู้ปรับขนาดยา insulin เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
การดูแลด้านโภชนาการ
ส่งปรึกษาทีมนักโภชนาการ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร ตัวอย่างอาหารที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ
การคำนวณแคลอรี่ ที่เหมาะสมในผู้ป่วยเบาหวาน (แนวทางปฏิบัติการส่งผู้ป่วยพบหักโภชนากร)
การดูแลทางด้านสูติกรรม
เมื่อแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็น prcgestational DM การซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียด รวมทั้งส่งสืบค้นเพิ่มเดิมเพื่อดู target organ involvement ได้แก่ ตรวจการทำงานของไต ( UA, BUN, Cr) EKG ส่งปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจจอประสาทตา
มารดาได้รับวินิจฉัยเป็น prcgestational DM/Overt DM
มารดามีการตวบคุมการรับประทานอาหารตามคำแนะนำของแพทย์
การดูแลหลังคลอด (Postpartum period)
ผู้ป่วย GDMA2 ให้งดอินซูลินได้ตลอดไปเพราะส่วนใหญ่ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงสู่ระดับปกติหลังคลอด
ผู้ป่วย pregestational DM ให้งดอินซูลินชั่วคราว เนื่องจากความต้องการอินซูลินของร่างกายลดลงมาก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4-6 ชั่วโมง พิจารณาปรึกษาอายุรกรรมเพื่อวางแผนการให้ insulin เพื่อควบคุมระดับน้ำตาล
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ตามปกติ กรณีกลับมาใช้ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลไม่แนะนำให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาเนื่องจากยาสามารถผ่านทางน้ำนมได้
การคุมกำเนิด ผู้ป่วยที่มีบุตรเพียงพอแล้ว ควรแนะนำทำหมัน การคุมกำเนิดชั่วคราวสำหรับสตรี ที่เป็นเบาหวาน
มารดาเป็น pregestational DM มีการงดอินซูลิน
ชั่วคราว เนื่องจากความต้องการอินซูลินของร่างกายลดลงมาก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4-6 ชั่วโมง มีการส่งปรึกษาอายุกรรมเพื่อปรับยาให้เหมาะสมกับมารดา ได้รับอินซูลินในระยะหลังคลอด
DTX ทุก 4 hr. keep 80-200 mg/dL
On RI scale
DTX 201-250 RI 4 unit SC
251-300 RI 6 unit SC
< 80 , > 300 pls notify
มารดารักษาด้วยการฉีดอินซูลิน สามารถให้นมบุตรได้
-มารดาได้มีการทำหมันหลังผ่าตัดคลอด (TR ; Tubal recection)
โรคเบาหวานในมารดาส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนด
เนื่องจากโรคเบาหวานส่งผลให้ร่างกายของมารดาต้องปรับตัวเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาวะปกติ เมื่อเกิดความผิดปกติในระบบต่างๆของร่างกายจะทำให้ร่างกายของมารดาปรับตัวทุกช่องทางเพื่อให้มารดาอยู่รอดจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของโรคร่วมกับการตั้งครรภ์
ทารกเกิดก่อนกำหนด
(Premature Infant)
ทารกที่เกิดมามีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์เต็ม
ทารกคลอดเมื่ออายุ 34 สัปดาห์ 3 วัน
ทารกวินิฉัยเป็น premature with LBW with RD
สาเหตุ
โรคของมารดา เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต โรคติดเชื้อต่างๆ
เศรษฐฐานะต่ำ ทำให้มารดาได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้
อายุของมารดา มารดาที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี หรือมารดาที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี
ลำดับของการตั้งครรภ์ มารดาที่ตั้งครรภ์ครั้งแรกจะมีการคลอดบุตรก่อนกำหนดได้และอุบัติการณ์
จะลดลงในมารดาที่ตั้งครรภ์ครั้งที่สอง แต่อุบัติการณ์จะเพิ่มขึ้นในมารดาที่ตั้งครรภ์ครั้งที่สี่
การสูบบุหรี่ หรือบุคคลใกล้ชิดสูบบุหรี่
พฤติกรรมและกิจวัตรประจำวัน เช่นการยกของหนัก การนั่งรถเป็นเวลานาน
สภาวะและสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย เช่น อยู่ใกล้กับโรงงานสารเคมีต่างๆ เป็นต้น
มารดาเป็นโรคเบาหวาน
มารดาตั้งครรภ์เป็นครรภ์ที่สาม
มารดานั่งรถยนต์ส่วนตัวกลับต่างจังหวัดสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละประมาณ 3 ชั่วโมง
มารดานั่งรถจักรยานยนต์ไปตลาด 3-4ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้เวลาครั้งละ 30 นาที
มีโรงงานบริเวณที่อยู่อาศัย
ผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายของเด็ก
น้ำหนักจะขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ โดยทั่วไปทารกเกิดก่อนกำหนดจะมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 2,500 กรัม
ปัญหาการติดเชื้อ เพราะระบบภูมิคุ้มกันอาจจะยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ อีกทั้งผิวหนังจะบางมากทำให้เชื้อโรคแทรกตัวเข้าในผิวหนังได้ง่าย จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
ทรวงอกอ่อนนิ่ม เนื้อเยื่อปอดเจริญไม่สมบูรณ์ และศูนย์ควบคุมการหายใจยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์
มีผลทำให้ทารกเกิดก่อนกำหนด มีการหายใจเป็นระยะๆ (peridic breathing) ได้บ่อย และการระบายอากาศ (ventilation) ในปอดมีน้อย
ปัญหาระบบลำไส้ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ เมื่อออกซิเจนไปเลี้ยงไม่พอลำไส้ก็ขาดเลือด และมีโอกาสเกิดลำไส้อักเสบ หรือลำไส้เน่าตามมา
ปัญหาระบบหัวใจ และหลอดเลือด มีโอกาสตรวจพบเส้นเลือดหัวใจเกินได้มากกว่าทารกที่คลอดครบตามกำหนด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวายตามมาได้
ปัญหาการมองเห็นในทารกคลอดก่อนกำหนด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะจอประสาทตาผิดปกติสูงกว่าทารกที่คลอดครบตามกำหนด จากการเจริญเติบโตที่ไม่สมบูรณ์ของจอประสาทตา จึงควรตรวจจอประสาทตากับจักษุแพทย์เป็นระยะหลังคลอด
พัฒนาการล่าช้า
ทารกแรกเกิดหนัก 2470 กรัม
ทารกมีภาวะ RDS หลังคลอด
ทารกมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ DTX = 36 mg%
ทารกได้รับยาปฏิชีวนะAmpicillin 250 mg q 12 hr. และ Gentamicin 11 mg q 36 hr. เพื่อป้องกันการติดเชื้อในทารก
การจำแนกตาม National Diabetic Data Group มีดังนี้คือ
