Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร, กัญญารัตน์ ภู่แจ้ง เลขที่…
บทที่ 6 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร
โรคทางเดินอาหารที่รักษาด้วยยา
อุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute diarrhea)
สาเหตุ
การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อ แบคทีเรีย, ไวรัส, พยาธิ เป็นต้น
การได้รับยาหรือสารพิษต่างๆ เช่น ยาปฏิชีวนะ, ยาระบาย, ยารักษาโรคเก๊าท์ เป็นต้น
โรคอื่นๆ ในระบบทางเดินอาหาร เช่น ไส้ติ่งอักเสบ, เยื่อบุช่องท้องอักเสบ, ลำไส้ขาดเลือด เป็นต้น
การติดเชื้อ อื่นๆ นอกระบบทางเดินอาหาร เช่น เลปโตสไปโรสิส, มาลาเรีย เป็นต้น
อาการและอาการแสดง
อาการที่ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ได้แก่ อาการท้องเสียเป็นน้ำหรืออาจจะมีมูกเลือดปนได้ ปวดท้อง ปวดเบ่ง คลื่นไส้ อาเจียนหรือมีไข้ได้
ผู้ป่วยอาจจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ อาการของการสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่ ปากแห้ง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปัสสาวะออกลดลง ความดันต่ำและช๊อคได้
ทั้งนี้ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการท้องเสียเฉียบพลันด้วย
นิยามของท้องเสียโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)
คือ การถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปใน 24 ชั่วโมงหรือถ่ายเป็นมูกเลือด 1 ครั้งขึ้นไปใน 24 ชั่วโมง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาการท้องเสียเฉียบพลันซึ่งอาการท้องเสียจะเกิดขึ้นระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ หากปล่อยให้เกิดอาการท้องเสียโดยที่ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียเกลือแร่ สารน้ำ และช็อค ซึ่งทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียเฉียบพลัน ควรส่งตรวจอุจจาระที่เพิ่งถ่ายใหม่ๆ (fresh smear) เพื่อดูปริมาณเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว
นอกจากนี้ยังสามารถเห็นแบคทีเรียหรือพยาธิบางชนิดได้ ในบางรายควรส่งตรวจอุจจาระเพาะเชื้อ เช่น ผู้ป่วยที่มีไข้สูง ท้องเสียเป็นมูกเลือด ผู้สูงอายุ ฯลฯ
และควรส่งตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ เช่น ดูความผิดปกติของเกลือแร่ เป็นต้น
การรักษา
การรักษาผู้ป่วยท้องเสียเฉียบพลัน
การรักษาแบบจำเพาะเจาะจง (Specific treatment)
ขึ้นอยู่กับเชื้อที่ตรวจเจอและให้ในผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้น เช่น หากตรวจเจอเชื้อแบคทีเรีย จะให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อแบคทีเรีย หากเจอพยาธิ ให้ยาฆ่าพยาธิ เป็นต้น
การรักษาตามอาการ (Supportive treatment)
ได้แก่ การแก้ไขภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ คือ การให้น้ำเกลือในรูปแบบของการดื่ม (ORS) หรือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำหากมีการสูญเสียสารน้ำในปริมาณที่มาก, การให้ยาลดอาการท้องเสีย ในผู้ป่วยบางราย, การให้ยาลดอาการปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนหรือยาลดไข้ เป็นต้น
อาการที่ต้องรีบมาพบแพทย์
มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
อุจจาระเป็นมูกหรือมูกเลือดหรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
ถ่ายเป็นน้ำอย่างรุนแรงและปริมาณมากคล้ายน้ำซาวข้าว
ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเยอะ หรืออายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
ผู้ป่วยมีอาการซึม กระสับกระส่าย ปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อยลง
การป้องกัน
ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร หรือรับประทานอาหาร
รับประทานอาหารที่สะอาดและสุกใหม่และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ค้างคืน
ดื่มน้ำที่สะอาดหรือน้ำต้มสุก
ผักสดหรือผลไม้ ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาล้างผัก น้ำด่างทับทิม เป็นต้น
มีภาชนะปกปิดอาหารป้องกันแมลงวันตอม
กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD)
อาการสำคัญของโรคกรดไหลย้อน
ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ขึ้นมาที่หน้าอกและคอ อาการนี้จะเป็นมากหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก และการนอนหงาย
การมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก อาการเหล่านี้พบได้บ่อยในคนตะวันตก แต่ในคนไทยส่วนใหญ่อาการแสบร้อนที่บริเวณหน้าอกพบได้ไม่บ่อย และไม่รุนแรงเท่าชาวตะวันตก
ผู้ป่วยมักมีอาการเรอ และมีน้ำเปรี้ยวขึ้นมาในปาก ในผู้ป่วยที่มีการขย้อนน้ำและอาหารขึ้นมาขั้นรุนแรง อาจทำให้เกิดการสำลักเข้าไปในปอด จนเกิดอาการปอดอักเสบได้
ภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะไหลย้อนกลับมาในหลอดอาหาร จนทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร โดยผู้ป่วยจะรู้สึกแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว และคลื่นไส้
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยภาวะกรดไหลย้อนในกรณีทั่วไปจากการชักประวัติและอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก ทั้งนี้แพทย์อาจพิจารณาการตรวจพิเศษด้านอื่นเพิ่มเติมหากไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดหรืออาการไม่ชัดเจน
สาเหตุของกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อนเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณส่วนปลายของหลอดอาหาร (Lower Esophageal Sphincter: LES) ทำให้กรดหรือน้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาบริเวณหลอดอาหารจนสร้างความระคายเคืองกับผนังของหลอดอาหาร
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันหรือโรคบางชนิดมีส่วนกระตุ้นการทำงานของหลอดอาหารให้เกิดความผิดปกติได้ หรือทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดในปริมาณมากขึ้น เช่น
ข้านอนหลังรับประทานอาหารทันที
สูบบุหรี่
ดื่มน้ำอัดลมหรือแอลกอฮอล์
รับประทานอาหารปริมาณมากภายในมื้อเดียว
เป็นโรคอ้วน
สาเหตุสำคัญหนึ่ง
มาจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้องและการใช้ชีวิตที่เร่งรีบในสภาพสังคมปัจจุบัน หากปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังและรักษาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การเกิดหลอดอาหารอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดอาหารตีบ
ภาวะแทรกซ้อนของกรดไหลย้อน
ภาวะกรดไหลย้อนมักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เนื่องจากฤทธิ์ของกรดได้สร้างความระคายเคืองแก่หลอดอาหารไปถึงอวัยวะบริเวณทางเดินหายใจ ทำให้กลืนอาหารได้ลำบาก
อาจเกิดภาวะหลอดอาหารตีบตัน อาจกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืด ไอเรื้อรัง อีกทั้งยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหาร
การรักษาอาการกรดไหลย้อน
ในบางรายอาจรักษาด้วยการให้รับประทานยาในกลุ่มยับยั้งการหลั่งกรด ยาลดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหาร ยาช่วยเสริมประสิทธิภาพของยาลดกรด ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง จุก เสียด แน่น อาหารไม่ย่อย แสบร้อนกลางอก
การปรับพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตอาจช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ เช่น รับประทานอาหารในปริมาณที่พอดี ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ควรเข้านอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ฯลฯ
การป้องกันอาการกรดไหลย้อน
รวมไปถึงการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอาจช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะกรดไหลย้อนให้น้อยลงได้
ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา
พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยในชีวิตประจำวันที่ไปกระตุ้นให้เกิดภาวะนี้มากที่สุด
ลำไส้เล็กอักเสบ (Gastroenteritis)
อาการ
เมื่อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กติดเชื้อจนไม่สามารถกักเก็บของเหลวไว้ได้ ร่างกายจะขับถ่ายอุจจาระออกมาในลักษณะถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ
คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาเจียนพุ่งอย่างรุนแรง
ไม่อยากอาหาร
ปวดเกร็งท้อง และมีเสียงโกรกกราก
รู้สึกป่วย เป็นไข้อ่อน ๆ
เหนื่อยล้า อ่อนแรง
ปวดหัว หรือปวดกล้ามเนื้อร่วมกับอาการอื่น ๆ
สาเหตุของโรค Gastroenteritis
มักเกิดจากการรับเชื้อต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายจนเกิดการติดเชื้อในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เช่น
