Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มี ปัญหาสุขภาพ, กัญญารัตน์ ภู่แจ้ง เลขที่…
บทที่ 5 การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มี
ปัญหาสุขภาพ
ทารกเกิดก่อนกำหนดและทารกที่มี
น้ำหนักตัวน้อย
1.1 ลักษณะก่อนกำหนดและทารกที่มี
น้ำหนักตัวน้อย
นิยาม
ทารกเกิดก่อนกำหนด หมายถึง ทารกที่คลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์เต็ม หรือ 259 วัน
การประเมินอายุครรภ์
1. อายุตามปฏิทินหรืออายุหลังเกิด (chronological age)
หมายถึง อายุของทารกนับเป็นวันหรือสัปดาห์ที่ทารกเกิด
นิยมใช้เลขเต็มจำนวน เช่น อายุ 5 วัน อายุ 2 สัปดาห์อายุ 1 เดือน เป็นต้น
2. อายุจริงหรืออายุที่ปรับแล้ว (correct age, adjusted age
) หมายถึง อายุตามปฏิทินลบด้วยจำนวนสัปดาห์หรือเดือน
ที่ทารกเกิดก่อนกำหนด (ก่อน 40 สัปดาห์)
การจำแนกประเภททารกตามอายุครรภ์
1. ทารกครบกำหนด (term)
หมายถึง ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์ตั้งแต่ 37 สัปดาห์เต็ม (หรือ 259 วัน) ถึงน้อยกว่า 42
สัปดาห์เต็ม (หรือ 293 วัน)
2.ทารกเกิดก่อนกำหนด (preterm)
หมายถึง ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์เต็ม
3. ทารกเกินกำหนด (post term)
หมายถึง ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์ 42 สัปดาห์เต็ม (หรือตั้งแต่ 294 วันขึ้นไป)
การจำแนกทารกตามความสัมพันธ์ของอายุครรภ์และน้ำหนักแรกเกิด
1. ทารกที่ตัวเล็กกว่าอายุครรภ์(Small for Gestational Age: SGA)
หมายถึง ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าปกติ
สำหรับอายุครรภ์นั้นๆ หรือมีการเจริญเติบโตในครรภ์ต่ำกว่าปกติ หรือมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10
2.ทารกที่มีน้ำหนักเหมาะสมกับอายุครรภ์(Appropriate for Gestational Age: AGA)
หมายถึง ทารกที่มีน้ำหนัก
แรกเกิดเหมาะสมกับอายุครรภ์นั้นๆ หรืออยู่ระหว่างเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10-90
3. ทารกที่ตัวใหญ่กว่าอายุครรภ์(Large for Gestational Age: LGA)
หมายถึง ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่าปกติ
สำหรับอายุครรภ์นั้นๆ หรือมากกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 90
ลักษณะของทารกเกิดก่อนกำหนด
ท่านอน ทารกเกิด
ก่อนกำหนดจะมีความตึงตัวของกล้ามเนื้อน้อย ทำให้เวลานอนจะมีลักษณะเหยียดแขน ขา
รูปร่าง ตัวเล็ก แขน-ขาเล็ก ศีรษะใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว กะโหลกศีรษะนุ่ม รอยต่อกะโหลกศีรษะและกระหม่อมกว้าง
หัวนมและลานนมเล็ก ไม่มีขอบชัดเจน
อวัยวะเพศมีขนาดเล็ก
เพศชายลูกอัณฑะยังไม่ลงถุงถ้าอายุครรภ์ไม่ถึง 36-38 สัปดาห์ เพศหญิงจะเห็น labia minora และ
clitoris ชัดเจน แต่เห็น labia majora อาจจะยังไม่ชัดเจน
ะเมื่ออายุครรภ์ 36-40 สัปดาห์ labia majora จะมีขนาดใหญ่ขึ้นปิด
clitoris เกือบมิด หลังอายุครรภ์40 สัปดาห์แล้ว labia majora จะปิด labia minora และ clitoris ได้มิด
ตามักจะปิด ทารกจะลืมตาได้เองเมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์
ลายฝ่าเท้าจะเริ่มเห็น 1 เส้น เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นตามอายุ เมื่ออายุครรภ์ 40 สัปดาห์ จะเห็นลาย
