บทที่ 4 CLASSICAL ECONOMIC THOUGHT
บริบททางสังคมและเศรษฐกิจ
click to edit
นักเศรษฐศาสตร์สํานักคลาสสิก
แนวคิดของสํานักคลาสสิกได้พัฒนาขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 –19 ซึ่งเป็นช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะในอังกฤษและฝรั่งเศสดังนั้นแนวคิดของสํานักคลาสสิกโดยเฉพาะแนวคิดของAdam Smith ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่”
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรกที่เข้าสู่ “ทุนนิยม” (ค.ศ.1780 –1800) โดยเป็นการปรับเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นสังคมอุตสาหกรรมผ่านกระบวนการของการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งอุตสาหกรรมที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอังกฤษคืออุตสาหกรรมการผลิตผ้าฝ้ายการเข้ามาของอุตสาหกรรมโดยเฉพาะการผลิตสินค้าในระบบโรงงานเป็นผลจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นทําให้เกิดชนชั้นทางสังคมขึ้นมาใหม่
ชนชั้นนายทุน
ชนชั้นขุนนาง
ชนชั้นแรงงาน
แนวคิดของสํานักคลาสสิกได้แบ่งกลุ่มชนชั้นนายทุนและชนชั้นแรงงานเป็นกลุ่มชนชั้น
กลุ่มชนชั้นที่ก่อให้เกิดผลผลิต
ชนชั้นที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต
Adam Smith
Self Interest, Public Interestand Invisible Hand
Wealthof Nation
Division of Labor
Saving and Capital Accumulation
Value and Price
Role of State
Corn Laws
ซึ่งทําให้ราคาธัญพืชภายในประเทศมีราคาสูงทําให้เจ้าของที่ดินสามารถเก็บค่าเช่าได้สูงและกลุ่มเจ้าของที่ดินเดิมก็คือกลุ่มขุนนางซึ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นจํานวนมากและยังเป็นกลุ่มที่กุมอํานาจทางการเมืองทําให้เกิดกฎหมายดังกล่าวในขณะที่กลุ่มนายทุนอุตสาหกรรมซึ่งต้องจ้างแรงงานเมื่อราคาอาหารสูงก็จะทําให้ค่าจ้างแรงงานสูงทําให้แรงงานได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นในขณะที่กลุ่มนายทุนอุตสาหกรรมมีต้นทุนการผลิตที่มากขึ้นจึงเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่าง 2 กลุ่มคือกลุ่มเจ้าของที่ดิน (เศรษฐีเก่า) และกลุ่มนายอุตสาหกรรม (เศรษฐีใหม่)
David Ricardo
ทฤษฎีมูลค่าแรงงาน (Labor Theory of Value)
สินค้าที่ไม่สามารผลิตซ้ําได้ (Non-reproducible goods)
สินค้าที่ผลิตซ้ําได้(Reproducible goods)
การกระจายผลตอบแทน (Distribution)
ทฤษฎีค่าจ้าง
ทฤษฎีค่าเช่า
“ส่วนเกินที่เหลือจ่ายให้แก่ปัจจัยการผลิตอื่นๆแล้ว
ขยายการผลิตไปยังต่างประเทศ
ยกเลิก Corn Laws
ส่งเสริมการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประเทศ
ปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Theory of Comparative Advantage)
Thomas Robert Malthus
แนวคิดเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของประชากร
ทฤษฎีค่าเช่า