เชื้อไวรัส เช่น โนโรไวรัส (Norovirus) และโรทาไวรัส (Rotavirus)
เชื้อแบคทีเรีย เช่น อีโคไล (E. Coli) ซาลโมเนลลา (Salmonella) และชิเกลลา (Shigella)
ปรสิต เช่น ไกอาเดีย (Giardia) และคริปโตสปอริเดีย (Cryptosporidia)
การติดเชื้อดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้
บริโภคอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะอาหารทะเล ปลาดิบ หรือปลาที่ปรุงไม่สุกดี
สัมผัสวัตถุหรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ใช้เครื่องครัวหรือของใช้ภายในบ้านที่สกปรก
ไม่ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก
ใกล้ชิดหรือได้รับเชื้อจากผู้ป่วย Gastroenteritis เพราะลมหายใจของผู้ป่วยอาจปนเปื้อนเชื้อจากอาเจียนออกมาด้วย ซึ่งเชื้อสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้
การวินิจฉัย
ในเบื้องต้น แพทย์อาจสอบถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าอาการที่ปรากฏไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะหรือการเจ็บป่วยอื่นๆ ของผู้ป่วย
การรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับโรค Gastroenteritis ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส
ผู้ป่วยอาจบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองในเบื้องต้น ดังนี้
พักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำๆ หรือดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ เพื่อทดแทนน้ำและแร่ธาตุที่สูญเสียจากอาการท้องเสีย และป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ
รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น กล้วย มันฝรั่ง ขนมปัง ข้าวต้ม ซุป และโจ๊ก
หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะขาดน้ำและระดับเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุล ทำให้มีอาการ
ภาวะพร่องเอนไซม์ย่อยนมหรือแพ้น้ำตาลแล็กโทส ทำให้มีอาการ เช่น ท้องอืด ปวดท้อง
โรคลำไส้แปรปรวน ทำให้มีอาการ เช่น แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือปวดท้องมากหลังรับประทานอาหาร
การติดเชื้อแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
การป้องกัน
ซักผ้าบ่อยครั้ง โดยแยกเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวของผู้ป่วยออกจากผ้าอื่นๆ
ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ทุกครั้งหลังไอ จาม เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และก่อนรับประทานอาหาร
ล้างอาหารและผักให้สะอาด ปรุงเนื้อสัตว์และไข่ให้สุกดีก่อนรับประทานทุกครั้ง
หากมีผู้ป่วย Gastroenteritis ในบ้าน ควรทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ ในบ้านเสมอ
ห้ามใช้ผ้าเช็ดตัว ช้อนส้อม และเครื่องใช้ในครัวอื่นๆ ร่วมกับผู้ป่วย
ห้ามรับประทานปลาหรือเนื้อสัตว์ดิบ และห้ามรับประทานอาหารในภาชนะที่ใช้ใส่เนื้อสัตว์ดิบ
โรคทางเดินอาหารที่รักษาด้วยการผ่าตัด
ปากแหว่ง (Cleft Lip) เพดานโหว่ (Cleft Palate)
ปากแหว่งเพดานโหว่ เป็นโรคที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดคือ จะมีรอยแยกที่บริเวณริมฝีปาก ใต้จมูก เหงือกบน หรือเพดานปาก สามารถเกิดขึ้นแยกกันอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลักษณะของปากแหว่งเพดานโหว่
รอยแหว่งที่บริเวณริมฝีปากบนและรูโหว่ที่เพดานปาก ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพของใบหน้าเปลี่ยนไปข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง
รอยแหว่งเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณริมฝีปากบน หรืออาจยาวไปถึงเหงือกบน เพดานปาก รวมไปถึงบริเวณใต้จมูก ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพของใบหน้าเปลี่ยนแปลงไป
รอยโหว่เฉพาะที่เพดานอ่อนในปาก ไม่ส่งผลต่อลักษณะทางกายภาพของใบหน้า
สาเหตุของปากแหว่งเพดานโหว่
ปัจจัยทางพันธุกรรม เป็นการสืบทอดกรรมพันธุ์ในผู้ที่มีประวัติการเกิดโรคปากแหว่งเพดานโหว่กับสมาชิกในครอบครัว
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างตั้งครรภ์
โรคอ้วนในระหว่างตั้งครรภ์
การขาดกรดโฟลิคในระหว่างตั้งครรภ์
การสัมผัสไวรัสหรือสารเคมีระหว่างตั้งครรภ์
การใช้ยาบางชนิดระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ยากันชัก สเตอรอยด์
การวินิจฉัย