Type I : เกิดจากการสร้างอินซูลินได้น้อยลงจากการมีการทำลาย pancreatic beta cell ต้องการอินซูลินป้องกัน ketosis ระดับ อินซูลินต่ำ มีความสัมพันธ์กับ HLA-D histocompatibilityซึ่งอยู่บนโครโมโซมคู่ที่ 6 ถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปยังบุตร
Type II : สร้างอินซูลินได้ แต่ทำงานได้ไม่เต็มที่ketosis ถึงแม้ว่าอาจใช้อินซูลินแก้ไข hyperglycemia มีผู้ป่วยจำนวนมากอ้วนและดื้อต่ออินซูลิน อัตราการถ่ายทอดทางพันธุกรรมสูง โอกาสที่ทารกทั้งคู่ของแฝดใบเดียวกันเป็นโรคมีได้ถึงร้อยละ 100 ไม่มีความสัมพันธ์กับ HLA
มารดาเป็นเบาหวาน type 1
การแบ่งตาม ACOG ดัดแปลงจาก white classification
เป็นเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ (Pregestational diabetes) : Overt DM
คือ หญิงตั้งครรภ์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ หรือ ขณะตั้งครรภ์แต่อายุครรภ์ไม่ถึง 20 สัปดาห์
เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์(GDM)
คือการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หลัง 20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์และกลับเป็นปกติเมื่อคลอดบุตรหรือไม่เกิน 12 สัปดาห์หลังคลอดบุตร
มารดาเป็นovert DM
D-MATHOD
D : Diagnosis
การวินิจฉัยโรคของแพทย์ เป็น Preterm labor with Lt.C/S due to overt DM (การคลอดก่อนกำหนดด้วยการผ่าตัดคลอดแนวตั้ง เนื่องจากเป็นเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์)
อาการและอาการแสดง
ปัสสาวะมาก (polyuria) พบถ่ายปัสสาวะมากทั้งกลางวัน กลางคืน เนื่องจากมีน้ำตาลในปัสสาวะ น้ำตาลจึงดึงน้ำออกจากร่างกายด้วยวิธีดูดซึมเพื่อขับปัสสาวะ(osmotic diuresis)
ดื่มน้ำมาก (polydipsia)เนื่องจากการถ่ายปัสสาวะมากทำให้กระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก
รับประทานอาหารจุ (polyphagia)
น้ำหนักลด (weight loss) จากร่างกายใช้ไขมัน และโปรตีนที่สะสมในร่างกายสร้างพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต ทำให้ผอมลง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คันตามตัว มีการติดเชื้อง่าย เช่น คันบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีความผิดปกติของระบบเมตาโบลิซึมของคาร์ โบไฮเดรตทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง เพราะไม่สมดุลระหว่างความต้องการและการสร้าง หรือการใช้อินซูลินแต่ในผู้ป่วยเบาหวานการหลั่งอินสุลินไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในกระแสเลือด แต่เกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่น เช่น ผลิตได้ช้า ผลิตไม่เพียงพอ หรือผลิตได้มากแต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้ เกิดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานทารกในครรภ์ จะใช้กลูโคสมากอย่างต่อเนื่องทำให้มารคาเกิดภาวะ Hypoglycmia ระหว่างมื้ออาหารหรือตอนกลางคืน จึงมีการใช้พลังงานจากการสลายของไขมัน ทำให้เกิดkctoacidosis พบในช่วงไตรมาสที่สองและสามของการตั้งครรภ์ รวมทั้งอาจมีน้ำคร่ำมากกว่าปกติ(polyhydramnios) เนื่องจากทารกมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงและขับปัสสาวะออกมามาก หญิงตั้งครรภ์ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้จะทำให้ทารกมีขนาดตัวโต เป็นปัญหาในการคลอด ทารกเสี่ยงต่อความผิดปกติแต่กำเนิด แท้งตายคลอด ถ้ามารดามีความผิดปกติของการทำงานของไต จะทำให้ทารกในครรภ์เติบโตช้า คลอดก่อนกำหนด
M : Medication
1.Paracetamol (500)
วิธีใช้ : รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง
สรรพคุณยา : ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดและช่วยลดไข้
ผลข้างเคียงของยา : อุจจาระเป็นเลือด ไข้ หนาวสั่น ผื่นคัน มีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามผิวหนัง
2.Nataral
วิธีใช้ :รับประทานหลังอาหารครั้งละ 1 เม็ด
สรรพคุณยา : ยาบำรุงร่างกาย ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับสตรีมีครรภ์ และหลังคลอด ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง การขาดแคลเซียม และแร่ธาตุอื่น ๆผลข้างเคียงของยา : ผื่นแดง ปวดท้อง อาเจียน หายใจไม่สะดวก
3.Ferrous sulfate (200)
วิธีใช้ : รับประทานหลังอาหาร 1 เม็ด เช้า เย็น
สรรพคุณยา : เสริมธาตุเหล็ก เพื่อรักษาหรือป้องกันระดับธาตุเหล็กในเลือดต่ำ
ผลข้างเคียงของยา : ท้องผูก คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย หรืออาเจียน
4.Ibuprofen (400)
วิธีใช้ : รับประทานหลังอาหาร 1 เม็ด เช้า กลางวัน เย็น
สรรพคุณยา : เพื่อรักษาอาการปวด ลดไข้ และแก้อักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ
ผลข้างเคียงของยา : ปวดท้อง แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเสีย คันตามผิวหนัง คลื่นไส้ อาเจียน
E : Environment
มารดาอยู่หมู่บ้านเอื้ออาทรชั้น 1 ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการติดเชื้อของมารดา หลีกเลี่ยงการอยู่ในชุมชนแออัด และใกล้ชิดกับบุคคลที่เป็นโรคติดต่อ
T : Treatment
การทำความสะอาดแผล แนะนำให้ไปล้างแผลทุกวันที่อนามัยหรือคลินิกใกล้บ้าน
แนะนำการควบคุมระดับน้ำตาล และติดตามระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งควรอยู่ระหว่าง 80 – 180 mgm% ถ้าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ทำให้ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ตา ไต เท้าและหัวใจ
เน้นย้ำการฉีดยาให้ตรงเวลาได้แก่ Novamix 16-0-12 u sc ac และสังเกตอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว มึนงง สับสน หน้ามืด ตาลาย หิวมาก และหงุดหงิดง่าย หากมีอาการรุนแรงอาจช็อคหรือหมดสติ และอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ปัสสาวะบ่อยผิดปกติโดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตาพร่ามัว ซึม อาจถึงขั้นหมดสติหรือชักกระตุกเฉพาะที่
H : Health
ด้านการรับประทานอาหาร
ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่โดยเฉพาะโปรตีนช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย และครบ 3 มื้อ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสหวาน เนื่องจากจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
ด้านความสะอาด
ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยระวังไม่ให้แผลผ่าตัดเปียกน้ำ ไม่แช่น้ำ ในการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ ให้ล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 4 ชั่วโมงหรือเมื่อชุ่ม ล้างมือหลังจากการขับถ่ายทุกครั้ง
ล้างแผลทำความสะอาดวันละ 1 ครั้งที่อนามัยหรือคลินิกใกล้บ้าน หรือหากแผลเปียกน้ำควรทำแผลใหม่ทันที
ด้านการพักผ่อน
พักผ่อนให้เพียงพอวันละ 8-10 ชั่วโมง นอนกลางวันอย่างน้อยวันละ 30-60 นาที
ด้านการออกกำลังกาย
งดเว้นการออกกำลังกายหนักๆ แบบหักโหม หรือยกของหนัก แนะนำออกกำลังอย่างสม่ำเสมอโดยการเดิน เพื่อช่วยระบบไหลเวียนเลือดและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น
ด้านการดูแลเต้านม
หากมีอาการคัดตึงเต้านม ให้ประคบอุ่นโดยใช้เวลา 5-10 นาที จะช่วยให้น้ำนมไหลดีขึ้น จากนั้นแนะนำให้มารดาปั๊มนมหรือบีบนมออกให้เกลี้ยงเต้าทั้งสองข้าง หลังจากปั๊มนมแล้วสามารถประคบเย็นได้เพื่อบรรเทาอาการปวด
กระตุ้นการผลิตน้ำนมโดยการนวดเต้านม ก่อนการนวดเต้านมทุกครั้งควรล้างมือให้สะอาด
แนะนำเนื่องการปั๊มหรือบีบน้ำนมสำหรับทารก โดยสามารถปั๊มน้ำนมเก็บไว้เพื่อนำมาให้บุตรที่โรงพยาบาลโดยก่อนปั๊มหรือบีบน้ำนมควรล้างมือให้สะอาด ใช้เวลาในการปั๊มครั้งละ 15-30 นาที จนน้ำนมเกลี้ยงเต้า หรือเต้านมนุ่ม โดยควรปั๊มน้ำนมทุก 3-4 ชั่วโมงเพื่อเป็นการกระตุ้นการผลิตน้ำนมและลดอกาการคัดตึงของเต้านม
การเก็บรักษาน้ำนม ควรเก็บน้ำนมไว้ในภาชนะปราศจากเชื้อ เช่นขวดนมหรือถุงสำหรับเก็บน้ำนม
ด้านเพศสัมพันธ์
ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์จนกว่ามดลูกจะเข้าอู่และแผลผ่าตัดหายสนิท
ด้านจิตใจ
สนับสุนด้านจิตใจของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้กลับบ้านพร้อมกับลูก อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงแผนการรักษาของทารก รายงานความคืบหน้าของการรักษา ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมโดยให้คำแนะนำการปั๊มนมหรือบีบน้ำนมมาส่งให้ทารกที่โรงพยาบาลได้
O : Out patient
อธิบายผู้ป่วยเข้าใจและเห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด ดังนี้
วันที่ 24 มีนาคม 2565 แพทย์นัดให้มาดูแผลผ่าตัดและตัดไหม ที่ OPD GYN (แผนกผู้ป่วยนอก นรีเวชวิทยา)
วันที่ 14 เมษายน 2565 นัดมาเจาะแลป (FBS,HbA1C)+ให้จด DTX จากบ้านมาด้วย
วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่ PP clinic
ความสำคัญของการมาตรวจตามนัด คือ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลง ของร่างกายและแผลผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การติดเชื้อแผลผ่าตัด และเพื่อได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์สำหรับมารดาและบุตร
อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนนัด
มีไข้ หนาวสั่น ปวดหน่วง
บริเวณแผลผ่าตัดปวด บวม แดง มีเลือดหรือหนองไหลออกจากแผล
น้ำคาวปลามีสีแดงสด ไม่จางลงภายใน 2 สัปดาห์หลังคลอด หรือน้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น
มีอาการปวด บวม แดง และมีก้อนที่บริเวณเต้านม
D : Diet
รับประทานอาหารครบทั้ง 3 มื้อไม่ควรงดอาหารเพราะการงดอาหารบางมื้อทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำและมื้อที่รับประทานต่อไปจะรับประทานอาหารมากเพราะหิวทำให้เกิดภาวะน้ำตาลสูง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ขนมหวานทุกชนิด ผลไม้กวน อาหารเชื่อมแช่อิ่ม น้ำตาล น้ำหวาน น้ำผึ้ง น้ำอัดลม นมหวาน เครื่องดื่มที่มี Alcohol ทุกชนิด เบียร์ ยาดองเหล้า เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
อาหารที่รับประทานได้แต่ต้องจำกัดปริมาณ ส้ม มะละกอสุก สับปะรด แตงโม เงาะ ชมพู่ มังคุด มะม่วง ฝรั่ง ข้าวและอาหารแป้งอื่นๆ ขนมปัง ขนมจีบ เผือก มัน มันฝรั่ง
อาหารที่ควรรับประทาน ผักทุกชนิด แกงจืด ต้มยำ แกงป่า แกงเลียง แกงส้ม ควรดื่มน้ำเปล่า
การรับประทานอาหารควรรับประทานแค่พออิ่มและควรรับประทานผักมากๆ เพราะอาหารที่มีกากใยทำให้การดูดซึมน้ำตาลในกระเพราะอาหารช้าลงและช่วยในการขับถ่ายถ้าผู้ป่วยฉีดยาอินสุลิน ตอนเย็น อาจรับประทานผลไม้หรือขนมที่ไม่หวานก่อนนอนได้เล็กน้อย เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำในตอนเช้า
อาหารเพิ่มน้ำนม ได้แก่ น้ำขิง หัวปลี ตำลึง แกงเลียง เป็นต้น
การประเมินมารดาหลังคลอด 13 B
1.Background
ข้อมูลส่วนส่วนตัว
มารดาหลังคลอด เตียง 20 มภร.15/2 อายุ 32 ปี ศาสนาพุทธ ระดับการศึกษา ม.3 อาชีพไม่ได้ประกอบอาชีพ อาศัยอยู่ มานังก์เคหะ 5 ชั้น ไม่มีลิฟต์ อยู่ชั้น 1 ไม่มีปัญหาด้านเศษฐกิจ
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 67 kg ส่วนสูง 150 cm. BMI 29.7 kg/m^2
การวินิจฉัย
preterm lobor c Lt.C/S c TR due to Overt DM
รับไว้ในโรงพยาบาล
7 มีนาคม 2565
วันที่รับไว้ในการดูแล
14 มีนาคม 2565
วันที่สิ้นสุดการดูแล
17 มีนาคม 2565
อาการสำคัญ
เจ็บครรภ์ 29 hr PTA (9.00น. 6/3/65)
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
G3P2002 GA 33+3 wk by date ฝากครรภ์ รพ.ตร. วันนี้มาตรวจครรภ์ตามนัด และเริ่มมีเจ็บครรภ์ 9.00น. ทำ NST Routine มี contraction ทุก 3-5 นาที ส่ง Admit LR
2.Body condition