“ค่าเช่า” ว่าเป็น “มูลค่าส่วนเกินของสินค้า” หรือส่วนเกินของราคาสินค้าจากจํานวนที่ใช้ในการจ่ายค่าจ้างแรงงานและกําไรของทุนที่ใช้ในการเพาะปลูกซึ่ง “ส่วนเกิน” ดังกล่าวมาจากความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินซึ่งมีมากกว่าระดับที่จําเป็นในการดูแลแรงงานในภาคการเกษตรเพื่อให้แรงงานดํารงชีวิตอยู่ได้ (การมีอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยฯลฯ) ประกอบกับความขาดแคลนที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ทําให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรมีราคาสูงกว่า “ต้นทุนการผลิต” ซึ่งได้แก่ค่าจ้างแรงงานและกําไรที่เป็นค่าตอบแทนของทุนและส่วนต่างดังกล่าวคือก็คือ “ค่าเช่า” ซึ่งเป็นค่าตอบแทนของเจ้าของที่ดินที่ได้รับประโยชน์โดยไม่ต้องทําอะไรเลย
ทฤษฎีค่าจ้าง
“กฎเหล็กของค่าจ้างแรงงาน” (the Iron Law of Wages)2โดยกล่าวถึงอัตราค่าจ้างที่แท้จริง (Real Wages) จะไม่สามารถเพิ่มสูงขึ้นเลยระดับค่าจ้างพอยังชีพ (Subsistence Wages) ได้เพราะเมื่อเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับดังกล่าวจะทําให้แรงงานหลั่งไหลเข้ามาแข่งขันจนทําให้อัตราค่าจ้างที่แท้จริงลดลงแต่หากค่าจ้างต่ํากว่าค่าจ้างพอยังชีพแรงงานส่วนเกินก็จะต้องอดตายหรือเกิดโรคระบาดจนทําให้เสียชีวิตไปได้
ทฤษฎีว่าด้วยอุปสงค์ที่มีประสิทธิผล (Theory of Effective Demand)
Jean-Baptiste Say
กฎของเซย์” (Say’s Law)
ในการผลิตสินค้าใดๆก็ตามจะเป็นการสร้างอุปสงค์หรือความต้องการสินค้าในจํานวนเดียวกันไปด้วยเพราะการผลิตสินค้าจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างค่าเช่าหรือกําไรซึ่งเป็นรายได้ของบุคคลต่างๆทําให้บุคคลเหล่านั้นสามารถจับจ่ายใช้สอยในการซื้อสินค้าที่ผลิตขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมดดังนั้นในภาพรวมของเศรษฐกิจเมื่ออุปทานมวลรวมเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าเท่าใดอุปสงค์มวลรวมจะเพิ่มขึ้นเท่านั้นหรือที่กล่าวกันอย่างสั้นๆว่า “อุปทานก่อให้เกิดอุปสงค์ด้วยตนเอง” (Supply creates its own demand)
John Stuart Mill
“Principles of Political Economy with Some of Their Applications to Social Philosophy” (1848) ซึ่งเป็นหนังสือที่ประมวลแนวคิดจากหนังสือ The Wealth of Nations ของ Adam Smith และหลักเศรษฐศาสตร์ของ David Ricardo มาขยายและปรับปรุงโดยผสมผสานความคิดใหม่ๆของตนเองด้วยแล้วนําเสนอด้วยสํานวนที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น
เสนอแนวคิดใหม่ๆที่เป็นพื้นฐานที่สําคัญทางเศรษฐศาสตร์ในยุคต่อๆมาได้แก่แนวคิดเกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทานซึ่ง Mill เป็นคนแรกที่กล่าวถึงอุปสงค์และอุปทานในรูปของตารางหรือความสัมพันธ์โดยอธิบายว่าในระยะสั้นปริมาณจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในราคากล่าวคือเมื่อราคาเพิ่มขึ้นธุรกิจต่างๆจะนําสินค้าออกสู่ตลาดมากขึ้นและเมื่อราคาลดลงผู้บริโภคจะซื้อสินค้าที่หน่วยธุรกิจผลิตออกมาในปริมาณที่มากขึ้นและท้ายที่สุดปริมาณการซื้อจะเท่ากับปริมาณการขายณระดับราคาหนึ่งทั้งนี้กลไกดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ในระยะสั้นซึ่งทําให้เห็นได้ว่า Mill ยอมรับบทบาทของ “อุปสงค์-อุปทาน” ในการกําหนดมูลค่าหรือราคาของสินค้าไม่ใช่แค่ด้านอุปทานเหมือนกับนักเศรษฐศาสตร์ในสํานักคลาสสิกทั่วไป