Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

เตียง 7 - Coggle Diagram

- - - - false labor pain
        
        Inhibit
  - - - ไม่มีประวัติเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
- - - - ให้เลือด
  - - - potassium k = 3.70 mmol/L (3.5-5.1 mmol/L)
      - Chloride = 103 mmol/L(98-107 mmol/L)
      - Co2 = 20.4 mmol/L (22-29 mmol/L)
      - Sodium (Na) = 133 mmol/L
- - - - วัตถุประสงค์ : เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยายับยั้งการคลอดในหญิงตั้งครรภ์
        
        เกณฑ์การประเมินผล : หญิงตั้งครรภ์ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากยาที่ได้รับ ดังนี้
        จากยา Bricanyl ไม่มีอาการใจสั่น หายใจไม่สุด (shortness of breath), จุกแน่นหน้าอก (chest discomfort), ชีพจรเต้นเร็ว (tachycardia)
        Nifedipine ความดันเลือดต่ำ (hypotension), metabolic problems เช่น ภาวะเลือดมีน้ำตาลมาก (hyperglycemia), hypokalemia
        ไม่มีภาวะ electrolyte imbalance
        
        กิจกรรมการพยาบาล :
        1.ให้นอนพักบนเตียงตลอดเวลา ทำกิจวัตรบนเตียง อธิบายให้ทราบถึงเหตุผลและ
        ประโยชน์ของการนอนพัก เพื่อให้เกิดความเข้าใจและให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
        2.การพยาบาลผู้ป่วยได้รับยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
        2.1 ประเมินสภาพร่างกายของมารดา
        2.1.1 ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ถ้าพบว่ามีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างสม่ำเสมอ 1 ครั้งใน ทุก 10นาที ให้รายวานแพทย์ทันที
        2.1.2 ประเมิน vital sings และซักถามอาการข้างเคียง
        กลุ่มยา Bata agonists (Therbutaline 0.25 mg Sc q 12 hr )
        -บันทึกอาการผิดปกติโดยเฉพาะ PR > 120 bpm ให้Oxygen cannula 5 LPM ทันที และรีบรายงานแพทย์
        กลุ่มยา Calcium Channel blocker (Nifedipine 20 mg PO q 8 hr )บันทึก PR และ BP ทุกครั้ง ก่อนและหลังให้ยา พร้อมซักถามอการข้างเคียงของยา ได้แก่ ใจสั่น ปวดศรีษะ หน้ามืด
        ถ้า PR>120 bpm , BP<90/60 mmHg ให้Oxygen cannula 5 LPM ทันที และรีบรายงานแพทย์
        
        สังเกตการหดรัดตัวของมคลูกเพื่อป้องกันและประเมินภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
        
        ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เพื่อป้องกันภาวะ Fetal distress
        
        ติดตามผลข้างเคียงของยา ประเมินอาการแสดงของภาวะน้ำเกินและภาวะน้ำคั่งในปอด เช่น บวมหายใจลำบากและเร็ว
        Electrolyte imbalance โดยเฉพาะ K (มีการเพิ่มขึ้นของ insulin และ glucose ทำให้ K ถูกขับออก)
        6.แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ดื่มน้ำมากๆ วันละ 2-3 ลิตร ควรงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานผักและผลไม้ เพื่อช่วยในการขับถ่ายและการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ
        
        การประเมินผล
        
        เมื่อ 3/03/65 หญิงตั้งครรภ์ มีภาวะ Electrolyte imbalance คือ Potassium k = 3.39 mmol/L (3.5-5.1 mmol/L) แก้ไขโดย ให้ได้รับ KcL 50ml PO q 3 hr* 2 dose
        
        ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจาก Bricanyl 0.25 mg sc q 12 hr Pulse อยู่ในเกณฑ์ปกติ = 60-100 bpm
        และ Nifediphine Nifediphine 20 mg PO q 8 hr BP>60/90
  - - - 3. ดูแลให้ได้รับยายับยั้งการเจ็บครรภ์ตามแผนการรักษาโดย
        3.1 อธิบายวัตถุประสงค์ขั้นตอนในการรักษา ตลอดจนอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการได้รับยายับยั้งการเจ็บครรภ์ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ซักถามและตอบคำถามให้เข้าใจ
        3.2 ให้ยาตามแผนการรักษาได้แก่ bricanyl ยาดังกล่าวอาจเป็น betasympathomimetic มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัวและยังทำให้เลือดมาเลี้ยงมดลูกมากขึ้นด้วย
      - 1.ประเมินการทำงานของมดลูก ความถี่ของกรเจ็บครรภ์ ความรุนแรง ระยะเจ็บครรภ์แต่ละครั้ง และฟังเสียงหัวใจทารกเพื่อดูปฏิกิริยาของทารกในครรภ์ต่อยายับยั้งการเจ็บครรภ์ ถ้าพบอาการผิดปกติหรือมารดายังคงมีอาการของการเจ็บครรภ์ต้องรายงานแพทย์อาจพิจารณาช่วยคลอดต่อไป
      - 2.ประเมินสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมงและฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ทุก15-30 นาที ถ้าผิดปกติ รายงานแพทย์เพื่อการรักษาอย่างเร่งด่วน
      - 4. ประเมินอาการข้างเคียงของยายับยั้งการเจ็บครรภ์ ได้แก่อาการมือสั่น ใจสั่น หงุดหงิด ประสาทหลอน มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน น้ำท่วมปอด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ชีพจรเต้นเร็วเกิน
        ถ้ามีอาการต่อไปนี้ควรหยุดยา พร้อมทั้งรายงานแพทย์เพื่อการรักษา อาการดังกล่าว คือ ชีพจรมารดา 120 ครั้ง/นาที เสียงหัวใจทารกในครรภ์เกิน ครั้ง/นาที มีอาการและอาการแสดงของน้ำท่วมปอดกล่าวคือ มีอาการ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก 110 ครั้ง/นาที หัวใจทารกในครรภ์เต้นเร็วเกิน 160 ครั้ง/นาที หัวในเต้นผิดจังหวะ ควมดันโลหิตต่ำกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อินซูลินในเลือดสูง กรดแลคติคในเลือดสูง โปตัสเซียมในเลือดต่ำ
      - 6.ให้คำแนะนำหญิงตั้งครรภ์เกี่ยวกับการประเมินการหดรัดตัวของมดลูกด้วยตนเองโดยให้วมงมือ บนบริเวณยอดมดลูก เมื่อมดลูกมีความแข็งตัว ให้บันทึกระยะเวลานาน และความห่างของการ หดรัดตัวของมดลูกแต่ละครั้งลงในสมุดบันทีก ถ้ามดลูกมีการหดรัดตัวนานๆครั้ง
        หากมีการหดรัดตัวของมดลูก มากกว่า 4 ครั้งใน 1 ชั่วโมง หรือเร่ิมมีอาการเจ็บครรภ์ บ่อยขึ้น หรือมีอาการผิดปกติ เช่น มีน้ำเดิน มูกเลือด หรือทารกดิ้นน้อยลงให้รีบแจ้งแพทย์ทันที
      - ให้นอนพักบนเตียงให้มากที่สุด โดยนอนตะแคงข้างเพื่อให้เลือดมาเลี้ยงมดลูกมากขึ้นช่วยให้การหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกลดลงและช่วยลดแรงดันของปากมดลูกทำให้ปากมดลูกไม่เปิดเพิ่มขึ้น
      - 7.ดูแลให้ไห้ได้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย และได้สารอาหารครบ5 หมู่ งดอาหารรสจัดของหมักดองเพื่อป้องกันอาการท้องเสีย รวมถึงกระตุ้นให้ดื่มน้ำวันละ 2-3ลิตร ดูแลให้ได้รับยา Nataral อย่างสม่ำเสมอ โดยควรเว้นระยะจากการดื่มนม หรือแควเซียม เพื่อให้ธาตุเหล็กดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี หากหญิงตั้งครรภ์มีภาวะโลหิตจางก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
      - จัดสถานที่ห้องและเตียงให้เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์ ให้เงียบสงบ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์พักผ่อนอย่างเพียงพอ
      - 9.แนะนำหญิงตั้งครรภ์ในการปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้านเพื่อป้องกันการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
        9.1แนะนำให้ดูแลความสะอาดร่างกายโดยเฉพาะ อวัยวะเพศเพื่อป้องกันการติดเชื้อซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ แนะนำให้สังเกตการตกขาวที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีปริมาณที่มากกว่าปกติ ที่มีสี กลิ่นเปลี่ยนไป หรือมีอาการคันช่องคลอดร่วมด้วย ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
        9.2 แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ดูแลสุขภาพช่องปาก แปรงฟันอย่างน้อยวันละ2 ครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากฟันผุ
        9.3การทำงาน สามารถทำงานได้ปกติ แนะนำให้เปลี่ยนกะทำงานจากกะดึกเป็นกะเช้า และหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือหาอุปกรณ์ในการช่วยลากของที่หนักได้
        9.4 ในกรณีของหญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ เพราะการกระตุ้นหีวนมหรืออวัยวะเพศจะกระตุ้นการหลั่งสาร Oxytocin ทำให้มดลูกมีการหดรัดตัว
        9.5 แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์หาวิธีผ่อนคลาย เช่น ทำสมาธิ ฟังเพลง หรือดูยูทูป เป็นต้น และควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะเครียด
  - - - วัตถุประสงค์ : เพื่อให้ทารกในครรภ์ไม่เกิดภาวะ Fetal distress
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        ทารกดิ้นดี
        FHS อยู่ในช่วง 110-160 Bpm
        มี variability และไม่มี late deceleration
        