ที่ส้นเท้าด้วย
ใบหูอ่อนนิ่มและงอพับง่าย เมื่องอพับแล้วจะไม่กลับคืนแต่จะคงรูปไว้แบบนั้นเป็นเวลานาน เนื่องจากกระดูกอ่อนที่ใบหูจะ
เริ่มพัฒนาเมื่ออายุครรภ์ 36 สัปดาห์
เล็บมือและเล็บเท้านิ่มและสั้น เนื่องจากกระดูกยังสร้างไม่สมบูรณ์
ผิวหนังบาง มีกล้ามเนื้อและไขมันใต้ชั้นผิวหนัง (subcutaneous fat) น้อย จะมองเห็นรอยย่นของผิวหนังและเส้นเลือดใต้
ผิวหนังชัดเจน
Reflex มีน้อยทำให้มีโอกาสเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ได้ง่าย ที่สำคัญได้แก
การไอยังไม่ดี ทำให้ไม่สามารถขับเสมหะเองได้ จึงมีโอกาสเกิด
ภาวะพร่องออกซิเจนและเกิดภาวะหยุดหายใจ (Apnea) ได้ง่าย
การดูดกลืนไม่ดีจึงทำให้ทารกยังดูดนมเองไม่ได้
และสำลักนมได้ง่าย มักต้องให้นมทาง OG tube (Orogastric tube)
เสียงร้องเบาหรือไม่ค่อยร้อง
ระบบทางเดินหายใจยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์
กล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครงยังเจริญไม่เต็มที่ กระดูกซี่โครงอ่อน ทำให้ขณะ
หายใจอาจมีการดึงรั้งของกะบังลม (retraction) หายใจไม่สม่ำเสมอ
กลั้นหายใจเป็นระยะ อาการเขียว หยุดหายใจ (apnea) และ
เสียชีวิตได้ง่าย
น้ำหนัก ส่วนมากจะมีน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม
การจำแนกประเภทของทารกเกิดก่อนกำหนด 4 ประเภท
Moderately preterm infant
ทารกที่เกิดระหว่างอายุครรภ์ 32-33 สัปดาห์ 6 วัน ทารกที่เกิดในระยะนี้จะมีปัญหามากขึ้น
Very preterm infant
ทารกที่เกิดระหว่างอายุครรภ์ 28-31 สัปดาห์ 6 วัน
ทารกกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหลายระบบ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง
1.Late preterm infant
ทารกที่เกิดระหว่างอายุครรภ์ 34-36 สัปดาห์ 6 วัน ทารกกลุ่มนี้มีการเจริญเติบโต
ใกล้เคียงกับทารกครบกำหนด จึงมักไม่ค่อยมีปัญหามากนัก
แต่อาจพบปัญหาเกี่ยวกับ การรับนม การควบคุมอุณหภูมิกาย ภาวะ
น้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะระดับบิลิรูบินในเลือดสูง และพัฒนาการระบบประสาท
Extremely preterm infant
ทารกที่เกิดระหว่างอายุครรภ์ 24-27 สัปดาห์ 6 วัน ทารกกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อ
การเกิดปัญหาหลายระบบ
มีปัญหาการดูดกลืน ความสามารถในการรับนมมีน้อย และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงที่สุด
1.2 การพยาบาลทารกเกิดก่อนกำหนด
และทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อย
การพยาบาล
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique โดย ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังที่ สัมผัสหรือให้การพยาบาลทารก
ดูแลความสะอาดร่างกายทั่วไป โดยเช็ดตัวทุกวัน และเปลี่ยนผ้าเมื่อทารกปัสสาวะหรืออุจจาระ และควรซับให้แห้งทุกครั้ง
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น อุณหภูมิร่างกายต่ำหรือสูง ร้องกวน
สังเกตอาการและอาการแสดงต่างๆ ที่ผิดปกติ เช่น หายใจเร็ว หยุดหายใจกลั้นหายใจ
หรือเขียววัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดงที่ผิวหนัง ได้น้อยกว่า 88% รายงานแพทย์
การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกเกิดก่อนกำหนด (Developmental care)
ประเมินน้ำหนักตัวทุกวัน เพื่อติดตามการเจริญเติบโตและการได้รับสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
การจัดการความปวดและความเครียด (pain and stress management)
ประเมินสัญญาณชีพและค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ทุก 4 ชั่วโมง
การส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
การป้องกันการติดเชื้อ ผู้ให้การพยาบาลควรให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดมือ 7 ขั้นตอน และ 5 moments
ปัญหาที่พบบ่อยในทารกเกิดก่อนกำหนด
2.2 ภาวะหยุดหายใจในทารกแรกเกิด
(Apnea of prematurity, AOP)
อาการและอาการแสดง
อัตราการเต้นของหัวใจลดลง
(bradycardia) หลังจากนั้นจะมีอาการหยุดหายใจนานมากกว่า 20 วินาที
ส่วนมากจะพบอาการในช่วงที่ทารกมีการหลับตื้น (active sleep)
มักมีอาการใน 2-7 วันหลังคลอด ระยะแรกจะมีค่าออกซิเจนในเลือดลดลง (desaturation)
การวินิจฉัย
ทารกมีภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิด หรือเป็นทารกเกิดก่อนกำหนด
การตรวจร่างกาย มีการหยุดหายใจนานเกิน 20 วินาที
การซักประวัติ ได้แก่ ประวัติมารดามีไข้ มีเลือดออกก่อนคลอด ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดนานมากกว่า 18 ชั่วโมง
นิยาม
ภาวะหยุดหายใจในทารกแรกเกิด หมายถึง ภาวะที่มีการหยุดหายใจนานมากกว่า 20 วินาที หรือน้อยกว่า 20 วินาทีร่วมกับ
มีภาวะเขียว หัวใจเต้นช้าลงและมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง
การรักษา
การให้ออกซิเจนตามอาการ
การให้ยากระตุ้นให้มีการหายใจอย่างสม่ำเสมอ
การรักษาที่สาเหตุ เช่น ทารกมีภาวะขาดสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
การพยาบาล
ควบคุมอุณหภูมิกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด
การพยาบาลขั้นแรกที่ต้องทำ คือ การป้องกันการหยุดหายใจโดยการจัดท่าให้ทางเดินหายใจอยู่ในแนวตรง ไม่หักพับ
ส่งเสริมให้มารดามีส่วนร่วมในการดูแลทารก
เมื่อพบทารกหยุดหายใจ จะต้องกระตุ้นโดยการลูบเบาๆ บริเวณหน้าอก
ติดตามสัญญาณชีพ และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดทุก 4-6 ชั่วโมง
ประเภท
Obstructive apnea หมายถึง ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกและกะบังลม แต่ไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก
Mixed apnea เกิดจากมีทั้ง central และ obstructive apnea
Central apnea หมายถึง ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม และไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก
2.6 ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ
(Hypothermia)
นิยาม
ภาวะที่ทารกมีอุณหภูมิกายต่ำกว่า 36.5˚c วัดทางรักแร้หรือทวารหนัก
Mild hypothermia อุณหภูมิกายอยู่ระหว่าง 36-36.4˚c
Moderate hypothermia อุณหภูมิกายอยู่ระหว่าง 32-35.9˚c
Severe hypothermia อุณหภูมิกายต่ำกว่า 32˚c
อาการและอาการแสดง
ดูดนมไม่ดี (poor feeding) ทดสอบโดยให้ดูดนม infant formular 7-10 ml/kg - Cyanosis - Desaturation
Tachypnea - Bradycardia - Apnea
การพยาบาล