Day 3 17/3/65 ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี สามารถพูดคุยสื่อสารได้ปกติ ใบหน้าไม่บวม เยื่อบุตาสีชมพู ไม่มีภาวะซีด ไม่มีตาเหลือง มองเห็นปกติ คลำต่อมไทรอยด์ไม่โต ทรวงอกสองข้างสมมาตร หายใจ room air ไม่มีอาการหอบเหนื่อย เต้านมทั้งสองข้างสมมาตร คลำไม่พบก้อน มีอาการคัดตึงมากขึ้นและรู้สึกเจ็บเมื่อถูกสัมผัส ลานนมและหัวนมปกติ น้ำนมไหล 2+ หน้าท้องมีแผล low transverse caesarean section with tubal resection ไหมติดแนวตั้ง ปิดแผลด้วยTacgaderm ไม่มีอาการบวมแดง ไม่มีเลือดซึม ไม่มี discharge ขอบแผลปิดสนิท ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่มีผื่นคัน ไม่มีจ้ำเลือด ไม่มีบวมกดบุ๋ม แขนขาสามารถขยับได้ปกติ off injection plugs หลังมือด้านขวา ฟังเสียง Bowel sound 10-12 ครั้งต่อนาที ขับถ่ายปัสสาวะ 2 ครั้ง ลักษณะสีเหลืองใส ไม่มีอาการแสบขัด ไม่มีการขับถ่ายอุจจาระ มีการเรอและมีการผายลม ตรวจวัดสัญญาณชีพ อุณหภูมิ 36.9 c ,PR 106 ครั้งต่อนาที, RR 18 ครั้งต่อนาที, BP 126/76 mmHg,O2 sat 99% pain score 3
3.Body temperature & Blood pressure
Day 0 (14/3/65)
14.00 น.T=37 , PR = 90 ,RR = 18 ,BP = 147/74 ,PS = 0
Day 1 (15/3/65) 10.00น. T=37.2 , PR =84 ,RR =18 ,BP =142/44 ,PS = 1
Day 2 (16/3/65) 10.00น.T=36.7 , PR =106 ,RR =18 ,BP =126/68 ,PS = 5
Day 3 (17/3/65) 10.00น.T=36.9 , PR =106 ,RR =18 ,BP =126/76 ,PS = 3
4.Breast & Lactation
Day 0 หัวนมมีลักษณะสั้นแบน น้ำนมยังไ่ม่ไหล ไม่มีอาการคัดตึงเต้านม
Day 1 หัวนมมีลักษณะสั้นแบน น้ำนมไหล1+ (1-2 หยด) มีอาการคัดตึงเต้านมเล็กน้อย คลำไม่พบก้อน
Day 2 หัวนมมีลักษณะสั้นแบน น้ำนมไหล1+ (1-2 หยด) มีอาการคัดตึงเต้านมเล็กน้อย คลำไม่พบก้อน
Day 3 หัวนมมีลักษณะสั้นแบน น้ำนมไหล 2+ (2-3 หยด) มีอาการคัดตึงเต้านมมากขึ้น Pain score = 3 คลำไม่พบก้อน
5.Belly & Fundus
Day 0 บริเวณแผลผ่าตัดที่หน้าท้องปิดด้วยก็อซ ไม่มีเลือดซึมเล็กน้อย ได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษา ไม่มีอาการปวด Pain score = 0
Day 1 บริเวณแผลผ่าตัดที่หน้าท้องปิดด้วยก็อซ มีเลือดซึมเล็กน้อย Pain score บริเวณแผลผ่าตัด = 5 หลังได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษาอาการปวดลดลง Pain score = 0
Day 2 บริเวณแผลผ่าตัดที่หน้าท้องปิดด้วยก็อซ แผลแห้งดี มีเลือดซึมเล็กน้อย Pain score บริเวณแผลผ่าตัด = 4 หลังได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษาอาการปวดลดลง Pain score = 0
Day 3 บริเวณแผลผ่าตัดที่หน้าท้องปิดด้วย Tegaderm แผลแห้งดี ไม่มี Discharge ซึม อาการปวดบริเวณแผลผ่าตัดที่หน้าท้องน้อยลงหลังได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
6.Bladder
Day 0 retained foley’s catheter
Day 1 ปัสสาวะได้เอง สีเหลืองใส ไม่มีตะกอน ไม่มีอาการแสบขัด
Day 2 ปัสสาวะได้เอง สีเหลืองใส ไม่มีตะกอน ไม่มีอาการแสบขัด
Day 3 ปัสสาวะได้เอง สีเหลืองใส ไม่มีตะกอน ไม่มีอาการแสบขัด
7.Bleeding & Lochia
Day 0 น้ำคาวปลาสีแดง ประมาณ 30 ml.
Day 1 น้ำคาวปลาสีแดง ประมาณ 70 ml.
Day 2 น้ำคาวปลาสีแดงจาง ไม่มีกลิ่นเหม็น ประมาณ 60 ml.
Day 3 น้ำคาวปลาสีแดงจาง ไม่มีกลิ่นเหม็น ประมาณ 20 ml.
8.Bottom
อวัยวะสืบพันธุ์ปกติ ไม่มีบวมแดง
บริเวณทวารหนัก ไม่มีริดสีดวง
1 more item...
ประวัติการตั้งครรภ์
G127/1/51 ,full term ,C/S due to CPD ,female , 3700 kg. ,no compilation. คลอดที่รพ.อุดร
G2 10/4/55 ,full term , breech presentation C/S ,male , 3100 kg. ,no compilation.คลอดที่รพ.ตร.
Hx.. 16/7/64 x3, Total ANC 5 ครั้ง ,ฝากครรภ์ครั้งแรก 15+3 wk., U/S ครั้งแรก 13/12/64 GA 27+3 wk.
ประวัติการเจ็บป่วย
โรคประจำตัว : Overt DM on insulin ประมาณ 4 ปีที่แล้วไปตรวจที่รพ.สมุทรปราการด้วยอาการไข้สูง
ประวัติการผ่าตัด : ปี 51 ก่อนตั้งครรภ์ ผ่าตัดcytsที่มดลูก
ปฏิเสธการแพ้ยา แพ้อาหาร
ปฏิเสธการใช้สารเสพติดและแอลกอฮอล์
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว : บิดาเป็นความดันโลหิตสูง มารดาเป็นเบาหวาน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มารดา
Day 1
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 1 มารดาเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดและแผลในโพรงมดลูก
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาได้รับการผ่าตัดคลอด Low transverse cesarean section with Tubal Resection
มีแผลแนวตั้งบริเวณหน้าท้อง
มารดาเป็นเบาหวาน
วัตถุประสงค์ : ป้องกันการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัดและแผลในโพรงมดลูก
เกณฑ์การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติอุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.4 องศาเซลเซียส อัตราการเต้นของชีพจร 60-90ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ 18-24 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 90/60-130/90 มิลลิเมตรปรอท
แผลผ่าตัดไม่มี Discharge ซึม ไม่เปียกน้ำหรือน้ำคาวปลา
น้ำคาวปลาไหลสะดวกไม่มีกลิ่นเหม็น มีการเปลี่ยนแปลงปกติ
กิจกรรมการพยาบาล
ตรวจและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงเพื่อประเมินภาวะติดเชื้อ
ประเมินลักษณะแผลแผลผ่าตัดและน้ำคาวปลา ถ้าพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น แผลผ่าตัดมี Discharge ซึม น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น ควรรายงานแพทย์
ประเมินอาการของการติดเชื้อ ได้แก่ มีไข้หนาวสั่น กระสับกระส่าย หายใจเร็ว
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ แนะนำให้เปลี่ยนผ้าอนามั้ยทุก 3-4 ชั่วโมงหรือเมื่อเปียกชุ่ม
แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อส่งเสริมการหายของผลให้เร็วขึ้น
แนะนำการดูแลแผลผ่าตัดไม่ให้เปียกชื้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
Cefazolin 2 gm. IV q 8 hr x 3 dose (ครบ15/03/65;10.00น.) และติดตามผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่ ลมพิษ ผื่น คัน บวม แดง
การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติT=37.1 , PR =94 ,RR =18 ,BP =129/73 ,PS = 0
บริเวณแผลผ่าตัดไม่มี Discharge ซึม
น้ำคาวปลาไม่มีกลิ่นเหม็น สีแดงปกติ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 2 มารดาหลังคลอดไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด
ข้อมูลสนับสนุน
Pain score = 5 (15/03/65)
ผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย
ขณะลุกผู้ป่วยมีสีหน้าเจ็บปวด
วัตถุประสงค์ : เพื่อบรรเทาอาการปวดให้มารดาสุขสบายขึ้นและปวดแผลลดลง
เกณฑ์การประเมิน
1.มารดาปวดแผลลดลง Pain score < 3
2.มารดาไม่มีอาการกระสับกระส่าย
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินความเจ็บปวดของอาการปวดแผลผ่าตัดด้วยการสอบถาม สังเกตจากสีหน้า ท่าทาง และใช้การประเมินจากตัวเลขบอกระดับความปวด (Pain score) เพื่อเป็นข้อมูลในการช่วยเหลือ
และเลือกวิธีบรรเทาอาการปวด
แนะนำให้นอนในท่าที่สบายเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด และเมื่อมารดารู้สึกตัวดี จัดให้ นอนท่าศีรษะสูง ชันเข่า เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัว ลดการดึงรั้งของแผล ช่วยให้อาการปวดทุเลาลงลง
แนะนำให้ใช้มือ หรือหมอนประคองผลผ่าตัดขณะไอ หรือมีการเคลื่อนไหว และแนะนำให้เคลื่อนไหวช้า ๆ ใช้มือประคองผลขณะลุกนั่งหรือเดิน เพื่อลดการกระทบกระเทือนแผลผ่าตัด
สอนเทคนิคการบรรเทาความปวด โดยการหายใจ ให้หายใจเข้าทางจมูกลึกๆ และผ่อนลมหายใจออก ทางปากเพราะการหายใจสามารถควบคุมความเจ็บปวดได้ โดยเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจมาที่การควบคุมหายใจ เข้า ออก
ให้การพยาบาลแก่มารดา ด้วยความนุ่มนวล ช่วยให้อาการปวดแผลลดลง ได้
ดูและให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา คือ Paracetamol 500 mg 1 Tab po prn q 6 hr. เพื่อบรรเทาอาการปวดหรือลดไข้
7.ติดตามอาการปวดหลังได้รับการพยาบาล
การประเมินผล
Pain score = 0
ไม่มีอาการกระสับกระส่าย
ขณะลุกผู้ป่วยไม่มีสีหน้าเจ็บปวด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 3 มารดาหลังคลอดเกิดอาการท้องอืดจากยาระงับความรู้สึก
ข้อสนับสนุน
ผู้ป่วยผ่าตัดคลอด
ไม่ได้ขยับตัวเป็นเวลานาน
ผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกแบบ spinal block
วัตถุประสงค์ : เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดอาการท้องอืดหลังจากผ่าตัด
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยไม่มีอาการหน้าท้องแข็ง แน่นท้อง และมีอาการเรอ หรือผายลม
ได้ยินเสียง bowel sounds ประมาณ 5-30 ครั้ง/นาที
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการทำงานของลำไส้โดยการฟัง bowel sound ทั้ง 4 quadrants หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง
ประเมินอาการท้องอืดหลังผ่าตัด ตรวจร่างกายผู้ป่วยโดยการสังเกต เช่น อาการหน้าท้องแข็ง แน่นท้อง พร้อมทั้งสอบถามอาการเรอ และอาการผายลมภายหลังผ่าตัด
กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็วหลังการผ่าตัด(Early ambulation)พลิกตะแคงตัวทุก 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นเริ่มลุกเดินรอบๆเตียง จนสามารถเดินได้ในระยะใกล้ๆ เพื่อช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา คือ
Air-X 1x3 po pc เพื่อบรรเทาอาการท้องอืด และติดตามผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ผื่น อาการบวมตามใบหน้า เวียนศรีษะ เป็นต้น
Motilium (10) 2x3 po pc เพื่อบรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง โดยช่วยเพิ่มการหดรัดตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ และติดตามผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น บวมตามร่างกาย ผื่น คัน มีปัญหาการหายใจ เป็นต้น
ให้เริ่มรับประทานอาหารและดื่มน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์ (step diet) โดยเริ่มจากจิบน้ำในตอนเช้า อาหารเหลว(Liquid diet) ในตอนเที่ยง อาหารอ่อน(soft diet) ในตอนเย็น และเริ่มให้อาหารธรรมดา (Regular diet)ในขั้นถัดไป
การประเมินผล
มารดามีอาการท้องอืดน้อยลง มีการเรอและผายลม
ได้ยินเสียง bowel sounds 10-12 ครั้ง/นาที
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 4 มารดาเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Deep vein thrombosis
ข้อสนับสนุน
1.มารดาเป็นเบาหวาน
2.มารดาผ่าตัดคลอด (Day1)
3.BMI = 29.7
วัตถุประสงค์ : เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะ Deep vein thrombosis
เกณฑ์การประเมิน
1.มารดาไม่มีอาการและอาการแสดงของ deep vein thrombosis ได้แก่ อาการบวมที่เท้า เนื่องจากการไหลกลับของเลือดไม่ดี บางรายอาจเห็นเส้นเลือดโปงพอง ปวดกล้ามเนื้อหรือเป็นตะคริว บริเวณน่องจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อน และกดเจ็บ
ไม่มีอาการเจ็บบริเวณน่อง เมื่อทดสอบด้วย Homans sign
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการและอาการแสดงของ deep vein thrombosis ได้แก่ ขาบวม ปวด แดง ร้อน กดเจ็บ
กระตุ้นให้มารดามีเคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็ว (early ambulation) ไม่ควรอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานานๆ
กรณีมารดามีอาการหน้ามืด ไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยการลุกเดินได้ สามารถให้มารดาบริหารเท้าและข้อเท้า (Foot & Ankle) โดยการกระดกปลายเท้าขึ้น-ลง ยืดเหยียดเข่า-สะโพกเต็มที่ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
นั่งในท่าที่เหมาะสม ไม่นั่งไขว่ห้าง
ส่งเสริมให้มารดาดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อลดความหนืดของเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น
การประเมินผล
มารดาไม่มีอาการและอาการแสดงของ deep vein thrombosis
ไม่มีอาการเจ็บบริเวณน่อง เมื่อทดสอบด้วย Homans sign
Day 2
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 1 มารดามีภาวะเต้านมคัดตึง เนื่องจากไม่ได้รับการระบายน้ำนมหลังผ่าคลอด
ข้อมูลสนับสนุน
เต้านมคัด( Breast engorgement)ทั้ง 2 ข้าง
น้ำนมไหลระดับ 2+
ทารกเข้ารับการรักษาในหอทารกวิกฤต
วัตถุประสงค์ เพื่อให้อาการเต้านมคัดตึงลดลง
เกณฑ์การประเมินผล
อาการเต้านมคัดตึงลดลงเต้านมไม่บวมแดง ร้อน น้ำนม
กิจกรรมการพยาบาล
อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เต้านมคัดตึง จากการที่ทารกไม่ได้เข้าเต้าและไม่ได้นะบายน้ำนมออก