การอัลตราซาวด์ (Ultrasound) คือการใช้คลื่นเสียงเพื่อจำลองภาพของทารกในครรภ์ และแพทย์จะทำการตรวจโครงสร้างใบหน้าของทารกเพื่อหาความผิดปกติ
การตรวจร่างกายทารกแรกเกิด คือการตรวจลักษณะทางกายภาพของทารกหลังคลอดในช่วงแรกเกิด เพื่อตรวจความปกติของร่างกาย
การรักษา
การผ่าตัดอาการปากแหว่ง จะทำภายในช่วง 12 เดือนหลังคลอด แพทย์จะทำการเย็บเพื่อเชื่อมรอยแยกที่บริเวณริมฝีปากรวมถึงรอยแยกบริเวณใต้จมูกเข้าด้วยกัน
การผ่าตัดใส่ท่อในหู จะทำเมื่อเด็กมีอายุ 6 เดือน เป็นการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลวในหูชั้นกลาง และลดความเสี่ยงของการเกิดการติดเชื้อที่จะนำไปสู่การสูญเสียการได้ยิน
T-E Fistula
อาการทางคลินิก
มีน้ำลายมาก ไอ เมื่อดูดเอาออกทิ้ง จะมีขึ้นมาอีกในเวลาไม่นาน
สำลักง่าย เมื่อให้ดูดน้ำ ทารกจะสำรอกทันที
ท้องอืด หายใจลำบาก เขียว และอาจหยุดหายใจได้
มักมีปอดอักเสบร่วมด้วยเสมอ เนื่องจากสำลักเอาน้ำลายหรือน้ำเข้าไป หรือของเหลวในกระเพาะอาหารไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารผ่านรูติดต่อไปยังหลอดลมและปอด
การรักษา
แล้วแต่แบบของความผิดปกติโดยผ่าตัดปิดรูติดต่อนั้นและต่อหลอดอาหาร
การวินิจฉัย
อาการทางคลินิก และมักพบในทารกที่เกิดจากมารดาที่มี polyhydramnios
ใส่ N – G tube ลงไปได้ไม่ตลอด
X – ray พบลมในกระเพาะอาหาร
การพยาบาล
ก่อนผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับสารน้ำและสารอาหารอย่างเพียงพอ
ประคับประคองด้านจิตใจ อารมณ์เด็กป่วยและบิดามารดา
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
หลังผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ป้องกันการแยกของแผลที่เย็บปิดรูติดต่อ หรือแผลที่ต่อหลอดอาหาร
Gastroschisis, Omphalocele
ความหมาย
สะดือโป่ง (อังกฤษ: omphalocele) เป็นความผิดปกติของผนังหน้าท้องอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้อวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ ตับ และอวัยอื่นๆ ออกมาอยู่ในถุงนอกช่องท้อง เนื่องจากเกิดความผิดปกติในการพัฒนาของชั้นกล้ามเนื้อของผนังหน้าท้อง
Gastroschisis เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดของผนังหน้าท้องในทารกแรกคลอดที่ปิดไม่สนิท ทำให้ลำไส้ของทารกออกมาอยู่นอกช่องท้อง และอาจมีอวัยวะภายในอื่น ๆ ออกมาด้วยในบางกรณี
อาการของ
มีช่องโหว่บริเวณผนังหน้าท้องใกล้กับสะดือ ส่งผลให้ลำไส้โผล่ออกมา ส่วนมากจะเกิดช่องโหว่ทางด้านขวาของสะดือ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
ดยลำไส้ที่โผล่ออกมาจะไม่มีถุงหรือเยื่อหุ้มล้อมรอบ ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองได้ง่ายจนอาจทำให้ลำไส้บวมหรือบิด รวมทั้งอาจส่งผลให้ทารกมีภาวะตัวเย็นเกิน
สาเหตุ
ทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดภาวะ Gastroschisis ได้อย่างชัดเจน
แต่คาดว่าภาวะดังกล่าวอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยด้านสภาวะแวดล้อม
การวินิจฉัย
แพทย์อาจตรวจพบได้จากการตรวจเลือด โดยวัดจากระดับของโปรตีนที่ชื่อว่า อัลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha-fetoprotein, AFP) ในเลือดของมารดาในช่วงสัปดาห์ที่ 16 ของการตั้งครรภ์
การรักษา
การรับสารอาหารผ่านเส้นเลือดเนื่องจากอาจมีภาวะลำไส้บวม ไม่สามารถดูดซึมสารอาหาร ได้รับความเสียหายขณะอยู่ในครรภ์หรือขณะคลอด
การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
การสังเกตและควบคุมอุณหภูมิของร่างกายทารกอย่างใกล้ชิด
Pyrolic stenosis
ภาวะที่ทำให้กล้ามเนื้อ pylorus ในทารกขยายตัว กล้ามเนื้อเหล่านี้ตั้งอยู่ในกระเพาะอาหารและช่วยในการย่อยอาหารโดยผ่านอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก กล้ามเนื้อขยายตัวทำให้อาหารได้รับการสำรองในกระเพาะอาหารและไม่ย่อยอย่างถูกต้อง
อาการ :
อาเจียนเป็นอาการสำคัญ มีลักษณะอาการจะเริ่มเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ มีการอาเจียนพุ่ง เป็นนมไม่มีน้ำดีปน บางรายจะมีลิ่มเลือดเล็กๆหรือ มีสี coffee ground ปนออกมา หลังอาเจียนเด็กจะหิวดูดนมต่อได้แล้วอาเจียนออกมาหมด
การรักษา
การรักษาขั้นสุดท้ายของ pyloric stenosis คือการผ่าตัดpyloromyotomy
ที่เรียกว่าขั้นตอนของ Ramstedt (การแบ่งกล้ามเนื้อของไพลอรัสเพื่อเปิดทางเดินอาหาร) การผ่าตัดนี้สามารถทำได้โดยการผ่าแผลเดียว (โดยปกติจะยาว 3–4 ซม.)
