Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 5 การพยาบาลมารดาที่มีโรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์, วิภาดา…
หน่วยที่ 5 การพยาบาลมารดาที่มีโรคติดเชื้อร่วมกับการตั้งครรภ์
Hepatitis B
การเปลี่ยนแปลงค่าการทํางานของตับในระหว่างตั้งครรภ์
มีการเพิ่มขึ้นของค่า Alkaline phosphatase (ALP) จากการสร้างของรก
มีการเพิ่มขึ้นของค่า Alpha-fetoprotein (AFP) สร้างจากตับของทารก
มีค่า clotting factors และ fibrinogen เพิ่มขึ้น เนื่องจาก ในขณะตั้งครรภ์เลือดอยู่ในภาวะ hypercoagulable state
Total protein และ albumin จะลดลง เนื่องจากมี hemodilution ขณะตั้งครรภ์และมีการส่งผ่านรกไปยังทารก
การดำเนินโรค
การติดเชื้อเรื้อรัง (chronic hepatitis B infection)
ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นระยะเวลามากกว่า 6 เดือน
ตับแข็งระยะต้น (compensated cirrhosis)
ตับแข็งที่ยังไม่แสดงอาการทางคลินิก
การติดเชื้อเฉียบพลัน (acute hepatitis B infection)
ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นระยะเวลาน้อยกว่า 6 เดือน
ตับแข็งระยะท้าย (decompensated cirrhosis)
ตับแข็งที่แสดงอาการทางคลินิก
ท้องมานน้ำ
ตัวเหลือง ตาเหลือง
ผลจากการตรวจเลือด
HBsAg
ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
HBeAg
ความสามารถในการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี (Viral replication)
Anti HBc
เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อไวรัสตับอักเสบบี บอกถึงการเคยติดเชื้อไวรัสบี
Anti HBc-IgM
พบในตับอักเสบเฉียบพลัน
Anti HBc-IgG
พบได้ทั้งในตับอักเสบเฉียบพลัน, เรื้อรัง
Anti HBe
พบหลังจากตรวจไม่พบ HBeAg ในเลือดแล้ว
Anti HBs
พบหลังจากตรวจไม่พบ HBsAg ในเลือดแล้ว หรือเป็นภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบ
การแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาไปสู่ทารก
มักติดเชื้อขณะคลอด ทารกจะกลืนหรือสําลักนํ้าครํ่า และนํ้าในช่องคลอดที่มี เลือดของมารดาปนอยู่มากพอสมควร
การติดเชื้อหลังคลอด
ทารกอาจได้รับเชื้อจากมารดาระหว่างการเลี้ยงดู
มี HBsAg ปะปน ในนํ้าลายและสารคัดหลั่งต่าง ๆ ของมารดา
ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์
ผลต่อมารดา
ช่วงไตรมาสแรกมีโอกาสแพร่เชื้อสู่ทารกประมาณ 10%
ช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ แพร่เชื้อสู่ทารก ประมาณ 80-90 %
มารดาสามารถตั้งครรภ์ต่อไปจนครบกําหนดโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ผลต่อทารก
มีผลต่อทารกโดยตรง หากทําให้ติดเชื้อไวรัสตั้งแต่กําเนิด กลายเป็นพาหะ
อาจทําให้เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ตลอดจนมะเร็งตับในระยะ 10-25 ปีต่อมา
การรักษา
การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีสําหรับสมาชิกในครอบครัวของสตรีตั้งครรภ์ และการให้วัคซีนป้องกัน
สตรีตั้งครรภ์ที่มีระดับปริมาณไวรัสในเลือดมากกว่า 2,000,000IU/ทาI ให้ยา telbivudine หรือ tenofovir เมื่ออายุครรภ์ 24-32 สัปดาห์ จนถึงคลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
สามารถทํางานได้ตามปกติ แต่ไม่ควรทํางานเครียดจนไม่มีเวลาพักผ่อน
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมัน งดดื่มของมึนเมาทุกชนิด
แนะนําหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ
ให้คําแนะนําการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่บุคคลใกล้ชิด
