Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยชายไทย อายุ 64 ปี - Coggle Diagram

- - - - จากเคสกรณีศึกษา ผู้ป่วยมีอาการซึม สับสน ความดันโลหิตต่ำ 110/50 mmHg.
    - - จากเคสกรณีศึกษา ผู้ป่วยปัสสาวะได้น้อย 100 ml. ใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อประเมินปริมานน้ำปัสสาวะให้ได้มากกว่า 0.5/cc/hr. และเพื่อประเมินภาวะไตวายเฉียบพลัน จึงทำการบันทึกสารน่ำเข้าออกทุก 8 ชั่วโมง
    - - จากเคสกรณีศึกษา ชีพจรเต้นเร็ว 108 ครั้ง/นาที หายใจ 28 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 110/50 mmHg. Capillary refill 3 วินาที นานกว่าปกติ
    - - จากเคสกรณีศึกษา ผู้ป่วยมีอาการขาดออกซิเจน จึงทำให้เกิดการหายใจเร็วขึ้น 28 ครั้ง/นาที และมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ
        
        แพทย์จึงให้ canula 3lit/min และ berodual (2:2) 1 NB ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนที่เพียงพอและป้องกันเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ
  - - - ส่งผลให้ร่างกายขาดสารน้ำที่จะให้ระบบไหลเวียนโลหิตนำไปสูบฉีด (hypovolemia) ประกอบกับการทำงานของหัวใจที่แย่ลง เป็นผลจาก cytokincs ต่างๆที่ถูกหลั่งออกมาจากเซลล์ เม็ดเลือดขาวและกระบวนการอักเสบที่มีอยู่ ทำให้ปริมาณของออกซิเจนที่ถูกขนส่งไปขังเนื้อเยื่อต่างๆลดลง ในขณะที่เนื้อเยื่อต่างๆมีความต้องการออกซิเจนมากขึ้นจากอัตราการเผาผลาญในร่างกายที่เพิ่มขึ้น
        
        ทำให้ เนื้อเยื่อทั่วร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง เนื้อเยื่อจะปรับตัวโดยพยายามดึงเอาออกซิเจนจากเลือด ซึ่งมีน้อยอยู่แล้วออกจากฮีโมโกลบินและพลาสมาให้มากขึ้น หากยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเนื้อเยื่อ ต่างๆ ร่างกายจะปรับตัวโดยเปลี่ยนไปใช้ anaerobic metabolism แทน
        
        ทำให้ระดับของสาร lactate ในเลือดสูงขึ้น หากไม่ได้รับการแก้ไข ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะ hyperdynamic state โดยมีการตีบตัวของหลอดเลือดส่วนปลาย
        