แบบส่องกล้อง
(ผ่านแผลเล็ก ๆ หลาย ๆ แผล) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความชอบของศัลยแพทย์
สาเหตุ :
เกิดจากการหนาตัวทีผิดปกติและการเพิมจํานวนของเซลล์ทีอยู่ในชัน กล้ามเนือทีบริเวณพัยลอรัส ซึงทําให้ช่องหูรูดกระเพาะอาหารแคบและยาวออก ผู้ป่วยมีอาการภาวะลําไส้อุดตัน ในส่วนของกระเพาะอาหาร
ไม่มีรูเปิดทวารหนัก (Imperforated Anus)
Types of anorectal anomaly
Low (infralevator) type เป็นชนิดที่ rectal pouch ผ่านกล้ามเนื้อ levator ani ลงมา และมักจะอยู่ใกล้กับผิวหนัง หรือตำแหน่งปกติของรูทวารหนัก
Intermediate (translevator) type เป็นชนิดที่ recta pouch อยู่ในระดับเดียวกับ levator ani
High (supralevator) type เป็นชนิดที่ rectal pouch อยู่เหนือระดับ levator ani
การวินิจฉัย
ส่วนมากวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกคลอด
การพยาบาล
ดูแลความสะอาดรอบๆทวารหนักด้วยน้ำ
สังเกตการติดเชื้อ ไข้ ปวด บวม แดงร้อน หลังผ่าตัด 3-4 วัน
ความพิการแต่กำเนิดของทวารหนัก อาจเป็นแบบไม่มีรูเปิดออกภายนอก (imperforate anus) หรือมีรูเปิดผิดไปจากตำแหน่งปกติ เช่น รูเปิดอยู่บริเวณฝีเย็บ รูเปิดต่อกับท่อปัสสาวะ
ทางเดินน้ำดีตีบตัน (Biliary Atresia)
สาเหตุ
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัย ดังต่อไปนี้
ความผิดปกติแต่กำเนิด
การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือพันธุกรรม
การวินิจฉัย
ผลเลือดการตรวจหน้าที่ตับ (Liver function test), อัลตราซาวน์ช่องท้อง, การฉีดสารเพื่อดูการทำงานของตับ และทางเดินน้ำดี รวมถึงการผ่าตัดเพื่อฉีดสารทึบรังสีดูการทำงานของทางเดินน้ำดี
อาการ
ตัวหรือตาเหลืองในช่วงอายุ 2-3 สัปดาห์แรก
อุจจาระมีสีเหลืองอ่อนหรือขาวซีด
ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม
ท้องมานหรือท้องโตผิดปกติ
การรักษา :
การผ่าตัด ซึ่งควรทำภายในอายุ 60 วัน หากล่าช้าจะเกิดภาวะตับแข็งและเสียชีวิตได้
ท่อน้ำดีตีบ
เป็นภาวะที่ท่อน้ำดีมีการอักเสบจนกลายเป็นเนื้อเยื่อพังผืดและตีบตันไป ผู้ป่วยอาจไม่เหลืองตั้งแต่แรกคลอด และทารกมักมีสุขภาพโดยทั่วไปที่ดูแข็งแรงเป็นปกติ
ลำไส้กลืนกัน (Intussusception)
การรักษา
การดันลำไส้
โดยใช้แรงดันผ่านทางทวารหนัก ทำให้ลำไส้ที่กลืนกันเคลื่อนตัวออกจากลำไส้ส่วนปลาย วิธีนี้จะทำได้โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัด
การผ่าตัด
เพื่อให้คุณหมอดันลำไส้ส่วนที่กลืนกันให้คลายตัวออกจากกัน ในกรณีที่การดันลำไส้ไม่ได้ผล หรือบางกรณีที่อาการค่อนข้างหนัก
สาเหตุ :
สาเหตุส่วนใหญ่อาจเกิดจากไข้หวัดหรือเด็กมีอาการลำไส้อักเสบเบื้องต้นอยู่แล้ว จนทำให้ส่วนหนึ่งของลำไส้ที่อยู่ต้นกว่า เคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ในลำไส้ที่อยู่ปลายกว่า โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ แต่อาการนี้จะทำให้เกิดการอุดตันของลำไส้ จนทำให้เด็กมีอาการปวดท้องตามมา