ดูแลให้ยาแก้ปวด Paracetamal (500) เม็ดทางปาก เวลาปวด ห่างกันทุก 4 -6 ชั่วโมง
ดูแลใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นจัดประคบเต้านม 3- 5 นาที พร้อมกับนวดเต้านม
ดูแลบีบน้ำนมออกจากเต้าด้วยมือ จนกระทั่งลานนมนิ่ม และระบายเก็บน้ำนม
สอนและฝึกมารดาหลังคลอดนวดเต้านมและบีบน้ำนมออกจนเกลี้ยงเต้าด้วยตนเอง
ฝึกมารดาหลังคลอดประคบเต้านมและบีบน้ำนมด้วยตนเอง
แนะนำมารดาให้บีบน้ำนมให้เกลี้ยงเต้าเพื่อส่งเสริมการสร้างน้ำนมในรอบต่อไป
ให้กำลังใจโดยให้ญาติและสามีเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเต้านมคัดตึง เช่น ฝึกให้ช่วยประคบและบีบน้ำนมออกจากเต้านมมารดาหลังคลอดไหลสะดวก
ดูแลหลังจากบีบเก็บน้ำนมแล้วให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบเต้านม เพื่อบรรเทาอาการปวด
ติดตามและฝึกมารดาหลังคลอดให้ทำด้วยตนเอง จะทำให้มารดาหลังคลอดเกิดความมั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และประสบผลสำเร็จ
การประเมินผล
Day 3 มีอาการคัดตึงเต้านม Pain score = 3
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 2 มารดาพร่องทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ข้อสนับสนุน
มารดาG3P2 มีประวัติไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ครรภ์สองปี55
มารดาไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยตนเอง
มารดามีอาการคัดตึงเต้านมทั้งสองข้างเล็กน้อย
น้ำนมไหลระดับ 1+ (1-2 หยด)
หัวนมมีลักษณะแบน
วัตถุประสงค์ : เพื่อให้มารดาสามารถปฏิบัติตัวดูแลเต้านมเพื่อเตรียมให้นมบุตรได้ถูกต้อง
เกณฑ์การประเมิน
มารดาสามารถดูแลเต้านมและกระตุ้นการไหลของน้ำนมได้ถูกต้อง
มารดาสามารถให้นมบุตรได้ถูกต้อง
กิจกรรมการพยาบาล
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับนมแม่ เน้นถึงคุณค่าของนมแม่ในแง่ของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย
การกระตุ้นการหลั่งของน้ำนม ให้มาเร็วและต่อเนื่อง โดยมารดาต้องบีบน้ำนมทุก 2-3 ชม. จำนวน 8 ครั้งต่อวัน เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนมอย่างเต็มที่
การประคบร้อน เพื่อให้เส้นเลือดขยายการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้น โดยใช้ผ้าประคบ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นจัด บิดให้หมาดประคบเต้านมประมาณ 5 – 10 นาที
การนวดลานหัวนม (Hoffman's exercise) โดยใช้นิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้ของมือ ทั้งสองข้างแตะที่รอยต่อระหว่างหัวนมกับลานหัวนม จากนั้น กดนิ้วทั้งสองข้างเข้าหาหน้าอกแล้วค่อย ๆ รูดนิ้วแยกห่างจากกันไปบนลานหัวนมข้างละประมาณ 3 เซนติเมตร โดยมีทิศทางไปในแนวนอนและแนวตั้งนับ เป็น 1 รอบ ทำซ้ำเช่นนี้ให้รอบหัวนมเพื่อ ช่วยดึงยืดหัวนม
การปั้มน้ำนม
ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด วางปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ที่ขอบนอกลานหัวนม ในตำแหน่งที่ตรงกันข้าม
กดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้าหาผนังหน้าอก และบีบเข้าหากันเบาๆให้เป็นจังหวะลึกเข้าไปด้านหลังของลานหัวนม
บีบน้ำนมทิ้งก่อน 2 – 3 หยด แล้วจึงบีบเก็บใส่ภาชนะถุงเก็บน้ำนม หรือถุงที่เป็นซิปล็อก
เปลี่ยนตำแหน่งของนิ้วหัวแม่มือและนิ้วนิ้วชี้ที่กดลานหัวนมไปรอบๆให้ทั่ว จนกว่าน้ำนมจะมีน้อยลงใช้เวลาข้างละ 5 – 10 นาที จากนั้นสลับไปนวดคลึงและบีบน้ำนม
อธิบายเกี่ยวกับการเก็บรักษาน้ำนม เพื่อนำส่งไปให้ทารก ถุงเก็บน้ำนม มีซิปที่ปิดแน่นสนิท มีแถบวัดปริมาตร แถบจากจดบันทึกวัน เวลา และสถานที่จัดเก็บ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการใช้งาน การเก็บในอุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส เก็บรักษาได้ 1 ชั่วโมง ,ในกระเป๋าเก็บความเย็นที่มีถุงน้ำแข็ง เก็บรักษาได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ,ในตู้เย็นช่องปกติ เก็บรักษาได้ประมาณ 2-3 วัน ,ในช่องแช่แข็งประตูเดียว เก็บรักษาได้ 2 สัปดาห์, ในช่องแช่แข็ง 2 ประตู เก็บรักษาได้ 3 เดือน
การประเมินผล
มารดาสามารถอธิบายและสาธิตวิธีการดูแลเต้านมและกระตุ้นการไหลของน้ำนมได้ถูกต้อง
มารดาสามารถอธิบายการให้นมบุตรที่ถูกต้องได้
Day 0
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 1 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะตกเลือดหลังผ่าตัดคลอดระยะ 24 ชม.แรก
ข้อมูลสนับสนุน
มีแผลผ่าตัด Low transverse caesarean section
มี Blood loss ที่ OR 700 ml.
มี bleeding per vagina
วัตถุประสงค์ : ไม่มีภาวะตกเลือดหลังผ่าตัดคลอด
เกณฑ์การประเมิน
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.4 c, อัตราการเต้นของหัวใจ 60-100 bpm, อัตราการหายใจ 16-24 bpm, ความดันโลหิต 90-140/60-90 mmHg
ปริมาณการเสียเลือดไม่เกิน 50 ml/hr
ไม่มีอาการแสดงของภาวะสูญเสียเลือด ซีด กระสับกระส่าย เวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น ตัวเย็น
กิจกรรมการพยาบาล
ตรวจสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้งและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่ หลังจากนั้นให้ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
ตรวจประเมินแผลผ่าตัดว่ามีเลือดซึมหรือไม่ ถ้ามีให้บันทึกจำนวนเลือดที่ซึมออกมา พร้อมกับรายงานแพทย์
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก และประเมินปริมาณเลือดที่ออกจากช่องคลอด
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษาคือ 5% D/N/2 1000 ml IV drip 120 cc/hr. ( add Syntocinon 20 unit ใน IV ขวดแรก ) พร้อมจดบันทึกจำนวนน้ำเข้าและออกจากร่างกาย
5. ดูแลสายสวนปัสสาวะไม่ให้หัก พับ งอ เพื่อให้ปัสสาวะไหลสะดวก ไม่มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะทำให้ขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูกหลังจาก off foley's: ประเมินกระเพาะปัสสาวะ และกระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะทุก 3-4 ชม.