        กิจกรรมการพยาบาล : 1.ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกทุก 4 ชั่วโมง ถ้าพบว่าการเต้นของ หัวใจน้อยกว่า 110 คร้ัง/ นาทีหรือมากกว่า 160 คร้ัง/ นาที รายงานแพทย์ทันที
        2.แนะนำให้นอนตะแคงซ้าย-ขวา หรืออยู่ในท่านั่ง เดิน กระตุ้นมารดาปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันมดลูกกดทับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกและรก
        3.ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ dexametazole ให้ครบ 4 Dose
        4.แนะนำให้มารดานับทารกดิ้นหลังทานอาหาร นับวันละ 3 ครั้ง ใน 24 ชั่วโมง ควรมีการดิ้นมากกว่า 10 ครั้ง
        5.สังเกต Progress Labor ได้แก่ น้ำเดิน มีมูกเลือด ให้รายงานแพทย์ทันที
- - - - เช่น terbutaline(Bricanyl)
        ลดระดับ ionized แคลเซียม ในเซลล์ และป้องกันไม่ให้เกิดการกระตุ้นโปรตีนที่ทำหน้าที่หดรัดตัวในเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก
      - การให้ยากลุ่ม beta-adrenergic agonists แบบฉีดเข้ากระแสเลือดเพื่อยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถยืดระยะเวลาการคลอดออกไปได้นานอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
      - ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกรณีต่อไปนี้
        
        tachycardia
        
        hyperthyroidism
        
        โรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี
      - อาการข้างเคียง
        
        มารดา
        
        มือสั่น (tremor), ใจสั่น (palpitations), หายใจไม่สุด (shortness of breath), จุกแน่นหน้าอก (chest discomfort), น้ำท่วมปอด ชีพจรเต้นเร็ว (tachycardia), ความดันเลือดต่ำ (hypotension), metabolic problems เช่น ภาวะเลือดมีน้ำตาลมาก (hyperglycemia), hypokalemia
        
        ทารก
        
        หัวใจทารกเต้นเร็ว (fetal tachycardia), น้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด (neonatal hypoglycemia) เกิดจากภาวะ fetal hyperinsulinemia ซึ่งเป็นผลจากมารดามี prolonged hyperglycemia
    - - ออกฤทธิ์ยับยั้งแคลเซียมไม่ให้ผ่านเข้าสู่ cell membrane ส่งผลให้ระดับความเข้มข้นของแคลเซียมในไซโทพลาซึมลดลง ช่วยยับยั้งการหดรัดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก
      - ชื่อยา nifedipine
      - ‼️ข้อควรระวัง และต้องหลีกเลี่ยงคือ การใช้ nifedipine ร่วมกับ แมกนีเซียม ซัลเฟต ในการยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด เนื่องจาก nifedipine จะเสริมฤทธิ์ neuromuscular blocking effects ของ แมกนีเซียม ทำให้รบกวนการทำงานของระบบหายใจและไหลเวียนเลือดมากขึ้น ส่วนการให้ nifedipine ในสตรีตั้งครรภ์ที่ความดันเลือดปกติ (normotensive) พบว่าทำให้ความดันเลือดลดต่ำลง
      - ข้อบ่งห้าม
        
        ความดันเลือดต่ำกว่า 90 / 60 มิลลิเมตรปรอท
        
        โรคหัวใจชนิด preload-dependent เช่น aortic insufficiency
        
        โรคหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure) หรือมีภาวะ left ventricular dysfunction
        
        การทำงานของตับบกพร่อง
        
        ได้รับยาลดความดันเลือดชนิดอื่นร่วมด้วย หรือระมัดระวังการให้ในกรณีได้รับยา แมกนีเซียม ซัลเฟต ร่วมด้วย
      - อาการข้างเคียง
        
        มารดา
        
        ร้อนวูบวาบ (flushing), ปวดศีรษะ (headache), คลื่นไส้ (nausea), ความดันเลือดต่ำ, ใจสั่น, เพิ่มเอนไซม์ตับ (elevation of hepatic transaminases)
        