        ทำให้เลือดสูบฉีดมากขึ้น cardiac output เพิ่มขึ้น และปริมาฌออกซิเจนในกระแสเลือดเริ่มสูงขึ้นไปด้วย แต่ปริมาณออกซิเจนที่มากขึ้นเนื้อเยื่อไม่สามารถนำออกซิเจนไปใช้ได้ เนื่องจากภาวะขาดออกซิเจนอย่าง 2 รุนแรงเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง เซลล์เนื้อเยื่อต่างๆจะค่อยๆเสื่อมสภาพ จนเกิดอวัยวะล้มเหลวในที่สุด หากอวัยวะล้มเหลวพร้อมๆกันหลายระบบ (Multiple Organ Failure) อาจถึงแก่ชีวิตได้
- - - - O:
      - 1 ค่า potassium 2.8 mmol/dl ต่ำกว่าปกติ
      - 2 ค่า BUN 26.6 mg/dl สูงกว่าปกติ
      - 3 ค่า Sodium 147 mmol/dl สูงกว่าปกติ
      - 4 กล้ามเนื้ออ่อนแรง Motor power grade 3
      - 5 EKG พบ Atrial tachycardia rate 100 ครั้ง/นาที
      - 6 รับประทานอาหารได้น้อยลง จากวันละ 3 มื้อครั้งละ 1 จาน ขณะเจ็บป่วยวันละ 2 มื้อ มื้อละ ½ ทัพพี
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีภาวะ hypokalemia
    - - 1 ผล Electrolyte ค่า potassium 3.5-5 mmol/dl และ ค่า Sodium 135-145 mmol/dl
      - 2 ค่า BUN 10 - 20 mg/dl
      - 4 กล้ามเนื้ออ่อนแรง Motor power grade 3
      - 5 EKG ปกติ คือ sinus rhythm rate 60 -100 ครั้ง/นาที
    - - 1 ประเมินอาการและอาการแสดง คือ อาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ใจสั่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด และบันทึกสัญญาณชีพทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่ออาการและอาการแสดงของภาวะ hypokalemia
      - 2 ดูแลให้ได้รับยาและสารน้ำตามแผนการรักษาคือ KCL 60 mEq in 0.99% NSS 1000 cc IV drip 80 cc/hr สังเกตอาการข้างเคียงของยา คือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เพื่อให้ป้องกันและรักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือด
      - 4 On monitor EKG เพื่อประเมินความผิดปกติของเคลื่อนไฟฟ้าหัวใจ
      - 5 ให้อาหารผ่าน NG tube blenderized diet (1:1) 250 cc ทุก 6 ชั่วโมง ตามแผนการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
      - 6 บันทึกสารน้ำเข้าออกทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินความสมดุลของสารน้ำ
  - - - O:
      - 1 มีอาการซึม สับสน การประเมิน GCS ได้ 10 คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง Moderate
      - 2 ค่า Albumin 2.5 gm/dl มีค่าต่ำกว่าปกติ
      - 3 ค่า SGOT 52 มีค่าสูงกว่าปกติ
      - 4 ค่า Direct Bilirubin 1.55 mg/dl มีค่าสูงกว่าปกติ
      - 5 ค่า Total protein 5.7 gm/dl มีค่าต่ำกว่าปกติ
    - - 1 ผู้ป่วยไม่มีอาการซึม สับสน รู้สึกตัวดี การประเมิน GCS มีคะแนน 13-15
      - 2 ค่า Albumin 3.5-5 gm/dl มีค่าต่ำกว่าปกติ
      - 3 ค่า SGOT 8-46 มีค่าสูงกว่าปกติ
      - 4 ค่า Direct Bilirubin 0.1-0.3 mg/dl
      - 5 ค่า Total protein 6.4-8.3 gm/dl
    - - 1 ประเมินอาการและอาการแสดงของโรคตับแข็ง คือ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึม สบสน เพื่อประเมินอาการของโรคตับแข็ง
      - 2 ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา คือ 0.9% NSS 1000 cc IV drip 100 cc/hr และสังเกตบันทึกปริมาณน้ำเข้า-ออกจากร่างกาย เพื่อประเมินความสมดุลของสารน้ำและเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำที่เพียงพอ
      - 3 บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และการประเมินความรู้สึกตัว GCS เพื่อประเมินการรับรู้และระดับความรู้สึกตัว
      - 4 ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ BUN, Cr, Electrolyte และ LFT เพื่อประเมินการทำงานของตับ
  - - - 2 การประเมินระดับความรู้สึกตัว GCS และ การวัดสัญญานชีพทุก 4 ชั่วโมง
      - 3 ให้ Oxygen canula 3lit/min เพื่อให้เซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายมีออกซิเจนอย่างเพียงพอ
      - ประเมินอาการและอาการแสดงภาวะช็อก เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ความดันโลหิตต่ำ สับสน ซึมลง
      - 4 ให้ berodual (2:2) 1NB ทุก 4 hr. สังเกตอาการข้างเคียง คือ อาการสั่น ปากแห้ง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น เพื่อลดอาการหอบเหนื่อยและขยายหลอดลม ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจสะดวกขึ้น
        ให้ Bromhexin 1×3 Ng pc และสังเกตอาการข้างเคียง คือ ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ปวดศีรษะ ง่วงนอน เหงื่อออกมาก มีอาการไอเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเหนียวข้นของเสมหะ ละลายเสมหะ
      - 5 ใส่สายสวนปัสสาวะ เพื่อวัดปริมาณปัสสาวะที่ไหลออกมาประมาณ 0.5cc/kg/hr และประเมินการทำงานของไต
      - 6 ดูแลตรวจสอบการใส่สายสวนปัสสาวะ
        เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
        คือ
        