การติดตามและบันทึกอุณหภูมิกายทารกทุก 4-6 ชั่วโมง
การจัดสภาพแวดล้อม การควบคุมให้อุณหภูมิห้องคงที่ ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ 25-26˚c (ถ้าทารกอยู่ในตู้อบทุกคน) และ 27-28˚c (ถ้าทารกบางคนอยู่ใน crib)
การดูแลประจำวัน ทารกแรกเกิดวันแรกไม่ต้องอาบน้ำ ยกเว้นมีอาการติดเชื้อ วันที่ 2 อาบน้ำได้
การเคลื่อนย้ายทารกกระทำภายใต้การควบคุมอุณหภูมิสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การสวมเสื้อผ้า ห่อตัวด้วยผ้า
2.1 ภาวะหายใจเร็วชั่วคราวในทารกแรกเกิด
(Transient tachypnea of newborn, TTNB)
นิยาม
ภาวะหายใจเร็วชั่วคราวในทารกแรกเกิด หมายถึง ทารกมีอัตราการหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที ร่วมกับมีการหายใจผิดปกติ เช่น ปีกจมูกบาน หายใจออกเสียงดัง หน้าอกบุ๋ม ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการเขียวหรือหยุดหายใจ
สาเหตุ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหายใจเร็วชั่วคราว
ได้แก่ มารดา ได้รับยากล่อมประสาทหรือยาระงับความรู้สึก ภาวะเบาหวานในมารดา การผ่าตัดคลอด มารดาได้รับสารน้ำ มากกว่าปกติ การขาดออกซิเจนในระยะใกล้คลอด
มีน้ำเหลืออยู่ในปอดทารกได้มากกว่าปกติและต้องใช้เวลาในการดูดซึมออกจากปอดนานขึ้น เป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุดในทารกที่มีความผิดปกติของการหายใจ พบได้ทั้งในทารกที่ครบกำหนดและก่อนกำหนด พบมากในทารกอายุครรภ์ ≥35 สัปดาห์
การวินิจฉัย
CXR
อาจพบ increased interstitial lung marking, pleural effusion
การพยาบาล
ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก จัดท่านอนให้ทางเดินหายใจตรงเพื่อให้อากาศเข้าปอดได้เต็มที่ เปลี่ยนท่านอนได้บ้าง
ดูดเสมหะหรือเคาะปอดในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
ควบคุมอุณหภูมิกายให้อยู่ในระดับปกติ
ประเมินสัญญาณชีพ ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ตามความเหมาะสม สังเกตลักษณะการหายใจ
ดูแลให้มีสมดุลของสารน้ำและ electrolyte
ป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน
ส่งเสริมสัมพันธภาพของมารดาและทารก
อาการและอาการแสดง
ทารกที่มีปัญหาหายใจเร็วชั่วคราวอาจมีอัตราการหายใจมากกว่า 100 ครั้ง/นาที
มีหน้าอกบุ๋มขณะหายใจเข้า หายใจออกมีเสียงดัง อาการเขียว
ทารกที่มีคะแนน Apgar score ≤5 ส่วนใหญ่จะมีปัญหาหายใจเร็วชั่วคราว
มักมีอาการภายใน 6 ชั่วโมงหลังคลอด
การรักษา : รักษาตามอาการ
2.8 ภาวะลำไส้เน่าตาย
(Necrotizing enterocolitis : NEC)
นิยาม
ภาวะที่เนื้อเยื่อทางเดินอาหารมีการอักเสบหรือเน่าตาย เนื่องจากขาดเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยง
อาการ / อาการแสดง
ท้องอืด อาเจียน มีไข้ ซึม ถ่ายเป็นเลือด ความดันโลหิตต่ำ ช็อค ถ้ารุนแรงอาจเสียชีวิตได้
การวินิจฉัย
การซักประวัติ เกิดก่อนกำหนด Apgar score ต่ำ มีการติดเชื้อในร่างกาย หรือได้รับนมที่เข้มข้น
การตรวจร่างกาย พบว่ามีอาการท้องแข็งตึง อาเจียนหลังได้รับนม อุจจาระเป็นเลือด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบ stool occult blood
ภาพถ่ายรังสีที่ท้อง พบ bowel dilated
สาเหตุ