        เฝ้าระวัง
        
        วัดความดันเลือดทุก 15 นาทีหลังได้รับยาในช่วงแรก (loading dose)
    - - เป็น calcium antagonist โดยแย่งจับกับ แคลเซียม ที่เซลล์เมมเบรนทำให้การทำงานของ myosin light-chain kinase ถูกรบกวน เมื่อให้ยาในระดับความเข้มข้นมากพอจะสามารถลดการหดรัดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกได้
        
        ลดโอกาสเกิด cerebral palsy
      - ข้อบ่งห้าม
        
        ผู้ป่วยโรค myasthenia gravis
        
        [ผู้ป่วยโรคหัวใจ]
        
        ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตผิดปกติ
      - อาการข้างเคียง
        
        มารดา
        
        ร้อนวูบวาบ (flushing), ปวดศีรษะ, กล้ามเนื้ออ่อนแรง (muscle weakness), คลื่นไส้อาเจียน, pulmonary edema, , ความดันโลหิตต่ำ
        
        ทารก
        
        เซื่องซึมและอ่อนแรง (hypotonia), อาจกดการหายใจของทารก (respiratory depression), APGAR scores ต่ำตอนคลอด, ความดันโลหิตต่ำ
      - การเฝ้าระวัง ระหว่างให้ยาต้องระวังภาวะ magnesium toxicity
        
        ตรวจ deep tendon reflex (ต้องไม่ absent)
        
        Respiratory rate (> 14 ครั้ง/นาที)
        
        Blood pressure (> 90/60 mmHg)
        
        Urine output (> 30 cc/hr)
        
        Magnesium level อยู่ในช่วง 4 – 7 mEq/L
        
        ควรมี 10% calcium gluconate ขนาด 1 กรัม ไว้เพื่อเป็น Antidose ของยา
    - - ออกฤทธิ์ต้าน prostaglandins โดยอาจยับยั้งการสังเคราะห์หรือยับยั้งการออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ส่งผลต่อการหดรัดตัวของมดลูกซึ่งมี prostaglandins เป็นส่วนร่วมในกระบวนการเจ็บครรภ์คลอด ยาในกลุ่มนี้ที่ทำหน้าที่ยับยั้งการเปลี่ยน arachidonic acid ไปเป็น prostaglandins ได้แก่ acetylsalicylate และ indomethacin
      - การเฝ้าระวัง
        
        ตรวจวัดปริมาณน้ำคร่ำ หากพบว่าน้ำคร่ำลดลง ให้หยุดยา
        
        ตรวจอัลตราซาวด์ดูหัวใจทารก ระวังภาวะ ductus arteriosus constriction
        
        ตรวจสุขภาพทารก ระวังภาวะ fetal distress
        
        ระวังภาวะ progression of labor หากพบว่าไม่สามารถยับยั้งการคลอดได้ ให้หยุดยาทันทีและแจ้งกุมารแพทย์ว่าได้รับยา indomethacin ก่อนคลอด
- - - - หญิงตั้งครรภ์ ทำงานยกของหนัก เดินทางไปทำงานโดยรถจักรยานยนต์ ที่อยู่อาศัยหอพักอยู่ชั้น 3 ไม่มีลิฟต์
    - - อักเสบของไตกับท่อไต ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง (chronic Iypertension) ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (pregnancy induced hypertension)
      - โรคหอบหืค (asthma) โรคโลหิตจาง (anemia) ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่า ปกติ (hyperthyroidism) โรดหัวใจ (heart discased) โรคดีซ่าน (jaundice)
      - เนื้อเยื่อปากมดลูกอ่อนนิ่มกว่าปกติ (incompetent cervix) ทำให้ปากมดลูกบาง และมีการเบียดขยายของ ปากมดลูกทั้งที่ไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก
      - การติดเชื้อในช่องคลอด
      - การมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งการกระตุ้นหัวนมหรืออวัยวะเพศจะทำให้ Oxytocin หลั่งเกิดการหดรัดตัวของมดลูกได้
  - - - ทารกสุขภาพดี GA 29+3 Wks
    - - PV OS closed
    - - PV MI
    - - การเจ็บครรภ์เข้าสู่ระยะปากมดลูกเปิดมากกว่า 4 เซนติเมตร ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด เพราะจะทำให้เกิดถุงน้ำคร่ำอักเสบรุนแรง
      - มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ควรให้คลอด เช่น โรดหัวใจ และหลอดเลือด ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะติดเชื้อในน้ำคร่ำ (chorioamnionitis)
      - มีภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์ เช่น การตกเลือดก่อนคลอดจากภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดกรรภ์ แฝดน้ำ (chorioamnionitis) ทารกผิดปกติ (fetal anomalies) อย่างรุนแรงนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
      - ภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรงใน ระหว่างการให้ยา การคลอดดำเนินต่อไป ในระหว่างให้ยายับยั้ง