        แขวนถุงปัสสาวะให้ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะประมาณ 30 ซม. ไม่ควรเกิน 40 ซม. ระวังการดึงรั้งของสายสวนปัสสาวะ
        
        ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกวัน วันละอย่างน้อย 2 ครั้ง
        
        ผู้ชายให้ตรึงสายบริเวณหน้าท้อง เพื่อให้มีการระบายปัสสาวะได้ดี
        
        ดูแลสายสวนไม่ให้มีการ พับ หัก งอ
        
        เปลี่ยนถุงปัสสาวะทุกอาทิตย์หรือเมื่อสกปรก หรือมีการรั่วซึม ด้วยวิธีปราศจากเชื้อ
      - 7 ดูแลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำวันละ 3,000 cc. เพื่อช่วยกระตุ้นระบบปัสสาวะ
      - 8 บันทึกสารนำเข้าออกจากร่างกายทุก 8 ชั่วโมง
      - 9 ดูแลท่อช่วยหายใจ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนที่เหมาะมและป้องกันการสร้างปัจจัยติดเชื้อเพิ่มขึ้น
        
        ดูแลท่อช่วยหายใจให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมไม่หัก พับ งอ
        
        ตรวจร่างกายดูลักษณะการหายใจ อาการหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำหรือไม่
        
        ดูแลความสะอาดในช่องปากและฟันของผู้ป่วยทุก 4 ชั่วโมง
        
        การดูแลจัดท่านอนและการพลิกตะแคงตัว การดูแลให้อาหารทางสายยาง การดูดเสมหะ เพื่อลดการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจ
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนและความชื้นทางเดินหายใจอย่างเหมาะสม
      - 10 ลดปัจจัยส่งเสริมไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะติดเชื้อเพิ่มขึ้น
        
        การล้างมือก่อนและหลังทำหัตถการ
        
        ใช้หักปราศจากเชื้อ (sterile technique)
      - 11 จัดสภาพแวดล้อมให้ผู้ป่วยสุขสบาย
        
        ดูแลสภาพห้องไม่ให้สว่างจนเกิดไป ลดเสียงรบกวน
        เพื่อให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
        
        จัดสภาพห้องให้มีความคุ้นเคย มีนาฬิกา ปฏิทิน
        เพื่อให้ผู้ป่วยรับรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมป้องกันการสับสน มึนงง
        
        เปิดฟังธรรมะ สวดมนต์
        เพื่อให้ผู้ป่วยคลายกังวล อาการซึมลดลง
      - 12 การออกกลังกายแบบ passive เพื่อเพิ่มการออกแรงและป้องกันข้อติด
        
        การออกกำลังกายแขน ท่าดึงสะบัก หมุนข้อไหล่ ยกแขนขึ้น งอและเหยียดข้อมือ
        
        การออกกำลังกายขา การยืดกล้ามเนื้อน่อง ออกกำลังข้อสะโพก งอ-เหยียด-กาง-หุบ และหมุนเข้า-ออก
    - - Objective:
        
        1 จากการประเมิน SIRS ผู้ป่วยมีอาการตอบสนองต่อการติดเชื้อพบข้อบ่งชี้ 3ใน 4 ข้อ คือ
        
        2 อัตราการหายใจ 28 ครั้ง/นาที
        
        3 มีภาวะเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ 18,100 cell/mm3
        
        1 หัวใจเต้นเร็ว 108 ครั้ง/นาที
        
        2 การประเมินความรู้สึกตัว GCS = E4VTM5 ได้ 10 คะแนน แปลผลได้ว่า ผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกอยู่ในระดับปานกลาง Moderate
        
        3 สัญญาณชีพ
        
        ชีพจร 108 ครั้ง/นาที
        
        ความดันโลหิต 110/50 mmHg.
        
