Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

25.วิวัฒนาการ (Biology) - Coggle Diagram

- - - - 1;กฎการใช้และไม่ใช้
        
        1,สิ่งแวดล้อมมีผลต่อโครงสร้างของสัตว์ โดย
        
        อวัยวะใดใช้บ่อยจะใหญ่ขึ้น เช่น เมื่อก่อนยีราฟคอสั้น แต่ต้องกินใบไม้จากที่สูงทำให้คอยาวขึ้น
        
        2,อวัยวะที่ไม่ค่อยได้ใช้จะเสื่อมสภาพและหายไปในที่สุด เช่น เมื่อก่อนงูมีขาแต่การเลื้อยให้เร็วไม่ต่องใช้ขา
      - 2;กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะ
        ที่เกิดขึ้นใหม่
        
        1,จะเกิดการส่งต่ออวัยวะที่เปลี่ยนไปหรือหายไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปได้ผ่านทางพันธุกรรม
    - - 1;กฎข้อที่ 1 ไม่สามารถใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นพืช
      - 2;ออกัส ไวส์มาน ได้คัดค้านกฎข้อที่ 2
        
        โดยทดลองตัดหางหนู 20 รุ่น แล้วพบว่าหนูทุกรุ่นยังมีหางยาวเหมือนเดิม ซึ่งขัดกับกฎข้อ 2
  - - - 2:เช่น เมื่อก่อนยีราฟมีทั้งคอสั้นและคอยาว แต่ยีราฟคอสั้นถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติว่าไม่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมจึงต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด
      - 1:มีหลักการ ดังนี้
        
        4 = ถ้าความแปรผันของลักษณะใดเหมาะสมต่อสิ่งแวดล้อมก็จะทำให้สามารถส่งต่อไปได้
        
        2 = สิ่งมีชีวิตจะต้องมีการต่อสู้เพื่ออยู่รอด เพราะสิ่งมีชีวิตแต่ละรุ่นมีจำนวนเกือบคงที่ ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งต้องตายไปก่อน
        
        5 = เวลาผ่านไปนานๆ จะทำให้เกิด
        ความแตกต่างของสปีชี่ส์เดิมขึ้นและมีมากจนเกิดเป็นสปีชี่ส์ใหม่ได้
        
        3 = สิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์มีความแปรผันของลักษณะแตกต่างกันไป
        
        6 = ผลจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติจะทำให้มีการปรับตัว และทำให้เกิดวิวัฒนาการต่อไป
        
        1 = สิ่งมีชีวิตจะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วแบบ
        อนุกรมเรขาคณิต ในขณะที่ทรัพยากรมีจำนวนจำกัด
- - - - 1 ;หลักการ คือ จำนวนความถี่ของอัลลีลและความถี่ของจีโนไทป์ในยีนพูลของประชากรจะคงที่เสมอ
        
        ถ้าประชากรมีสมบัติ ดังนี้
        
        2 ,การผสมพันธ์ุเป็นแบบสุ่ม ไม่มีการเจาะจงคู่
        
        4 ,ไม่มีการคัดเลือกตามธรรมชาติ
        
        3 ,ไม่มีความแปรผันทางพันธุกรรม (Mutation)
        
        5 ,ไม่มีการอพยพเข้าและอพยพออก
        
        1 ,ประชากรมีขนาดใหญ่
      - 2 ;ความถี่ของอีลลีล
        
        เป็นอัตราส่วนของแอลลีลชนิดหนึ่งต่อจำนวนของแอลลีลทั้งหมดในยีนพูล
      - 3 ;ความถี่ของจีโนไทป์
        
        เป็นอัตราส่วนของจีโนไทป์ชนิดใดชนิดหนึ่งต่อจำนวนจีโนไทป์ทั้งหมดในประชากร
      - 4 ;ประชากรที่มีอัตราส่วนของยีนและจีโนไทป์คงที่
        
        เรียกว่า ประชากรที่สมดุล
      - 5 ;จากสมดุลของอาร์ดีและไวน์เบิร์ก สามารถหาความถี่ของจีโนไทป์
        ได้จากความถี่ของอัลลีล
        
        1,โดยสมมติว่ายีน 1 คู่ ซึ่งมี 2 อัลลีล
        คือ A , a ความถี่อัลลีล เป็น p , q ตามลำดับ
        
        ดังนั้น p + q = 1
        
        2, ตัวอย่าง ประชากรจังหวัดหนึ่งซึ่งอยู่ในสมดุลของฮาร์ดี้และไวน์เบิร์ก มีจำนวน 10,000 คน มีผู้ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียจำนวน 4 คน ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากยีนด้อยบนโครโมโซมร่างกาย อยากทราบว่าประชากรจังหวัดนี้มีคนที่เป็นพาหะของโรคกี่คน
        