อาการ
อาการปวดท้อง กระสับกระส่าย มือเท้าเกร็ง
ร้องไห้เป็นพัก ๆ ประมาณ 15 – 30 นาทีก็เริ่มร้องอีก เวลาที่ร้องไห้ลูกจะงอเข่าขึ้นทั้งสองข้าง Colicky ain
ท้องอืดและอาเจียน ช่วงแรกมักจะเป็นนมหรืออาหารที่ลูกกินเข้าไป แต่ระยะหลังจะมีสีเหลืองหรือเขียวของน้ำดีปนออกมา
อุจจาระมีเลือดคล้ำๆ ปนเมือก
การวินิจฉัย
การทำอัลตราซาวน์ (ultrasound) ซึ่งสามารถตรวจพบก้อนลำไส้กลืนกัน
การตรวจด้วยการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยสารทึบรังสี (barium enema)
ลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Congenital A ganglionic Mega colon or Hirschsprung’s Disease)
การรักษา
การรักษาด้วยการผ่าตัด โดยการผ่าตัดสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ การผ่าตัดผ่านกล้อง โดยแพทย์จะผ่าตัดลำไส้ส่วนปลายที่ไม่มีเซลล์ประสาทออกทั้งหมดและนำลำไส้ส่วนปกติไปต่อกับบริเวณเหนือทวารหนักเล็กน้อย
สาเหตุ :
แพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของ Hirschsprung's Disease ได้แน่ชัด แต่คาดว่าอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือการกลายพันธุ์ของยีนในร่างกายของทารก
Hirschsprung's Disease หรือโรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด
เป็นความผิดปกติที่เกิดจากร่างกายขาดเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่งผลให้อุจจาระผ่านปลายลำไส้ใหญ่ไปได้ยาก ทำให้เกิดการอุดตันและการโป่งพองบริเวณลำไส้
อาการ
ในทารกแรกคลอดอาจไม่ขับถ่ายขี้เทาภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรก มีอาการท้องเสีย อาเจียนเป็นสีเขียวหรือน้ำตาล ท้องอืดและบวม
ในเด็กเล็กหรือเด็กโตอาจมีอาการปวดท้อง ท้องบวม ท้องผูกเรื้อรังและรักษาไม่หายด้วยวิธีทั่วไป ท้องอืด มีภาวะไม่เจริญเติบโต และอ่อนเพลีย
การวินิจฉัย
ในเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายและอาการผิดปกติอื่น ๆ จากนั้นจะตรวจร่างกายด้วยวิธีการตรวจทางทวารหนัก
การเอกซเรย์ช่องท้อง
โดยแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีอย่างแบเรียมหรือสารอื่นๆ ผ่านท่อชนิดพิเศษไปยังบริเวณสำไส้ใหญ่
การตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่และหูรูดทวารหนัก โดยใช้บอลลูนขนาดเล็กใส่เข้าไปและทำให้พองขึ้นภายในทวารหนัก เพื่อทอดสอบการคลายของกล้ามเนื้อโดยรอบ
การตัดชิ้นเนื้อบริเวณลำไส้ใหญ่
เป็นวิธีที่ช่วยให้วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ โดยแพทย์จะตัดเนื้อเยื่อตัวอย่างภายในลำไส้ใหญ่นำมาวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อระบุเซลล์ประสาทที่ที่ขาดหายไป
กัญญารัตน์ ภู่แจ้ง เลขที่ 51 รหัสนักศึกษา 631001404152