เกิดจากภาวะขาดออกซิเจนก่อนคลอด ขณะคลอดหรือหลังคลอด
ได้รับนมที่มีความเข้มข้นมากเกินไป
ภาวะเลือดข้น (polycythemia)
มีการติดเชื้อในลำไส้
การรักษา
การรักษาตามอาการ ได้แก่ งดนม ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ใส่ OG tube ระบายลมและ gastric content ออกจากกระเพาะอาหาร
การผ่าตัดในกรณีที่รักษาตามอาการแล้วไม่ดีขึ้น
การพยาบาล
NPO เพื่อลดการทำงานของทางเดินอาหาร
ใส่ OG tube ดูด gastric content ออกจนหมด เพื่อบรรเทาอาการท้องอืด
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำทดแทนในระยะที่งดนม
ให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
2.7 ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในทารกแรกเกิด
(Neonatal hypoglycemia)
นิยาม
ภาวะที่ทารกแรกเกิดมีระดับน้ำตาลในเลือด (blood glucose) ต่ำกว่า 40 มก/ดล
ทารกกลุ่มเสี่ยง ได้แก่
ทารกเกิดก่อนกำหนดหรือทารกที่มีน้ำหนักน้อย
มารดามีความผิดปกติขณะตั้งครรภ์ เช่น เบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ ได้รับยาบางชนิด
ทารกมีความผิดปกติ เช่น มีภาวะขาดออกซิเจน มีการติดเชื้อ
อาการแสดง
ในบางคนอาจไม่แสดงอาการ และหากมีอาการ สามารถเป็นได้ตั้งแต่ กระวนกระวาย หงุดหงิด เฉื่อยชา ง่วงซึม โคม่า หายใจเร็ว หยุดหายใจ เขียว อุณหภูมิร่างกายต่ำหรือไม่คงที่ ความตึงตัวของกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีอาการชัก
การวินิจฉัย
การซักประวัติ เช่น ประวัติโรคประจำตัวของมารดา ประวัติการคลอด
การตรวจร่างกายทารก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
ให้สารอาหารและพลังงาน ในกรณีที่มีอาการไม่ซับซ้อนเพียงให้กินอาหารเสริมและเจลน้ำตาล ในกรณีที่มีอาการชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากค่าน้ำตาลในเลือดไม่ได้เป็นปกติด้วยการให้อาหาร
การพยาบาล
ประเมินระดับน้ำตาลในเลือดในทารกที่เป็นกลุ่ม
ดูแลให้มีระดับน้ำตาลในเลือด 40-100 มก/ดล โดยให้นมแม่หรือนมผสมสำหรับทารกแรกเกิด (premature formula)
ควบคุมอุณหภูมิกายทารกให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ส่งเสริมให้มารดาทำ Kangaroo care และให้นมแม่เร็วที่สุด
ติดตามสัญญาณชีพทุก 4-6 ชั่วโมง
2.5 ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง
(Bronchopulmonary dysplasia, BPD)
นิยาม
อาการของโรคปอดเรื้อรังในทารกที่ยังคงต้องการออกซิเจนช่วยในการหายใจอยู่ เมื่อนำออกซิเจนออกจะมีภาวะขาดออกซิเจน
สาเหตุ ส่วนใหญ่ทารกกลุ่มนี้มักมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากปอดยังเจริญไม่เต็มที่ ต้องให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูงหรือให้เป็นเวลานาน
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย ฟังปอดมีเสียง wheeze
การซักประวัติ ได้แก่ ทารกเกิดก่อนกำหนด ได้รับออกซิเจนเป็นเวลานาน
ภาพถ่ายรังสีทรวงอก พบจุดฝ้าขาวกระจายทั่วไปในปอด
การรักษา
การให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ ยาขับปัสสาวะ corticosteroid
การให้สารอาหารที่จำเป็น การให้วิตามินเอ เกลือแร่กลุ่มสังกะสี ทองแดง เซเลเนียม เพื่อให้มีการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ
ให้ออกซิเจนความเข้มข้นต่ำที่สุด เท่าที่ทารกรับได้ช่วยให้ทารกหย่าออกซิเจนให้เร็วที่สุด
การพยาบาล
ประเมินลักษณะการหายใจที่ผิดปกติ เช่น หายใจเหนื่อย หอบ มี retraction อาการเขียว
จัดท่านอนหงายราบ ใช้ผ้าบางๆ หนุนใต้ไหล่ ศีรษะแหงนเล็กน้อย
ประเมินสัญญาณชีพและค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดทุก 4-6 ชั่วโมง
2.10 จอประสาทตาผิดปกติในทารกเกิดก่อนกำหนด
(Retinopathy of prematurity, ROP)
การรักษา
Laser photocoagulation เป็นการใช้เลเซอร์จี้บริเวณที่ยังไม่มีเส้นเลือดเพื่อยับยั้งการเกิดใหม่ของเส้นเลือดที่ผิดปกติและการดึงรั้งของจอประสาทตา
Cryotherapy เป็นการจี้เส้นเลือดด้วยความเย็น
Vitrectomy เป็นการผ่าตัดน้ำวุ้นลูกตา กรณีที่จอประสาทตาหลุดลอกแล้ว
สาเหตุ
การเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ตาในทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาจะเริ่มจากขั้วประสาทตา (optic disc) ซึ่งอยู่จุดกลางจอตา
เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ หลอดเลือดจะแตกสาขาไปจนถึงขอบจอตา (peripheral retina) ขยายมาเรื่อยๆ จนถึงขอบจอตาด้าน
ในเมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะขยายมาจนถึงขอบจอตาด้านนอก (temporal) จนสมบูรณ์หลัง 38 สัปดาห์แล้ว
นิยาม :
ภาวะที่มีความผิดปกติของเส้นเลือดที่จอประสาทตาในทารกเกิดก่อนกำหนด
ภาวะแทรกซ้อน
สายตาสั้น
ต้อหิน
ตาขี้เกียจ
ตาเข
การหลุดลอกของจอประสาทตา
ทารกที่มีภาวะเสี่ยง
ทารกที่อายุครรภ์น้อยกว่า 30 สัปดาห์
น้ำหนักต่ำกว่า 1,500 กรัม
ทารกที่ใส่ท่อช่วยหายใจที่ต้องใช้ออกซิเจนความเข้มข้นสูง หรือใช้ออกซิเจนเป็นเวลานาน
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา ไม่ให้ออกซิเจนถ้าไม่จำเป็น
ประเมินสัญญาณชีพและค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดให้อยู่ในค่าที่เหมาะสมกับทารกแต่ละราย
ดูแลให้ได้รับการตรวจรักษาตามแผนการรักษา
2.4 ภาวะสูดสำลักขี้เทา
(Meconium aspiration syndrome, MAS)
นิยาม
ขี้เทา (meconium) เป็นสิ่งที่ทารกขับถ่ายออกมาครั้งแรกหลังเกิด ประกอบด้วยสารต่างๆ ที่ถูกย่อยระหว่างทารกอยู่ใน ครรภ์มารดา ที่อยู่ในลำไส้ น้ำดีปกติทารกจะถ่ายขี้เทาหลังคลอด
สาเหตุ
เกิดจากภาวะขาดออกซิเจน ทำให้หูรูดที่ลำไส้ใหญ่คลายตัว เมื่อลำไส้มีการบีบตัวจะทำให้ขี้เทาที่อยู่ในลำไส้ถูกบีบออกมา ปนกับน้ำคร่ำ ทารกจะหายใจเอาน้ำคร่ำที่มีขี้เทาเข้าไปที่ปอด
อาการและอาการแสดง
หายใจหอบ เขียว ถ้าอาการรุนแรงอาจเสียชีวิตได้
การวินิจฉัย
เมื่อทารกคลอดออกมาพบขี้เทาปนกับน้ำคร่ำ ที่ตัวทารก สายสะดือ เล็บ
การตรวจร่างกาย ทารกหายใจเร็วตื้น ฟังปอดได้ยินเสียง rales หรือ rhonchi
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, Hemoculture, Blood gas
ภาพถ่ายรังสีทรวงอก
การรักษา
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนเพียงพอ
ดูแลร่างกายทารกให้อบอุ่น
ให้ยาปฏิชีวนะกรณีที่มีการติดเชื้อ
ให้สารลดแรงตึงผิวตามความเหมาะสม
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพและค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดทุก 4-6 ชั่วโมง