ตรวจประเมินอาการของผู้ป่วย ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย เหนื่อย หน้ามืด ตัวเย็น ใจสั่น อาจแสดงถึงภาวะการสูญเสียเลือดและสารน้ำในร่างกาย
การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติT=37.1 PR =94 ,RR =18 ,BP =129/73 ,PS = 0
บริเวณแผลไม่มีเลือดซึม
ไม่มีอาการของการเสียเลือด ไม่ซีด ไม่มีอาการกระสับกระส่าย ไม่เวียนศีรษะหรือหน้ามืด ใจสั่น
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 2 มารดาอาจเกิดอันตรายจากการเกิดภาวะ Hypoglycemia และ Hyperglycemia
ข้อมูลสนับสนุน
14/3/65 เวลา 17.45 น. DTX = 70 mg%
15/3/65 เวลา 11.00 น. DTX = 225 mg%
เวลา 15.00 น. DTX = 208 mg%
วัตถุประสงค์ : เพื่อป้องกันการเกิดภาวะHypoglycemia/Hyperglycemia
เกณฑ์การประเมิน
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ไม่มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว มึนงง สับสน หน้ามืด ตาลาย หิวมาก และหงุดหงิดง่าย หากมีอาการรุนแรงอาจช็อคหรือหมดสติ
ไม่มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ปัสสาวะบ่อยผิดปกติโดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตาพร่ามัว ซึม อาจถึงขั้นหมดสติหรือชักกระตุกเฉพาะที่
ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่แพทย์รับได้คือ 80-200 mg/dL
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว มึนงง สับสน หน้ามืด ตาลาย หิวมาก และหงุดหงิดง่าย หากมีอาการรุนแรงอาจช็อคหรือหมดสติ และอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ปัสสาวะบ่อยผิดปกติโดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตาพร่ามัว ซึม อาจถึงขั้นหมดสติหรือชักกระตุกเฉพาะที่
วัดสัญญาณชีพ เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลง และวางแผนการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ คือ 5% W/2 1000 ml IV drip 120 ml/hr
ดูแลตรวจวัดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดทุก 4ชั่วโมงตามแผนการรักษา เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในเลือด
ดูแลให้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดตามแผนการรักษาเมื่อมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าระดับที่แพทย์รับได้ คือ
DTX 201-250 Novorapid 4 unit SC 251-300 Novorapid 6 unit SC ถ้า < 80 , > 300 ให้รายงานแพทย์
ดูแลให้ได้รับสารละลายกลูโคสตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลอดต่ำ คือ 50% Glucose 50 ml IV stat
การประเมินผล
DTX= 158 mg% หลังได้รับ 50% Glucose 50 ml IV stat
ไม่มีอาการ hyperglycemia ได้แก่ กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 3 มารดาเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม เนื่องจากอ่อนเพลียจากการผ่าคลอด
ข้อมูลสนับสนุน
รับย้ายมาจากห้องคลอด
14/3/65 ผู้ป่วยมีอาการขาชาทั้งสองข้าง อ่อนเพลีย
ผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกแบบ spinal block
Blood loss = 700 ml
วัตถุประสงค์ : ป้องกันไม่ให้เกิดการพลัดตกหกล้ม
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยไม่มีการพลัดตกหกล้ม
ผู้ป่วยไม่มีบาดแผล ฟอกช้ำ จากการพลัดตกหกล้ม
ประเมิน fall score ไม่มีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม
กิจกรรมการพยาบาล
ติดตามและประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มอย่างต่อเนื่อง
ดูแลสภาพแวดล้อมโดยรอบเตียง ยกไม้กั้นเตียงขึ้นหลังให้การพยาบาลทุกครั้ง พร้อมตรวจสอบล็อคความแข็งแรงให้เรียบร้อย
ดูแลช่วยเหลือการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ
ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด แนะนำให้ผู้ป่วยกดปุ่มเรียกพยาบาลเมื่อต้องการความช่วยเหลือต่างๆ ไม่ควรลุกเดิน ทำกิจกรรมด้วยตนเองเพียงลำพัง
การประเมินผล
มารดาสามารถลุกเดินได้ มีอาการปวดท้อง ไม่มีอาการเวียนศีรษะ หรือหน้ามืด ไม่มีการพลัดตกหกล้ม
มารดาไม่มีบาดแผล จากการพลัดตกหกล้ม
-fall score = 0 ไม่มีความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้ม
ทารก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 1 ทารกมีภาวะ Hypoglycemia เนื่องจากมารดาเป็นโรคเบาหวาน
ข้อสนับสนุน
DTX = 36 mg% (14/03/65 ; 13.10 น.)
วัตถุประสงค์ : เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดอันตรายจากภาวะ Hypoglycemia
เกณฑ์การประเมิน
ไม่มีอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ตั่วสั่น ตัวเขียว ซึม ชัก หยุดหายใจหรือหายใจเร็ว ร้องเสียงแหลม ตัวอ่อนปวกเปียก
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ 40-80 mg%
กิจกรรมการพยาบาล
สังเกตและบันทึกอาการทั่วไปของทารก ตรวจดูระดับความรู้สึกตัว อาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น กระวนกระวาย (iritability) สั่น (tremors) มีการเคลื่อนไหวเป็นแบบสั่นระรัว (ittery movement) การกระตุกของกล้ามเนื้อ (twitching) อาการเกร็งเหยียดจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ethargy of hypotonia) หายใจไม่เป็นจังหวะ (irregular respirations) หยุดหายใจ (apnea) เขียว (cyanosis) ไม่ดูดนม (refusal to suck) ร้องเสียงแหลม (high-pitch) หรือร้องเสียงเบาผิดปกติ (weak cry)ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ ตัวเย็น (hypothermia)ชักกระตุก (seizure) และการเคลื่อนไหวที่ไม่สัมพันธ์กันของปากกับลิ้น (การดูด) น้ำลายยืด ความผิดปกติการเคลื่อนไหวของตา การกระตุกของหนังตา ตาเบิกกว้าง การเคลื่อนไหวแขน ขาอยู่ในท่าผิดปกติ และสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
ควบคุมอุณหภูมิห้องเพื่อลดการใช้พลังงานจากการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย
ตรวจและบันทึกผลของน้ำตาลในเลือด ตามแผนการรักษาของแพทย์ ถ้าต่ำกว่า 40 มิลลิกรัมต่อ เดซิลิตร รายงานแพทย์
ดูแลทารกให้ได้รับสารน้ำตามแผนการักษา 10% D/W 200 ml IV Drip rate 6.5 ml/hr
บันทึกปริมาณน้ำเข้าและออกจากร่างกาย เพื่อดูความสมดุลและภาวะการขาดน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้
สังเกตอาการของทารกอย่างใกล้ชิด เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงและอาการผิดปกติ เมื่อพบความผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
การประเมินผล
DTX. 72 mg% (เวลา 13.45)
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 ทารกมีโอกาสเกิดภาวะหายใจล้มเหลว (Respiratory failure) เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของระบบการหายใจ
ข้อมูลสนับสนุน
ทารกคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์ 34+3 wks by date
อัตราการหายใจ 70 ครั้ง/นาที
ทารกมีภาวะ Respiratory distress syndrome
หายใจเร็วตื้น ไม่สม่ำเสมอ มี Subcostal retraction
วัตถุประสงค์ : ป้องกันไม่ให้ทารกเกิดภาวะหายใจล้มเหลว
เกณฑ์การประเมิน
ทารกไม่มีอาการของภาวะพร่องออกซิเจน ได้แก่ ซึมลง ตัวเย็น ผิวหนังเขียว
ทารกไม่มีภาวะหหยุดหายใจ (Apnea)
ตรวจประเมินสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่ RR 40-60 bpm , BP 36.5 - 37.4 c , PR 120-160 ครั้ง/นาที , O2 sat > 95 %
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพทารกทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอัตราการหายใจและค่า Oxygen saturation เพื่อประเมินการเกิดภาวะพร่องออกซิเจน
สังเกตอาการของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบมากขึ้น หายใจลำบาก หายใจเข้ามีเสียงดัง หน้าอกบุ๋มรุนแรงมากขึ้น ระดับความรู้สึกตัวลดลง กระสับกระส่าย ร้องกวน ก่อนจะซึมลง
จัดท่านอนให้ทารกอยู่ในท่าหัวสูงประมาณ 30 องศา พร้อมใช้ผ้าหนุนใต้คอและไหล่ เพื่อให้ทารกหายใจสะดวกมากขึ้น
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา on NCPAP (countinuous positive airway pressure) 5 cmH2O FiO2 0.2-0.4 โดย keep O2sat 90 - 95 %
ดูแลให้ทารกได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ การทำกิจกกนลรรมพยาบาลให้เสร็จสิ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อรบกวนทารกน้อยที่สุด
ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ให้ทารกได้รับความอบอุ่นที่เพียงพอเพื่อลดการเผาผลาญของร่างกายซึ่งมีผลต่อการใช้ออกซิเจนในร่างกาย
การประเมินผล
ทารกไม่มีอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน ได้แก่ ซึมลง ตัวเย็น ผิวหนังและปลายมือปลายเท้าเขียว
ทารกไม่เกิดภาวะหหยุดหายใจ (Apnea)
ตรวจประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ RR 70-90 bpm หายใจเร็ว , BP 37.0 c , PR 132-146 ครั้ง/นาที , O2 sat 96-98 %
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 3 ทารกมีโอกาสเกิดภาวะ Polycythemia เนื่องจากมารดาเป็นโรคเบาหวาน
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาของทารกเป็นเบาหวานชนิดที่ 1
วัตถุประสงค์ : เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ Polycythemia
เกณฑ์การประเมินผล
ระดับฮีมาโตคริตและน้ำตาลในเลือดปกติ
ไม่มีอาการของอวัยวะขาดเลือดไปเลี้ยง เช่น ซีด อ่อนแรง
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำอย่างถูกต้อง ครบตามจำนวน ขนาดและเวลา ตามแผนการรักษา
สังเกตอาการและรายงานการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการหายใจลำบากตัวเขียว หยุดหายใจ หัวใจโต บวม หัวใจวาย มีความผิดปกติของระบบประสาท เช่น สั่นหรือชักระตุก
จำนวนเกล็ดเลือดต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ แคลเซียมในเลือดต่ำ ตัวเหลือง อาเจียนถ้าพบรายงานแพทย์เป็นกรณีเร่งด่วนเพื่อการรักษา
ติดตามผลการตรวจหาระดับมาโตคริต ถ้าผิดปกติรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษาและเตรียมความพร้อมในกรณีที่แพทย์มีแผนการรักษาโดยการเปลี่ยนถ่ายเลือดบางส่วน
ให้การพยาบาลตามอาการและปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ยาตามแผนการรักษา
การประเมินผล
1.(14/3/65)
Hct 54.5 %
Glucose 23 mg/dL
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 4 ทารกเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์
ข้อมูลสนับสนุน
1.ทารกหญิงไทย GA 33+3 wks.
2.ทารกมีผื่นกระจายตามตัว (มีตุ่มหนอง)
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันไม่ให้ทารกเกิดการติดเชื้อ
เกณฑ์การประเมินผล
1.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
T = 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
P = 120-140 ครั้ง/นาที
RR = 40-60 ครั้ง/นาที
O2 = >95%
ผลทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่ CBC
ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ ซึม
กิจกรรมพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ
สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ซึม
ดูแลรักษาความสะอาดของผิวหนังและสะดือ เพราะผิวหนังของทารกเกิดก่อนกำหนดจะบอบบาง ซึ่งทำให้ผิวหนังถลอกและเกิดบาดแผลได้ง่าย และดูแลรักษาความสะอาดส่วนที่เป็นซอกหรือรอยย่น ควรดูแลให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ พร้อมทั้งประเมินสะดือ ว่ามีบวม แดง หรือมี discharge ซึมหรือไม่
ล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังให้การพยาบาลผู้ป่วย โดยยึดหลัก Aseptic technique
เครื่องมือและอุปกรณ์สิ่งของที่ใช้กับทารกต้องสะอาด หรือผ่านการทำให้ปลอดเชื้อ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา คือ
Ampicillin 250 mg q 12 hr. ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะ โดยทำหน้าที่ยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย หรือใช้ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโตคอคคัสกรุ๊ปบีในทารกแรกเกิด และติดตามผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดจากการได้รับยา ได้แก่ ผื่น หายใจลำบาก มีอาการบวมตามร่างกาย ปวดท้อง ไข้ หนาวสั่น
Gentamicin 11 mg q 36 hr. ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะ ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทั้งการติดเชื้อที่ดวงตา หู ผิวหนัง และติดตามผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดจากการได้รับยา ได้แก่ ผื่นคัน หายใจลำบาก ไข้ บวมตามร่างกาย
ติดตามผลทางห้องปฎิบัติการ (CBC)
ประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
T = 36.9 องศาเซลเซียส
P = 84 ครั้ง/นาที
RR = 90 ครั้ง/นาที
ผลทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่ CBC (14/03/65)
Corrected WBC 12.59 10^3uL
Neutrophil 50 %
Problem list
Day 0
มารดามีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน
blood loss 700 ml (เสี่ยงตกเลือด)
ลูกอยู่ SNCU เนื่องจาก LBW และ Preterm ต่อมาย้ายไป NICU เนื่องจากหายใจไม่ดี
หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
เสี่ยงพลัดตกหกล้ม
ขาชาทั้งสองข้าง
ปวดแผลผ่าตัด
Day 1
มารดามีปวดท้อง ท้องอืด
DTX (10.00น.) 225 mg%
มารดามีอาการคลื่นไส้
มารดามีเต้านมคัดตึง
ไม่สามารถนำบุตรมาเข้าเต้าได้
มารดาและบุตรไม่ได้กลับพร้อมกัน
Day 2
มารดามีอาการท้องอืด ยังไม่ขับถ่ายแต่มีการเรอและผายลม
เต้านมคัดตึงมากขึ้น
มารดาและบุตรไม่ได้กลับพร้อมกัน
ไม่สามารถนำบุตรมาเข้าเต้าได้
D/C