แนะนําให้พาบุคคลที่ใกล้ชิดในครอบครัวมาตรวจเลือด หากไม่มีภูมิคุ้มกันโรคแนะนําให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
มาตรวจครรภ์ตามนัดอย่างสมํ่าเสมอ
กรณีสตรีตั้งครรภ์มีภาวะตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน
ให้การดูแลโดยการได้รับสารนํ้าตามแผนการรักษา
การดูแลความสุขสบายทั่วไป
พักผ่อนให้เพียงพอ
ป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโดยการแยกของใช้และทําการฆ่าเชื้อด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อ
ระยะคลอด
การคลอดใช้วิธีการคลอดทางช่องคลอดเป็นหลัก การผ่าตัดคลอดใช้เมื่อมีข้อบ่งชื้ทางสูติศาสตร์
หลีกเลี่ยงการเจาะถุงน้ำครํ่า ควรชะลอให้นานที่สุดเท่าที่จะทําได้ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือช่วยคลอด
ชี้หลักการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อตามหลักสากล (universal precaution) ควรให้คลอด ในห้องแยก
เมื่อทารกคลอดรีบดูดมูกออกจากปาก จมูก ให้มากที่สุด อาบนํ้าและทําความสะอาดไม่ให้ เลือดของมารดาเหลืออยู่ ก่อนที่จะนําทารกไปยังห้องทารกแรกเกิด ไม่ต้องแยกทารกจากทารกอื่น
ไม่ควรทําหัตถการใดๆ
ระยะหลังคลอด
ให้นมบุตรได้ ยกเว้นรายที่มารดามีหัวนมแตกหรือมีแผล เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ดูแลทารกให้ได้รับวัคซีนตามแผนการรักษา
hepatitis B immunoglobulin (HBIG)
ให้คําแนะนําแก่มารดาว่าทารกที่ได้รับวัคซีน
แยกของใช้มารดา และแนะนําการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น พร้อมทั้งแนะนําการพาทารกมารับวัคซีนให้ครบ
หัดเยอรมัน
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อมารดาติดเชื้อหัดเยอรมันเป็นครั้งแรกขณะตั้งครรภ์เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระแสเลือด ( viremia) เชื้อจะติดต่อสู่ทารกในครรภ์ผ่านรก
การติดต่อสู่มารดา
เกิดชื้นโดยการสัมผัสโดยตรงต่อสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกและปากของผู้ดิดเชื้อ
อาการและอาการแสดง
มีไข้ตํ่า ๆ ปวดศีรษะ ตาแดง คออักเสบ ไอ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
หลังจากรับเชื้อ 1-5 วัน จะมี ลักษณะผืนแดงเล็ก ๆ (erythematous maculopapular) กระจายจากใบหน้าสู่ลําตัว และขาภายในไม่กีชัวโมง มีอาการคันเล็กน้อย
ผื่นจะเริ่มหายภายใน 1-3 วัน โดยเริ่มจางหายที่บริเวณใบหน้าก่อนลําตัว
ภาวะแทรกซ้อน
ปวดข้อ ข้ออักเสบ
ตับอักเสบ
โลหิตจาง
hemolytic anemia
hemolytic uremic syndrome
การแพร่เชื้อสู่ทารก
ขณะตั้งครรภ์ติดต่อผ่านรกสู่ทารกในครรภ์ได้
ความรุนแรงของโรคและความพิการของทารกขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ที่มีการติดเชื้อ
อายุครรภ์ <11 wks รุนแรงมาก
อาจทําให้เกิดการแท้ง ทารกเลียชีวิตในครรภ์ หรือ พิการโดยกําเนิดได
ผลของการตั้งครรภ์ต่อโรค
ตายคลอด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
แท้งในไตรมาสแรก
สมองเล็ก
ทารกไม่มีอาการแต่แสดงการติดเชื้อภายหลัง
ทารกติดเชื้อหัดเยอรมันพิการแต่กําเนิด
ต้อกระจก ต้อหิน กระบอกตาเล็ก
โรคหัวใจพิการแต่กําเนิด
ความบกพร่องในการได้ยิน หูหนวก
การวินิจฉัย
ตรวจไตเตอร์ของ ภูมิคุ้มกันต่อหัดเยอรมัน
วิธี ELISA
การส่งตรวจ ระดับของ IgG ทันทีที่มีผื่นขึ้น หรือภายใน 7-10 วันหลังผื่นขึ้น
ตรวจระดับของ IgM specific antibody
การพยาบาล
อธิบายการติดเชื้อหัดเยอรมันสู่ทารกโดยการผ่านรก อาจทําให้ทารกพิการถ้าติดเชื้อ เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์แรก ควรให้ครอบครัวพิจารณาเรื่องสิ้นสุดการตั้งครรภ์
