Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี
(Coronary artery disease, CAD) - Coggle Diagram
โรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี
(Coronary artery disease, CAD)
ความหมาย
ความผิดปกติในโครงสร้างของหลอดเลือดแดงโคโรนารี เนื่องจากหลอดเลือดแดงโคโรนารีที่ไปเลี้ยงหัวใจมีพยาธิสภาพเกิดการตีบแคบหรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ
-
-
พยาธิสรีรวิทยา
- เริ่มจากการอักเสบที่เซลล์บุผนังชั้นในของหลอดเลือด (Endothelium cell) จากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดเกิดเป็น foam cell ซึ่งจะกลายเป็นคราบไขมันสีเหลืองจับตัวในผนังหลอดเลือด (Fatty streaks)
- เมื่อคราบไขมันเกิดการอักเสบและขยายเป็นก้อนใหญ่ขึ้น พร้อมกับกล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle Cells, SMCs) ของผนังหลอดเลือดเกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและเข้าไปรวมตัวกับ foam cell เกิดเป็นพังผืดมาหุ้ม (Fibrous Plaques) ทำให้คราบไขมันหนาตัว
- หลอดเลือดแดงยิ่งแข็งและหนาตัวขึ้น เมื่อคราบไขมันมีแคลเซียมมาสะสมร่วมกับการตายของ SMCs และเซลล์ไขมันอื่นๆ ภายในพังผืด (Fibrous plaques) เพิ่มความหนาและแข็งแก่คราบก้อนไขมันในหลอดเลือดแดง เกิดการตีบแคบของหลอดเลือดแดง ทำให้ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ
อาการและอาการแสดง
- อาการเจ็บแน่น หน้าอก (Angina pectoris)
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เหงื่อออก
- ไข้ อาจมีไข้ขึ้นถึง 38-39 องศา ได้ภายใน 24 ชั่งโมงแรก
- อาการทางหัวใจและหลอดเลือด คือ ความดันโลหิตลดต่ำลงจากปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ (cardiac output) ที่ลดลง ปัสสาวะออกน้อยลง ฟังเสียงปอดได้ยินเสียง Crackles
การประเมินภาวะสุขภาพ
- การซักประวัติที่สำคัญ คือ ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบันและลักษณะอาการเจ็บหน้าอกอย่างละเอียด
- การตรวจร่างกายในภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ
เป็นการประเมินสภาวะสุขภาพของผู้ป่วย (Health status) และติดตามประเมินความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเกิดขึ้น
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- การตรวจเลือดหาเอนไซม์หัวใจ (serum cardiac enzyme)
- ไขมันในเลือด (serum lipid) ระดับไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยประเมินระดับ cholesterol, triglyceride, lipoprotein, HDL และ LDL ถ้าระดับ cholesterol, triglyceride, lipoprotein และ LDL สูง ประกอบกับระดับ HDL ต่ำ จะมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
การตรวจวินิจฉัย
- การตรวจทางรังสี
- การตรวจภาพรังสี (Chest X-ray, CXR)
- การสวนและการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac catheterization หรือ Coronary angiography)
เป็นการตรวจที่ใส่สายเข้าไปในหลอดเลือด (Invasive)
- Graphic procedure
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (Exercise stress testing)
- การตรวจคลื่นสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram)
- การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (Nuclear Study/ Radionuclide Imaging) เช่น การตรวจ Thallium Scan เพื่อประเมินบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจตายและ/หรือการขาดเลือด
- การตรวจ Magnetic Resonance Imaging (MRI) เป็นการตรวจดูโครงสร้างของหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ภาวะแทรกซ้อน
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia)
- ภาวะช็อคจากหัวใจ (Cardiogenic shock)
- ภาวะหัวใจห้องล่างแตก (Cardiac rupture)
- ภาวะหัวใจล้มเหลวและปอดบวมน้ำ (Heart failure and pulmonary edema)
- ผนังของหัวใจห้องล่างโป่งพอง (Ventricular aneurysm)
- รูทะลุระหว่างห้องหัวใจ (Rupture interventricular septum)
- ลิ้นหัวใจไมตรัลรั่ว (Mitral regurgitation)
- กลุ่มอาการหลังกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Post myocardial infarction syndrome or Dressler’s syndrome)
-
การพยาบาล
ขณะอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งเริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยถึงโรงพยาบาล โดย
- ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ วางแผนกิจกรรมที่รบกวนผู้ป่วยน้อยที่สุด โดยเฉพาะ 24 ชั่วโมงแรก แต่ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนจากการไม่เคลื่อนไหว เช่น ความดันโลหิตต่ำ กล้ามเนื้อเล็กลีบ ดังนั้นการให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวโดยเร็วที่สุด (early ambulation) จะส่งผลดีทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ดังนี้
- 24 ชั่วโมงแรก ดูแลให้ผู้ป่วยนอนพักอยู่บนเตียง (absolute bedrest) และช่วยเหลือกิจกรรม โดยไม่ให้
ผู้ป่วยออกแรงด้วยตนเอง
- ภายหลัง 24 ชั่วโมงแรกในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และสัญญาณชีพปกติ แพทย์มักจะอนุญาตให้รับประทานอาหารได้เอง พลิกตัวเอง ลุกนั่งเองได้ให้เหยียดเท้าและงอขาบ่อยๆ เพื่อป้องกันเลือดคั่งและการอุดตันในหลอดเลือด
- ภายหลัง 48 ชั่วโมงแรกในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และสัญญาณชีพปกติ ให้ผู้ป่วยนั่งห้อยเท้าข้างเตียง
เป็นเวลาสั้นๆ ลุกยืนแล้วเดินไปรอบเตียงเป็นเวลา 15-20 นาที ถ้าไม่มีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น หรือความดันโลหิตต่ำ สามารถเพิ่มกิจกรรมทีละน้อยซึ่งขึ้นกับความทนของผู้ป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หัวใจทำงานหนัก
- ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่เหมาะสม อาหารที่เหมาะสมในช่วง 48 ชั่วโมงแรกเป็นอาหารเหลว จากนั้นให้เป็นอาหารอ่อนวันละ 1,200 แคลอรี มีโซเดียมได้เล็กน้อยเพียง 2-3 กรัม หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็นจัด เพราะจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติและเมื่ออาการดีขึ้นอาจให้อาหารธรรมดาที่โคเลสเตอรอลต่ำ