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ เปลี่ยนแปลง
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง เพื่อป้องกันการสำลักขี้เทาเข้าในทางเดินหายใจ
2.3 ภาวะหายใจลำบากในทารกเกิดก่อนกำหนด
(Respiratory distress syndrome, RDS)
นิยาม
ภาวะหายใจลำบาก หมายถึง กลุ่มอาการหายใจลำบากในทารกเกิดก่อนกำหนด เนื่องจากปอดขาดสารลดแรงตึงผิว (surfactane)
อาการและอาการแสดง
อาการที่พบบ่อย : หายใจเร็วมากกว่า 60 ครั้ง/นาที ปีกจมูกบาน เหนื่อยหอบ หายใจออกมีเสียงดัง เขียว ซีดลง
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ อาจเป็นทารกเกิดก่อนกำหนด หรือมารดาเป็นโรคขณะตั้งครรภ์
การตรวจร่างกาย มีอาการของการหายใจลำบาก เช่น หายใจเร็ว หอบ
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและค่าก๊าซในเลือด
ภาวะแทรกซ้อน
มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pneumothorax) , การติดเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ได้แก่ BPD, ROP มีความผิดปกติของระบบประสาท มีพัฒนาการล่าช้า
ภาวะเลือดออกในสมอง (Intraventricular hemorrhage)
การรักษา
การให้ออกซิเจน (Oxygen therapy)
การให้สารลดแรงตึงผิว , การควบคุมอุณหภูมิกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การป้องกันการติดเชื้อ
ปัจจัยเสี่ยง
Preterm ทารกเกิดก่อนกำหนดมีโอกาสเป็น RDS ได้มาก
ภาวะขาดออกซิเจนปริกำเนิด (perinatal asphyxia)
มีสิ่งแปลกปลอมในถุงลม เช่น ขี้เทา น้ำคร่ำ
ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น ไม่มีโปรตีนที่ใช้สร้าง surfactant
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพและค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ลักษณะการหายใจ
จัดท่านอนให้นอนคว่ำถ้าไม่มีข้อจำกัด จะช่วยให้หลับได้นานขึ้น
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา ประเมินค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดทุก 4-6 ชั่วโมง
สาเหตุ
ทารกเกิดก่อนกำหนดจะมีโครงสร้างและการทำงานของปอดยังไม่สมบูรณ์ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทรวงอกและกระบัง
ลมยังไม่สมบูรณ์ กระดูกซี่โครงไม่แข็งแรง จมูกและหลอดลมมีขนาดเล็ก cough reflex น้อย ศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองส่วน medulla เจริญไม่เต็มที่
2.11 การติดเชื้อในทารกแรกเกิด
(Neonatal sepsis)
การติดเชื้อแบคทีเรียแบ่งได้ 2 ระยะ
การติดเชื้อในระยะแรก (Early onset sepsis) เป็นการติดเชื้อภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิด โดยส่วนใหญ่มักเป็นการติด
เชื้อโรคที่อยู่ในน้ำคร่ำหรือช่องคลอดของมารดา
การติดเชื้อในระยะหลัง (Late onset sepsis) เป็นการติดเชื้อหลังเกิด 72 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะเป็นการติดเชื้อในโรงพยาบาล
การวิจฉัย
การเพาะเชื้อจากเลือด (blood culture)
การเพาะเชื้อจากน้ำไขสันหลัง (CSF exam & culture) ในรายที่มีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก
การเพาะเชื้อจากปัสสาวะ (urine culture)
การเพาะเชื้อจากเสมหะ
การตรวจเลือด CBC, C- reactive protein