        อัตราการหายใจ 28 ครั้ง/นาที
        
        4 Urine output 100 ml.
        
        5 ค่า WBC 18,100 cell/mm3
        
        6 ค่า neutrophil 88%
        
        7 Tracheal culture พบแบคทีเรีย klebsieallpneumoniae
        
        8 Chest X-ray พบ Infiltration left lower lobe
        
        9 ฟังปอดมี Rhonchi wheezing both lungs
        
        10 EKG พบ Atrial tachycardia 100 ครั้ง/นาที
        
        11 Capillary refill 3 วินาที
        
        12 Motor power grade 3
    - - ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะช็อกเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
    - - 1 จากการประเมิน SIRS ผู้ป่วยไม่มีอาการตอบสนองต่อการติดเชื้อพบข้อ
      - 2 การประเมินความรู้สึกตัว GCS ได้ 13-15 คะแนน อยู่ในระดับปกติ Mild
      - 3 ค่าสัญญาณชีพ
        
        ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที
        
        ความดันโลหิต 120/80 mmHg.
        
        อัตราการหายใจ 16-20 ครั้ง/นาที
      - 4 Urine output ไม่ต่ำกว่า 0.5 cc/kg/hr
      - 5 ค่า WBC ปกติ 4,000-10,200 cell/mm
      - 6 ค่า Neutrophil 40-75%
      - 7 Tracheal culture ไม่พบเชื้อแบคทีเรีย
      - 8 Chest X-ray ปกติ
      - 9 EKG ปกติ คือ sinus rhythm rate 60 -100 ครั้ง/นาที
      - 10 ฟังปอดได้ยินเสียง Rhonchi wheezing
      - 11 Motor power grade 4
      - 12 ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจหอบเหนื่อย ซึม สับสน
  - - - O:
      - 1 ผู้ป่วยมีสีหน้าวิตกกังวล
      - 2 ญาติวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค
    - - 1 ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่นขึ้น
      - 2 ญาติและผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลขณะที่เป็นโรคและรู้จักวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเกิดโรคเดิมซ้ำ
    - - 1 สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและญาติก่อนให้การพยาบาลทุกครั้ง โดยแนะนำตัว แสดงท่าทีที่เป็นมิตร พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล วัตถุประสงค์ของการพยาบาล เพื่อให้ญาติและผู้ป่วยมีความไว้วางใจ
      - 2 ให้ผู้ป่วยและญาติมีส่วนร่วมในการตัดสินใจการรักษา และกิจกรรมการพยาบาล
      - 3 ให้ญาติได้สอบถามอาการเจ็บป่วยพร้อมทั้งอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย ด้วยคำพูดนุ่มนวล ท่าทางเป็นกันเอง เพื่อให้ทราบถึงเหตุผลของการรักษาและการเป็นกันเองเพื่อสร้างความสบายใจให้กับญาติ
      - 4 แนะนำการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ให้ญาติและผู้ป่วยทราบ คือ
        
        การดูแลเกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีผลต่อตับ เช่น เลี่ยงการกินเค็ม เกลือ ไม่กินของหมักดอง ไม่กินเหล้า ไม่ควรทาน เลี่ยงการอดหลับอดนอน ความเครียด
        
        การแนะนำผู้ป่วยและญาติในการดูแลโรคหอบหืด คือ
        
        การดูแลตนเองอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้หรือทำให้เกิดอาการ
        
        การแนะนำการใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ อย่าหยุดยา หรือซื้อยา มาตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง
        
        การปฏิบัติตัว หากมีอาการเหนื่อยหอบ ควรให้หยุดพักทันที ดื่มน้ำอุ่นมากๆ
        
        จัดที่อยู่อาศัยของผู้ป่วยให้เหมาะสมคือ เครื่องนอนควรใช้ผ้าคลุมกันไรฝุ่น ที่นอน หมอน หมอนข้าง และผ้าห่มควรทำความสะอาดและนำมาผึ่งแดดบ่อยๆ ในบ้านไม่ควรมีที่เก็บของอับชื้นเพราะราและฝุ่นจะจับง่าย