แนะนําให้มารับการฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ ในไตรมาสแรก เพื่อค้นหาความผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์และรับการรักษาได้ทันที
แนะนําให้สตรีตั้งครรภ์เจาะเลือดตรวจ rubella titer IgG (HAI titer) เพื่อตรวจความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อหัดเยอรมัน
อธิบายเกี่ยวกับการติดเชื้อหัดเยอรมันสู่มารดาทางลมหายใจ ละอองน้ำลาย ไอ จาม
แนะนําสตรีตั้งครรภ์ในระยะ 1-4 เดือนแรก ไม่เข้าใกล้กับบุคคลที่เป็นหรือสงสัยว่าเป็นหัดเยอรมันและไม่ไปในที่ชุมชน
แนะนํามารดาให้หลีกเลี่ยงจากทารกที่เกิดจากมารดาเป็นหัดเยอรมัน หรือทารกเป็นหัดเยอรมันแต่กําเนิด (congenital rubella syndrome)
แนะนําสตรีตั้งครรภ์ ถ้ามีไข้ และผื่นขึ้นควรปรึกษาแพทย์
แนะนําให้ฉีดวัคซีนหลังคลอด หลังแท้ง หรือระยะทีไม่ได้ตั้งครรภ์ในรายที่ยังไม่มีภูมิด้านทาน
อธิบายถึงการฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน
HSV-2
การแพร่เชื้อ
skin contact
มารดา
Herpetic lesions
ทารก
herpetic lesions
encephalitis
HIV
การแพร่เชื้อ
Sexually
needlestick
มารดา
AIDS Sx
ทารก
Recurrent infections(SCID)
Chornic diarrhea
โรคสุกใส
อาการและอาการแสดง
ไข้ตํ่า ๆ อ่อนเพลีย และผื่น ในเด็กเล็กอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในเด็กและผู้ใหญ่
ลักษณะผื่นเริ่ม แบนราบ (macules) ต่อมา เปลี่ยนเป็นผื่นนูน (papules) ถุงน้ำ (vesicles) และแห้ง เป็นสะเก็ดอย่างรวดเร็ว ลักษณะเฉพาะคือ เป็นตุ่มน้ำตื่น ๆ ผนังบางแตกง่าย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 มิลลิเมตร ลักษณะคล้ายหยดน้ำค้าง มีฐานสืแดงล้อมรอบตุ่มใส ภายใน 24 ชั่วโมงน้ำภายในตุ่มใสจะขุ่น
การติดต่อจากมารดาสู่ทารก
ขณะตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสแรกติดต่อโดยผ่านทางรก
4 วันก่อนคลอด และ 4 วันหลังคลอด มารดาเป็นอีสุก อีใสทารกจะมีอาการรุนแรง
ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคสุกใสระหว่างการตั้งครรภ์ระยะแรกอาจทําให้ทารกพิการแต่กําเนิดได้ ( congenital varicella syndrome)
ทารกที่ได้รับเชื้อในช่วงก่อนหรือระหว่างคลอดอาจทําให้มีการ ติดเชื้อรุนแรงทั่วร่างกายและทําให้ทารกเสียชีวิตได้
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติ
การทํา Tzanck smear เป็นการตรวจเบื้องด้น
การแยกเชื้อไวรัสจากน้ำในตุ่มใส
การตรวจแอนติบอดี โดยทั่วไปไม่จําเป็นต้องตรวจ
การรักษา
ให้การรักษาด้วยยาลดไข้ ถ้ามีอาการคันอาจให้ยากลุ่มแอนติฮิสตามีน หรือทายาคาลาไมน์ หลีกเลี่ยงการเกา
กรณีมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยมักต้องให้ยาปฏิชีวนะ
ในสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อ และตรวจพบว่ายังไม่มีภูมิด้านทานต่อเชื้อโรคสุกใส ควรให้ ภายใน 24-96 ชั่วโมง VZIG
ให้ยา acyclovir
การพยาบาล
สตรีวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับคําแนะนําในการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรคสุกใส ก่อนตั้งครรภ์
สําหรับสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคสุกใสในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ควรได้รับคําปรึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงและการดําเนินการตั้งครรภ์ต่อไป
พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการเกา
วิภาดา ชื่นใจ เลขที่ 37