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะหรือยาทำลายเชื้อต้นเหตุ
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
อาการระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ tachycardia, bradycardia, hypotension, poor tissue perfusion
อาการระบบหายใจ ได้แก่ tachypnea, cyanosis, apnea, grunting, desaturation
อาการระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ท้องอืด อาเจียน ถ่ายเหลว รับนมไม่ได้
อาการระบบประสาท ได้แก่ ดูดนมไม่ดี ซึม กระสับกระส่าย ชัก
อาการทางผิวหนัง ได้แก่ ผิวหนังอักเสบ มีตุ่มหนอง
อาการตัวเหลือง พบในรายที่ติดเชื้อรุนแรง อาจพบมีตับม้ามโต
อุณหภูมิกายไม่คงที่ อาจมี hypothermia, hyperthermia
อาการทางเมตาบอลิสม ได้แก่ hypo/hyperglycemia ภาวะเลือดเป็นกรด
อาการทางระบบโลหิต ได้แก่ มีจุดเลือดออก จ้ำเลือดตามร่างกาย เลือดหยุดยาก neutropenia (ANC < 1,000 mm3)
การพยาบาล
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก aseptic technique ป้องกันการติดเชื้อ
ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 – 6 ชั่วโมง และประเมินอาการติดเชื้อ ให้การดูแลรวดเร็ว
เก็บสิ่งส่งตรวจ เช่น เลือดส่งเพาะเชื้อ ปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่งต่างๆ
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา ประเมินผลหลังให้ยาและสังเกตผลข้างเคียงของยา ถ้ามีรายงานแพทย์
2.9 ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง
(Hyperbilirubinemia)
นิยาม
ภาวะที่มีระดับบิลิรูบินในซีรัมสูงกว่า 5 มิลิกรัม ต่อเดซิลิตร
(Total serum bilirubin > 5 mg/dl)
แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
Physiological jaundice พบมาก มักมีอาการหลัง 24 ชั่วโมง เป็นภาวะตัวเหลืองที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
Pathological jaundice มักมีอาการภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
อาการ / อาการแสดง
อาการเหลือง จะพบอาการเหลืองเริ่มจากใบหน้า เยื่อบุตาขาว ลำตัว แขนขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
2.ทารกเกิดก่อนกำหนดมีผิวหนังบาง ทำให้เห็นอาการเหลืองมากกว่าทารกครบกำหนดที่มีระดับบิลิรูบินเท่ากัน
การรักษา :
การส่องไฟ (phototherapy) เป็นการใช้พลังงานจากแสงไฟทำให้ unconjugated bilirubin เปลี่ยนเป็น conjugated bilirubin ที่ละลายน้ำได้ และขับออกจากร่างกายได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการ conjugate ที่ตับ
ภาวะแทรกซ้อนจากการส่องไฟ
Dehydration จากการสูญเสียน้ำจากร่างกายเพิ่มขึ้นขณะส่องไฟ
อันตรายกับดวงตา แสงไฟอาจทำให้ตาบอดได้ เนื่องจากมีการระคายเคืองของแสงไฟต่อจอตา
Hyperthermia การส่องไฟอาจทำให้อุณหภูมิกายทารกสูงขึ้น
การพยาบาลทารกที่ได้รับการส่องไฟ
ปิดตาทารกให้สนิทด้วยวัสดุทึบแสงตลอดเวลาที่รักษาด้วยการส่องไฟ เช็ดตาและเปลี่ยนผ้าปิดตาอย่างน้อยวันละครั้ง
ถอดเสื้อผ้าทารก ให้ใส่เฉพาะผ้าอ้อม เพื่อให้ผิวทารกสัมผัสกับแสงไฟมากที่สุด
วางทารกห่างจากหลอดไฟประมาณ 30-40 ซม. ให้ผิวกายทารกสัมผัสแสงให้มากที่สุด
กัญญารัตน์ ภู่แจ้ง เลขที่ 51 รหัสนักศึกษา 631001404152