        วิธีทำ จากประชากร 10,000 คนมีคนแสดงอาการของโรค 4 คน
        ความถี่ของยีนด้วย = 0.0004
        จะได้ว่า q^2 = 0.0004
        q = 0.02
        p = 1 - q แทนค่าได้ 1 - 0.02 = 0.98
        จากสมการของฮาร์ดี้และไวน์เบิร์ก p^2 + 2pq +q^2 =1
        จำนวนพาหะของโรค = 2pq แทนค่าได้ 2(0.02)(0.98) = 0.0392
        เมื่อนำไปเทียบกับประชากร 10,000 คน จะมีคนเป็นพาหะ = 392 คน
        ตอบ 392 คน
    - - 2 ;ยีนพูล ประกอบด้วยอัลลีล จากทุกยีนของสมาชิกทักตัวในกลุ่มประชากรนั้น
      - 1 ;เป็นยีนทั้งหมดที่อยู่ในประชากรกลุ่มหนึ่ง
      - 3 ;ปกติแล้วในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีโครโมโซม 2 ชุด เรียกว่า ดิพลอยด์ และ แต่ละยีนจะมี 2 อัลลีล
  - - - แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่
        
        1;แบบสุ่ม
        
        1,เป็นแบบที่จะทำให้ ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของยีนในประชากร ทำให้
        
        1 = สมาชิกทุกตัวในประชากรมีโอกาสได้ผสมพันธ์ุแบบเท่าเทียมกัน
        
        2 = ลดโอกาสที่จะทำให้อัลลีลบางตัวมีความถี่เพิ่มขึ้นหรือลดลงจนเกินไป
        
        2,ส่วนใหญ่แล้วการเลือกคู่ผสมพันธุ์ในประชากรจะเป็นแบบนี้
        
        2;แบบไม่สุ่ม
        
        1,เกิดขึ้นจากการเลือกคู่ผสมพันธ์ุกันในกลุ่มเดียวกันที่อาจทำให้
        
        1 = เกิดความไม่เท่าเทียม ลดโอกาสในการผสมพันธ์ุของสมาชิกกลุ่มอื่น
        
        2 = อัลลีลบางตัวมีความถี่สูงขึ้น คงที่ ลดลง และสูญหายไปในที่สุด
    - - 2;การกลายพันธุ์อาจทำให้เกิดลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม
      - 3;ต่างจากการคัดเลือกทางธรรมชาติตรงที่การกลายพันธุ์เป็นการสร้างประชากรที่มีพันธุกรรมขึ้นใหม่
        
        1,อาจส่งผลให้เหมาะหรือไม่เหมาะกับสิ่งแวดล้อมก็ได้ แต่การคัดเลือกทางธรรมชาติจะคัดเฉพาะประชากรที่เหมาะสม
        
        2,หากเหมาะสม ธรรมชาติจะทำการคัดเลือกเก็บไว้และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล
      - 1;เป็นการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งในระดับยีนและโครโมโซม จึงทำให้เกิดการกลายพันธุ์
    - - 1;เป็นการทำให้ประชากรซึ่งมีลักษณะเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่จะสามารถดำรงชีพและมีลูกหลานต่อไปได้
        
        ส่วนประชากรที่มีลักษณะไม่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมก็จะลดลง
        และค่อยๆ สูญพันธุ์ไป
      - 2;ถือเป็นการปรุงพันธุกรรม ส่งผลให้
        
        1,อัลลีลบางลักษณะจะเพิ่มขึ้น และบางลักษณะจะลดลง
        
        2,สิ่งมีชีวิตเกิดการปรับเปลี่ยนรูปร่าง สรีระ สี พฤติกรรมการใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เช่น ตั๊กแตนที่สามารถเปลี่ยนสีให้กลมกลืนกับใบไม้ได้ ก็จะรอดจากการโดนสัตว์อื่นจับกิน
- - - - เรียกว่า ทฤษฎีการย้อนลักษณะ (Theory of Recapitulation)
  - - - เชื่อว่าถ้าลำดับเบสเปลี่ยน ลำดับกรดอะมิโนก็จะเปลี่ยน จึงทำให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะเปลี่ยนไปด้วย
    - - เพราะลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์
        กับโมเลกุลของสารเคมีชนิดนี้
  - - - เรียกว่า Homologous Structure
        เช่น แขนมนุษย์ ครีบวาฬ และปีกค้างคาว ซึ่งเจริญมาจากรยางค์คู่หน้า
        ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
    - - เรียกว่า Analogous Structure เช่น ปีกแมลงและปีกค้างคาว ซึ่งใช้บินเหมือนกัน แต่มีโครงสร้างไม่เหมือนกัน
  - - - ด้วยการวิเคราะห์ปริมาณคาร์บอน-14
        ซึ่งเป็นธาตุกัมตรังสีที่เหลืออยู่ในซากนั้น